ริมระเบียงรับลมโชย > รับสายลมเย็นหน้าระเบียง
ข้อคิดดีๆ จากจีน
sithiphong:
นิทานเซน : ขอทานซื้อขนมเปี๊ยะ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 10 พฤศจิกายน 2553 05:15 น.
《乞丐买饼》
มีวัดเซนแห่งหนึ่งที่ขึ้นชื่อในการทำขนมเปี๊ยะอย่างมาก ขนมเปี๊ยะที่ทำออกมานอกจากขนาดใหญ่แล้วยังหอมหวานชวนรับประทาน ดึงดูดให้ผู้คนทั่วทุกสารทิศขึ้นเขามายังวัดแห่งนี้เพื่อขอซื้อขนมเปี๊ยะมาลิ้มลอง
วันหนึ่ง มีขอทานผู้หนึ่งเดินทางมาจากแดนไกลเพราะได้ยินกิตติศัพท์ร่ำลือถึงความอร่อยของขนมที่วัดแห่งนี้ เมื่อมาถึงวัดจึงได้เอ่ยปากต่อพระลูกวัดเพื่อขอลิ้มลองรสชาติขนมเปี๊ยะอันเลื่องชื่อ ทว่าบรรดาพระลูกวัดเมื่อเห็นท่าทางสกปรกโกโรโกโสของขอทานผู้นี้ก็นึกรังเกียจ จึงไม่ยอมให้ขอทานเข้าไปยังครัวของวัดเพื่อรับขนมเปี๊ยะ จนเกิดการฉุด ลาก ผลัก ดึง กันอยู่ในบริเวณวัด
ในตอนนั้น เจ้าอาวาสได้มาพบเห็นเหตุการณ์ จึงได้กล่าวปรามพระลูกวัดว่า "บรรพชิตต้องมีเมตตาธรรม เหตุใดพวกเจ้าจึงปฏิบัติตนเช่นนี้" จากนั้นเจ้าอาวาสจึงคัดเลือกขนมเปี๊ยะชิ้นใหญ่ด้วยตัวเอง และนำมามอบให้กับขอทานด้วยความนบนอบ โดยไม่คิดเงิน
เมื่อขอทานเห็นดังนั้นก็รู้สึกตื้นตันใจเป็นอันมาก และรับประทานขนมเปี๊ยะรสเลิศจนหมด ก่อนจากไป ขอทานได้ควักเงินทั้งหมดที่มีอยู่น้อยนิดออกมามอบให้กับเจ้าอาวาสเป็นค่าขนมเปี๊ยะ พลางกล่าวว่า "นี่เป็นเงินทั้งหมดที่ข้าขอทานมาได้ หวังว่าท่านเจ้าอาวาสจะรับไว้" เจ้าอาวาสรับเงินค่าขนมเปี๊ยะมาจริงๆ จากนั้นจึงประนมมือพลางกล่าวอวยพรขอทานว่า "ขอให้ท่านเดินทางโดยสวัสดี"
เหล่าพระลูกวัดเห็นดังนั้นก็เกิดความกังขายิ่งนัก และเอ่ยถามเจ้าอาวาสว่า "ในเมื่อท่านบริจาคขนมเปี๊ยะให้เป็นทานแล้ว ไยจึงรับเงินมา?" เจ้าอาวาสจึงกล่าวตอบว่า "ขอทานเดินทางมาไกลแสนไกลเพียงเพื่อลิ้มลองรสชาติขนมเปี๊ยะของวัดเรา ดังนั้นเราจึงมอบขนมเปี๊ยะให้เขาโดยไม่คิดเงิน ส่วนการที่เขาจ่ายค่าตอบแทนก็แสดงว่าขอทานผู้นี้มีความดีงามในจิตใจ รู้จักวิถีการปฏิบัติตัวในสังคม ด้วยเหตุนี้เราจึงรับเงินนั้นไว้เพื่อเติมเต็มความเคารพในตนเองของเขา ซึ่งจะเป็นแรงขับให้เขามีความสำเร็จยิ่งขึ้นไปในอนาคต"
ปัญญาเซน เจ้าอาวาสบริจาคขนมเปี๊ยะให้เป็นทาน สามารถดับความทุกข์จากความหิวโหยของขอทาน ส่วนการรับเงินค่าตอบแทนกลับมาถือเป็นการเติมเต็มความเคารพในตนเองให้กับขอทาน เนื่องเพราะท้องอิ่มเป็นเพียงการตอบสนองความต้องการทางร่างกายเพียงชั่วครั้งคราว แต่การเติมเต็มความเคารพในตนเองให้กับจิตวิญญาณของคนคนหนึ่ง จะเป็นแรงผลักดันเกื้อหนุนให้คนผู้นั้นไปตลอดทั้งชีวิต
ที่มา : หนังสือ 《禅的故事精华版》, 慕云居 เรียบเรียง, สำนักพิมพ์ 地震出版社, 2006.12, ISBN 7-5028-2995-4
http://www.manager.co.th/China/ViewN...=9530000157650
ฐิตา:
:13: :07: :45: :07:
แก้วจ๋าหน้าร้อน:
:13: อนุโมทนาครับพี่หนุ่ม ขอบคุณนะครับ
sithiphong:
เซี่ยงจวงอู่เจี้ยน อี้ไจ้เพ่ยกง : เซี่ยงจวงรำดาบ เจตจำนงอยู่ที่เพ่ยกง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 1 ธันวาคม 2553 15:15 น.
