ผู้เขียน หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ :ศาสนาพุทธ-พราหมณ์-ความจริงแท้-พระเจ้า  (อ่าน 2053 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด



เท่าที่ผู้เขียนรู้ที่อาจจะไม่ละเอียดนัก พระพุทธเจ้าตอนที่ยังเป็นสิทธัตถรัชทายาทแห่งราชวงศ์สักกะ  (สักกียะ) อยู่นั้น พระองค์ได้สละราชบัลลังก์และราชสมบัติส่วนพระองค์อย่างที่หายากยิ่งนักในโลกนี้จะหาผู้ใดกระทำได้ เพื่อแสวงหาความจริงที่แท้จริง ซึ่งในตอนนั้นพระองค์คงจะสงสัยหรือรู้จากลัทธิพระเวทที่พราหมณ์กับผู้รู้ทั้งหลายบอกและจากหนังสือต่างๆ ก่อนที่พุทธศาสนาที่ตนเองทรงค้นพบว่าความจริงทางโลกเท่าที่ตาเห็นเป็นเพียงมายา แล้วความจริงที่แท้จริงคืออะไร? และยังสงสัยว่า ทำไม? คนเราถึงได้ เกิด แก่ เจ็บ และตายกันทุกคนเลย ทั้งๆ ที่พระองค์ทรงเป็นรัชทายาทและมีอายุเพียง 29 ปี

บทความที่ลงในไทยโพสต์ทุกวันอาทิตย์มาตั้งแต่ต้น - เว้น 3 เดือนแรกตั้งแต่เป็นสยามโพสต์ -  ของผู้เขียนนั้น เขียนติดต่อกันมาใกล้ครบ 20 ปีเต็มในปีหน้าโน้นๆ คือเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2556 เป็นช่วงที่ผู้เขียนมีอายุประมาณ 84 ปี 7เดือน และยังไม่รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่? เพราะรู้ว่าจะตายก่อนจะอายุครบ 85 ปีบริบูรณ์ นึกถึงเอ็มปิโดเคล นักปรัชญาชาวกรีกรุ่นน้องและร่วมสมัยกับพระพุทธเจ้าที่ทำนายอายุตัวเองว่าเป็นเทพเทวดาลงมาเกิด พอครบกำหนดที่ตนบอกชาวบ้านว่าตัวเองต้องตาย แต่เกิดไม่ตายขึ้นมาจึงลอบไปกระโดดปล่องภูเขาไฟเอตนาตาย ความลับจึงแตก เพราะแม้ว่าจะหาศพของเอ็มปิโดเคลไม่พบ แต่รองเท้าแตะขลิบทอง ซึ่งมีแต่เอ็มปิโดเคลใส่เป็นประจำข้างหนึ่งถูกลมที่พวยพุ่งมาจากปากปล่องภูเขาไฟปลิวมาตกที่ตลาดที่กรีซ ซึ่งห่างไปจากซิซีลีที่ภูเขาไฟเอตนาตั้งอยู่พอสมควร นั่นคือประวัติศาสตร์ที่เราทุกคนรู้ แต่เราไม่รู้ว่าความจริงที่แท้จริงเป็นอย่างไร? ซึ่งเท่าที่ได้เขียนมาในไทยโพสต์ตลอดมาจนแก่ชราของผู้เขียนนี้มีอยู่ 2 อย่างที่ต้องพูดถึงคือ 1.เป็นความคิดเห็นที่เป็นส่วนตัวจริงๆ มีอิสระทางความคิดจริงๆ และ 2.แยกแยะหน้าที่กับความรับผิดชอบออกจากกันสำหรับผู้เขียนทุกคน หนังสือพิมพ์และสาธารณชนทั่วไป รวมทั้งผู้อ่านออกจากกัน บทความบทนี้ไม่ว่าความคิดเห็นของผู้เขียนเอง ความรับผิดชอบทั้งมวล รวมทั้งความเห็นและความรู้สึกของสาธารณชนจึงต้องเป็นของผู้เขียนแต่ผู้เดียว