《项庄舞剑,意在沛公》
项庄 (xiàngzhuāng) อ่านว่า เซี่ยงจวง เป็นชื่อบุคคลในประวัติศาสตร์จีนมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องและขุนพลของเซี่ยงอี่ว์
舞(wǔ) อ่านว่า อู่ แปลว่า รำ, ร่ายรำ
剑 (jiàn) อ่านว่า เจี้ยน แปลว่า ดาบ
意 (yì) อ่านว่า อี้ แปลว่า จุดประสงค์, เจตจำนง
在 (zài) อ่านว่า ไจ้ แปลว่า อยู่, อยู่ที่
沛公 (pèi gōng) อ่านว่า เพ่ยกง หมายความถึงหลิวปัง
ภาพจาก gb.cri.cn/1321/2009/03/02/542s2443429.htm
ในยุคปลายของราชวงศ์ฉิน (221-202 ปี ก่อนคริสต์ศักราช) หลิวปังและเซี่ยงอี่ว์ (ฌ้อ ปาอ๋อง) ซึ่งเป็นแกนนำในการต่อต้านราชวงศ์ฉิน ต่างยกกองทัพเข้าโจมตีนครเสียนหยาง (เมืองหลวงของราชวงศ์ฉิน ปัจจุบันอยู่ในมณฑลส่านซี ใกล้กับเมืองซีอาน) ฉู่หวยหวังผู้นำในการก่อกบฎให้คำมั่นสัญญากับ หลิวปังและเซี่ยงอี่ว์ว่า หากผู้ใดสามารถรุกเข้าเมืองหลวงฉินได้ก่อนก็จะได้ครองตำแหน่งฮ่องเต้องค์ถัด ไป
ปี 207 ก่อนคริสต์ศักราช เซี่ยงอี่ว์ได้ชัยเหนือกองทัพใหญ่ของราชวงศ์ฉินที่เมืองจี้ว์ลู่ ขณะที่หลิวปังสามารถนำกองทัพบุกเข้ากุมสถานการณ์ในเมืองเสียนหยางได้ก่อน อย่างไรก็ตาม หลิวปังกลับไม่ได้รีบสถาปนาตนเองขึ้นเป็นฮ่องเต้ โดยจัดวางกองกำลังคุมเชิง และปิดล้อมสถานที่สำคัญต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพระราชวังและท้องพระคลังของราชวงศ์ฉินเอาไว้
เซี่ยงอี่ว์เมื่อได้ยินข่าวว่าหลิวปังสามารถบุกเข้าเมืองเสียนหยาง ได้ก่อน ด้วยความที่เป็นขุนศึกที่มีนิสัยใจคอเย่อหยิ่ง จองหองก็รู้สึกโมโหโกรธาเป็นอย่างยิ่ง โดยให้สัตย์สาบานไว้ว่าเมื่อยกทัพถึงเมืองเสียนหยางจะต้องจัดการกับหลิวปัง ให้จงได้ ขณะที่ฟ่านเจิง เสนาบดีของเซี่ยงอี่ว์ก็ให้คำแนะนำเช่นเดียวกันว่า “กาลก่อนหลิวปังเป็นคนโลภมาก เจ้าชู้ ทว่า ภายหลังจากบุกตีเข้าเมืองเสียนหยางสำเร็จแล้ว เขากลับไม่สนใจทรัพย์สินเงินทอง หญิงงามก็ไม่เหลียวแลเช่นกาลก่อน แสดงว่าหลิวปังมองการณ์ไกลหวังจะก้าวขึ้นเป็นใหญ่ เราควรต้องอาศัยโอกาสนี้กำจัดหลิวปังเสียก่อน”
ในเชิงการรบทัพจับศึกเป็นที่ทราบกันดีว่าฝีมือของหลิวปังนั้นมิอาจ เทียบได้กับเซี่ยงอี่ว์ อีกทั้งกำลังทหารก็ห่างกันหลายขุม ดังนั้นหลิวปังได้ทราบข่าวว่าเซี่ยงอี่ว์ต้องการจะยกกำลังทหารกว่า 4 แสนเข้ามาจัดการกับตนก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก จึงปรึกษากับเสนาธิการและได้ข้อสรุปว่า เมื่อเซี่ยงอี่ว์นำทัพมาถึงตำบลหงเหมิน ตนก็จะเข้าพบเพื่อหารือกับเซี่ยงอี่ว์เพื่อคลี่คลายสถานการณ์และปรับความ เข้าใจ
ต่อมา หลิวปังจึงได้นำจางเหลียงและนายพลฝานไคว่เดินทางไปถึงตำบลหงเหมินเพื่อพบปะ กับเซี่ยงอี่ว์ในงานเลี้ยงที่เซี่ยงอี่ว์เลี้ยงต้อนรับและขุดหลุมพรางเอาไว้ (งานเลี้ยงดังกล่าวถูกจดจารึกไว้ในประวัติศาสตร์จีนในชื่อ “งานเลี้ยงที่หงเหมิน”) เมื่อได้พบหน้ากันหลิวปังก็พยายามแก้ตัวว่า กองทัพของตนไม่ได้บุกเข้าไปในตัวเมืองเสียนหยาง เพียงแต่สั่งให้กำลังเข้าดูแลบริเวณชานเมืองเท่านั้นเพื่อรอคอยเซี่ยงอี่ว์ ให้เดินทางมาครองตำแหน่งฮ่องเต้ เมื่อได้ยินดังนั้นเซี่ยงอี่ว์ก็เกิดความลังเลและไม่ได้ส่งสัญญาณให้มือ สังหารที่ซุ่มอยู่ลงมือจัดการจับหลิวปังดังที่ได้เตรียมการณ์เอาไว้
ด้านฟ่านเจิง เสนาบดีของเซี่ยงอี่ว์เมื่อเห็นเจ้านายของตนเองเกิดอาการลังเล โดยแม้จะมีการสะกิดเตือนให้เซี่ยงอี่ว์ลงมือฆ่าหลิวปังเสียก็ไม่เป็นผล จึงสั่งการให้นายพลที่ชื่อเซี่ยงจวงแสร้งเป็นออกแสดงการรำดาบในวงงานเลี้ยง รับรอง โดยเมื่อสบโอกาสให้ลงมือสังหารหลิวปังเสีย
ทว่า เซี่ยงจวงไม่ทันได้ลงมือ จางเหลียงซึ่งเป็นเสนาธิการของหลิวปังเห็นสถานการณ์คับขันยิ่งจึงรีบเรียก ให้นายพลฝานไคว่ออกมารับมือเพื่อปกป้องหลิวปังก่อน โดยฝานไคว่ถือดาบและโล่พุ่งเข้ามาในวงงานเลี้ยง พร้อมกับกล่าวชื่นชมหลิวปังต่างๆ นาๆ ว่า “หลิวปังบุกเข้าเมืองเสียนหยางก่อน แต่กลับไม่ได้ยึดเมืองและตั้งตนเป็นฮ่องเต้แต่อย่างใด เฝ้ารักษาเมืองเอาไว้เพื่อรอคอยให้ท่านเดินทางมาเป็นฮ่องเต้ ลูกน้องที่สร้างคุณงามความดี มีความสามารถเช่นนี้ เซี่ยงอี่ว์ท่านจะหาได้จากที่ใดอีก”
เซี่ยงอี่ว์เมื่อได้ฟังก็มิอาจทำเช่นไรได้ เพียงยกจอกสุราขึ้นกล่าวชมเชย จางเหลียงกับหลิวปังจึงรีบยกจอกสุราขึ้นดื่มโดยพลัน พร้อมหาข้ออ้างปลีกตัวออกจากวงงานเลี้ยงเพื่อไปเข้าห้องน้ำ ก่อนเดินทางกลับฐานที่มั่นของตนเองในทันที