และดังที่ผู้เขียนได้เขียนซ้ำๆ ซากๆ ทั้งในที่นี่และที่อื่นๆ หลายหนแล้วว่าศาสนาทุกศาสนา ตลอดทั้งวัฒนธรรมความเชื่อต่างๆ ส่วนใหญ่จะพูดถึงความเชื่อที่เป็นสัจธรรมความจริงแท้เอาไว้ทั้งหมดเลย -  มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ 3 ข้อสังเกต ซึ่งผู้เขียนมองเห็น 1.ระดับจิต (level of consciousness) ของศาสดาซึ่งความรู้ทั้งหมดนั้น 2.มาจากประสบการณ์ส่วนตัว และพฤติกรรมความประพฤติ (length of  ethical practice) ของศาสคา 3.ระดับของสติปัญญาความฉลาดของศาสดาและผู้ได้ฟัง (intelligence)  โดยเฉพาะในครั้งแรกๆ จะสังเกตได้ว่าผู้เขียนที่เป็นแพทย์และเรียนมาทางวิทยาศาสตร์เป็นเวลาที่ยาวนาน เรียกสิ่งที่ศาสดาซึ่งเป็นคนโบราณคิด เห็น ได้ยิน หรือมีประสบการณ์ตรง แล้วไตร่ตรองว่าเป็นความรู้ ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ความเชื่อ เพราะผู้เขียนคิด ไตร่ตรอง และวิเคราะห์อย่างรอบคอบแล้วถึงได้เชื่อ  ในสมัยก่อนที่เราจะมีวิทยาศาสตร์ได้เผยแพร่มาถึงนั้น เราก็นับว่าที่ศาสดาบอกนั้นเป็นความรู้จริงๆ และเราก็เชื่อว่าเป็นเสมือนความจริงเพียงอย่างเดียว สาธารณชนคนทั่วไปต่างก็รู้ เชื่อ และปฏิบัติตามนั้น แต่เมื่อเรามีวิทยาศาสตร์ รวมทั้งวิทยาศาสตร์ที่ได้แพร่ขยายไปถึงประเทศต่างๆ ทั่วทั้งโลก ไม่ว่าประเทศนั้นๆ จะด้อยพัฒนาหรือกำลังพัฒนาอุตสาหกรรม ประชาชนคนทั่วไปจึงหันมาเชื่อวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพราะได้ผลประโยชน์จริงๆ - ความรู้ที่ว่าก็กลับกลายไปเป็นความเชื่อหรือแม้ความงมงายด้วยซ้ำไป - ขึ้นอยู่กับว่าประเทศนั้นๆ อยู่ห่างไกลจากประเทศตะวันตกอย่างไร? ประเทศที่อยู่ห่างไกลออกไปเหล่านั้นมีหรือไม่มีความสำคัญกับประเทศฝรั่งตะวันตกในทางยุทธศาสตร์หรือการค้าพาณิชย์ โดยเฉพาะเป็นประเทศเล็กๆ เช่นไทยเรา ก็ยิ่งได้รับความเจริญ (ทางวัตถุที่หยาบกระด้างและมองเห็น) หรือความเสื่อมถอย (ทางจิตใจที่ละเอียดและมองไม่เห็น) ที่ช้ากว่าทั้งหมดขึ้นอยู่กับมุมมองของผู้มองนั้นๆ