ด้านฟ่านเจิงเมื่อทราบข่าวว่า หลิวปังกับลูกน้องหนีหน้าเดินทางกลับไปแล้วก็รู้สึกโกรธเป็นอย่างมากที่ เซี่ยงอี่ว์ไม่กล้าตัดสินใจ ทั้งๆ ที่หลิวปังเปรียบเสมือนลูกไก่ในกำมือแท้ๆ กลับปล่อยให้หนีรอดไป จึงกล่าวว่า “เซี่ยงอี่ว์มิอาจเป็นผู้นำที่ประสบความสำเร็จได้ จงคอยดูต่อไปว่าผู้ที่ก้าวขึ้นเป็นฮ่องเต้จะต้องเป็นหลิวปัง”
สำนวน “เซี่ยงจวงรำดาบ เจตจำนงอยู่ที่เพ่ยกง” หมายความถึง บุคคลที่คำพูดกับการกระทำไม่ตรงกัน หรือ กระทำการใดโดยมีวาระซ่อนเร้น ซึ่งตรงกับสำนวนไทยที่ว่า “ปากไม่ตรงกับใจ”
หมายเหตุ : ใน เวลาต่อมาเซี่ยงอี่ว์ได้ตั้งตนเป็นฌ้อปาอ๋องตะวันตก และแต่งตั้งหลิวปังไปเป็นเจ้าเมืองฮั่นในเขตทุรกันดาร เมื่อสบโอกาสที่เซี่ยงอี่ว์ยกทัพออกไปรบกับรัฐอื่น หลิวปังก็สั่งกำลังทหารเข้ายึดเมืองเสียนหยาง และประกาศตัวเป็นศัตรูกับเซี่ยงอี่ว์อย่างเต็มตัว อย่างไรก็ตามด้วยกุศโลบายในการบริหารบ้านเมืองของหลิวปังที่เหนือกว่า เซี่ยงอี่ว์จึงทำให้ทัพของหลิวปังเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ อิทธิพลในหมู่ประชาชนก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่กองกำลังของเซี่ยงอี่ว์กลับอ่อนแอลงเรื่อยๆ จนในที่สุด ในปี 202 ก่อนคริสต์ศักราช หลิวปังได้กองทัพไปปิดล้อมกองกำลังของเซี่ยงอี่ว์จนแตกพ่ายไม่เป็นท่า แม้ว่า เซี่ยงอี่ว์ได้ตีฝ่าวงล้อมออกไปได้แต่ก็ถูกทหารของหลิวปังไล่ล่า จนต้องฆ่าตัวตายที่ริมแม่น้ำอูเจียง (ปัจจุบันอยู่ในเขตมณฑลอันฮุย) ขณะที่หลิวปังก็ตั้งตนเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงฮั่นนามว่า ฮ่องเต้ฮั่นเกาจู่
-----------------------------
ขณะนี้สุภาษิตในคอลัมน์ "นิทานคติ" ได้ถูกนำมารวมเล่มเป็นหนังสือรวมเรื่องเล่าจากสุภาษิตจีนแล้ว
รายละเอียดหนังสือ
ชื่อหนังสือ คำจีนเขียนชีวิต (成语故事)
สำนักพิมพ์ บ้านพระอาทิตย์ (ติดต่อ โทร 0-2587-0234 # 136)
ผู้แปล/เรียบเรียง ดวงพร วงศ์ชูเครือ
ISBN 978-616-536-033-3
พิมพ์ครั้งแรก กรกฎาคม พ.ศ. 2553
ราคา 150 บาท
.
http://www.manager.co.th/China/ViewN...=9530000161345
.
sithiphong:
นิทานเซน : อิทธิพลของลิ้น
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 5 มกราคม 2554 05:33 น.