ว่ากันตามที่นักคิด นักเขียน และเท่าที่ผู้เขียนรู้ ศาสนาพราหมณ์น่าจะเป็นศาสนาแรกๆ ที่มาจากวัฒนธรรมพระเวทที่เก่าแก่ที่สุด เท่าที่ผู้เขียนรู้มาและยืนยันได้ วัฒนธรรมพระเวทมาจาก 2 แหล่งที่มาคือ   1.มาจากแอฟริกา (pre-Vedic culture) ที่มีพระเจ้าองค์เดียวคือพระอิศวรนั่งบนหลังวัวสีดำ คือคิดว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่อยู่ที่ลุ่มน้ำสินธุ และเป็นเจ้าของอารยธรรมสินธุ โดยเดินข้ามอ่าวอารเบียมาในขณะที่โลกมียุคน้ำแข็งและทะเลยังเป็นผืนดินติดต่อกันเมื่อประมาณ 12,000 ปีก่อน ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์โปรโตดราวิเดียนผิวดำเอามา (คือเผ่าพันธุ์ที่เป็นบรรพบุรุษของชาวลังกาและชาวทมิฬเดี๋ยวนี้ กับ 2.เป็นลัทธิความเชื่อของชาว “อารยัน” ผิวขาวมาจากเอเชียกลางที่มีพระเจ้าหลายองค์ (บางคนเรียกลัทธิความเชื่อดั้งเดิมของชาวอารยันนี้ก็คือลัทธิพระเวทตัวจริงเลย) เช่น พระอัคนี พระวิรุฬ พระสุริยะ ฯลฯ นั่นคือ ชาวอารยันผู้เร่ร่อน  คนผิวขาวที่เราเข้าใจผิดคิดว่าผิวขาวว่าธรรมที่ต้องชนะอธรรมเสมอไป (คนผิวดำที่เรียกว่า “ทาสา-ทาสี”  ดังภาพวาดที่พ่อของผู้เขียนเอามาติดไว้บนฝาผนังที่ผู้เขียนยังจำติดตาติดใจมาตั้งแต่เป็นเด็กเล็กๆ จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ คนผิวขาวเร่ร่อนที่มายึดครองลุ่มน้ำสินธุในตอนหลังที่อารยธรรมสินธุได้หยั่งรากลึกไปแล้ว  และแผ่นดินเหนียว (pictograph) ภาพ “นารถราชา” หรือพระอิศวรในท่าร่ายรำยังมาขุดพบที่คลองท่อม  จังหวัดกระบี่ ผู้เขียนเข้าใจว่าลัทธิพระเวท (Vedic culture) เกิดจากการหล่อหลอมวัฒนธรรมทั้ง 2 เข้าด้วยกัน - ไม่ใช่ลัทธิความเชื่อดั้งเดิมของชาวอารยัน - เมื่อประมาณที่นั่น 4,000-4,500 ปีก่อน แล้วจึงค่อยๆ ปรับตัวเองก่อน และต่อมาถึงได้เกิดที่ฤคเวทขึ้นมาก่อนพุทธกาลประมาณ 800-1,000 ปี และมีเวทอื่นๆ ตามมารวมทั้งสิ้น 4 พระเวท นั่นคือที่มาของชื่อที่เราเรียกว่า “ลัทธิพระเวท” และแล้วในคัมภีร์ทั้ง 4 นี้เองที่จะมี 2 บทใหญ่จัดไว้ คือ 1.“พรหมนาศ” ซึ่งแทบว่าเป็นเรื่องของพิธีกรรมล้วนๆ ที่มักเกี่ยวข้องกับการบูชาไฟ หรือพระอัคนีเป็นเรื่องของผู้ที่อยู่ในเมือง กับ 2.“อรัญยากา” ซึ่งเป็นความรู้เร้นลับ  (mysticism) เป็นเรื่องของผู้เข้าไปอยู่ในป่า (ผู้ปลีกวิเวกกับทำสมาธิ) ในทีแรกศาสนาพราหมณ์ หรือศาสนาฮินดูจะมีแต่เฉพาะพรหมนาศเท่านั้น แต่ต่อมาได้รวมอรัญยากาที่แยกออกไปเป็นเล่มๆ เฉพาะอีกต่างหาก เรียกว่า “อุปานิษัท” ซึ่งแปลว่า (เข้ามา) นั่งใกล้ๆ (ที่ปลายเท้าแล้วจะบอกให้ฟัง) อุปานิษัทซึ่งพูดถึงพระเจ้าที่ไม่มีรูปกาย หรือไม่มีอะไรทั้งนั้น (neti-neti) หรือพรหมัญ (Brahman) เป็นครั้งแรกโดยเฉพาะในเศวตฯ และในคาถาโอปานิษัท

พระเจ้าในศาสนาพราหมณ์นั้นในภควัตกีตาว่าไปแล้วก็คือการรวบรวมอุปานิษัท ซึ่งเป็นอภิปัญญา  (wisdom) ที่ได้จากการปลีกวิเวกไปอยู่ในป่าและการทำสมาธิเพื่อได้รับญาณหยั่งรู้ (intuition) (ที่ผู้เขียนบอกไปแล้วหลายหนว่าขอให้เลิกแปลคำคำนี้ว่า “ลางสังหรณ์” ที่ไม่ได้แถมยังเปลี่ยนแปลงความหมายเสียที) ภควัตกีตาเป็นหนังสือกาพย์โคลงที่สละสลวยยิ่ง เข้าใจว่าแต่งขึ้นโดยญาณวัลคียะประมาณ 300 ปีก่อนคริสตกาลอันเป็นช่วงเวลาที่พุทธศาสนารุ่งเรืองที่สุด กลายเป็นว่าศาสนาพราหมณ์จะต้องตกเป็นรอง  (ผู้เขียนคิดว่าพระพุทธเจ้าจะต้องเรียนและรู้อย่างลึกซึ้งในศิลปะและวรรณคดีทั่วๆ ไป โดยเฉพาะของอินเดียและอุปานิษัททั้ง 5 เล่มที่มีอยู่แล้ว และมีเพิ่มอีก 3 เล่มในสมัยพระองค์) ภควัตกีตานั้นได้มาจาก 2  แหล่ง คือ นอกจากรวบรวมเอาอุปานิษัทที่มีอยู่แล้วยังได้จากภัควัตธรรมที่เป็นธรรมะที่พระกฤษณะสอนอรชุนในมหาภารตะยุทธ์ที่เน้นความจงรักภักดีต่อพระเจ้า (หรือกฤษณะที่ก็คือพระนารายณ์อวตารลงมา)  เหนือกว่าสิ่งใดๆ ทั้งสิ้นเลย 