《舌之因果》
ลิ้นเป็นอวัยวะเล็กๆ ในร่างกายของคนเราที่สำคัญยิ่ง ลิ้น(การพูด)สามารถนำความสุขมาให้ผู้พูด ในทางกลับกัน ลิ้น(การพูด)ก็สามารถทำเรื่องเดือดร้อนให้ผู้พูดได้เช่นกัน
ในอดีตมีพระเซนรูปหนึ่ง เขามีศิษย์เกียจคร้านเอาแต่นอนหลับทั้งวัน วันหนึ่งศิษย์ผู้นี้นอนจนสายก็ยังไม่ตื่น ทำให้พระเซนไม่พอใจ จึงต่อว่าลูกศิษย์ว่า "เวลาสายขนาดนี้ ตะวันส่องจนแม้แต่ฝูงเต่ายังพากันคลานออกนอกบึงบัวมารับแสงแดดกันหมดแล้ว เหตุใดตัวเจ้ากลับมัวแต่นอนอยู่ได้"
เวลาเดียวกันนั้นเอง บริเวณใกล้เคียงมีคนผู้หนึ่งที่กำลังต้องการจับเต่าไปแกงเป็นยาให้มารดาซึ่งกำลังป่วยรับประทาน เมื่อได้ฟังพระเซนบอกว่ามีเต่าออกมาจากบึง จึงได้รีบไปจับเต่ามาเชือดจากนั้นนำเนื้อมาปรุงเป็นแกงเต่า ทั้งยังแบ่งแกงเต่ามาให้พระเซนเพื่อแสดงความขอบคุณที่ชี้ทางให้อีกด้วย
ฝ่ายพระเซน เมื่อทราบว่าการพูดจาโดยไม่ได้ตั้งใจของตนเอง เป็นต้นเหตุแห่งการตายของบรรดาเต่าก็เกิดความรู้สึกผิดอย่างยิ่ง เพราะหากตนไม่เอ่ยปากพูดไปเช่นนั้นเต่าก็คงไม่โดนพบเห็น พระเซนจึงได้ให้คำมั่นกับตัวเองว่าต่อไปจะไม่เอ่ยปากพูดจาอีกเลยตลอดชีวิตเพื่อเป็นการชดใช้บาปที่ทำไว้ ทั้งยังเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดเช่นนี้ขึ้นอีกในภายภาคหน้า
เวลาผ่านไปไม่นาน ขณะที่พระเซนนั่งอยู่บริเวณหน้าวัด เขาพลันพบว่ามีชายตาบอดผู้หนึ่งกำลังเดินหลงทิศ มุ่งหน้าลงไปยังบึงบัวนั้น แต่จนใจที่พระเซนให้สัญญากับตัวเองเอาไว้ว่าจะไม่เปิดปากพูด จึงไม่สามารถร้องเตือนชายตาบอดได้ แต่หากไม่เอ่ยปากตักเตือน ชายตาบอดคงต้องตกลงไปในบึงบัวเป็นแน่
พระเซนเอาแต่ลังเลว่าจะทำเช่นไรดี ปล่อยเวลาผ่านไป ในที่สุดชายตาบอดก็เดินตกลงไปในบึงบัว จมน้ำหายไปต่อหน้าต่อตา
เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้พระเซนโศกเศร้าเสียใจหาที่เปรียบมิได้ และตระหนักได้ว่าการไม่ยอมพูดจาของตนในครั้งนี้ กลับกลายเป็นการทำร้ายทำลายชีวิตผู้คนเพิ่มขึ้นอย่างน่าเสียดาย ความผิดสองครั้งที่ผ่านมาของตนคือการพูดในเวลาที่ไม่ควรพูด แต่กลับไม่พูดในเวลาที่ควรพูด
ปัญญาเซน : มนุษย์จำเป็นที่จะต้องใช้สติปัญญาในการดำรงชีวิตอยู่บนโลก แม้แต่การพูดจาก็ต้องใช้ปัญญา นั่นคือพูดสิ่งที่ควรในเวลาที่เหมาะ นอกจากนี้ต้องพึงระลึกว่า ในการดำรงชีวิตของคนเรา ความผิดพลาดเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ แต่การให้อภัยต่างหากที่เป็นสิ่งเหนือธรรมดา คนเราไม่เพียงต้องรู้จักให้อภัยผู้อื่น ทั้งยังต้องเรียนรู้ที่จะให้อภัยตนเอง
ที่มา : หนังสือ 《禅的故事精华版》, 慕云居 เรียบเรียง, สำนักพิมพ์ 地震出版社, 2006.12, ISBN 7-5028-2995-4
http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9540000000113
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version