จริงๆ แล้วศาสนาฮินดูพระเจ้าที่มีรูปกายเป็นผู้สร้าง เป็นผู้ควบคุมแค่องค์เดียวเท่านั้น พระอิศวร  พระนารายณ์ พระพรหม พระอินทร์ เป็นเพียงคุณสมบัติหรือภาพลักษณ์ของหน้าที่ - เย สรรพ เทวาสวา  เอกา สัต ซึ่งไม่ใช่เป็นอย่างที่คนทั่วไปส่วนหนึ่งคิด พระเจ้าที่มีรูปกาย (personal God) นี้มาแทนที่ปุรุษาที่เป็นพระเจ้าของในลัทธพระเวทเดิมในสังฆียะและในปรัชญาโบราณของอินเดียที่จะมีศีรษะอยู่บนฟ้าและมีมือและเท้าที่นับไม่ถ้วนอยู่บนดิน ซึ่งเข้าใจว่าแทนสรรพสิ่งชีวิตทั้งหลายทั้งปวง - ซึ่งผู้เขียนคิดเอาเองว่าปุรุษาที่ต้องอยู่คู่กับปกติเสมอ นั่นคือ ดิน มนุษย์ (ชีวิต) ฟ้าที่ผู้เขียนเรียกว่า เป็นปรัชญาสากลนิรันดร  (perennial philosophy) โดยปุรุษา (เพศชาย) คือจิตไร้สำนึกของจักรวาลที่เข้าไปอยู่ในสรรพสิ่งและชีวิตทั้งหลายทั้งปวงที่ว่ามานั้น ส่วนปกติ (เพศหญิง) คือธรรมชาติของโลกของจักรวาลที่มีพลังงานอยู่ในตัว  และมีพลวัตอยู่ตลอดเวลาที่แยกออกจากธรรมชาติไม่ได้ (ทฤษฎีระบบสังฆียะที่เป็นปรัชญาของอินเดียโบราณที่รวมไว้ในลัทธิพระเวทก่อนทฤษฎีโยคะเสียอีก)

อย่างไรก็ตาม พระเจ้าในศาสนาพราหมณ์หรือศาสนาฮินดูนั้นต่างกันกับพระเจ้าในศาสนาจูโด-คริสเตียนที่พระเจ้าในศาสนาพราหมณ์นั้นอยู่ทั้งในโลกกับในจักรวาล และเข้าๆ ออกๆ คอยควบคุม เช่น  ลงโทษหรือให้รางวัล รวมทั้งปราบปรามทุกข์เข็ญ ไม่ใช่เป็นผู้สร้างเฉยๆ เหมือนพระเจ้าของจูโด-คริสเตียนที่สร้างทุกสิ่งทุกอย่าง แต่พอสร้างเสร็จแล้วก็กลับไปเลย

ศาสนาพุทธนั้นไม่มีพระเจ้าเฉพาะที่มีรูปกาย (personal God) ไม่มีการสร้าง ไม่มีการควบคุม จึงไม่มีการบังคับ เพียงแต่ชี้ความจริงที่แท้จริงให้เห็น และทุกคนสามารถเห็นได้จากการปฏิบัติด้วยสติ และความเพียรพยายามที่สุดๆ ศาสนาพุทธจึงไม่ยอมรับโดยสิ้นเชิงกับพระเจ้าที่มีรูปกายหรือผู้สร้าง แต่จะยอมรับพระเจ้าที่เป็นความจริงที่แท้จริง (Supreme or Absolute Reality) เท่านั้น และเพราะพระพุทธองค์ยืนกรานเช่นนั้นเองที่ศาสนาพราหมณ์จึงถือว่ากฤษณะหรือพระเจ้าที่มีรูปกาย พระเจ้าผู้สร้างสรรพสิ่งและผู้ควบคุมทุกองค์เป็นส่วนและเป็นหนึ่งเดียวมาจากพรหมัญ (Brahman) ซึ่งไม่มีรูปกาย ไม่มีอะไรทั้งสิ้น และผู้เขียนขอเติมว่ามองไม่เห็น ทั้งไม่มีทางที่จะเห็นได้ นั่นคือความจริงที่แท้จริง (Supreme or Absolute Reality).

http://www.thaipost.net/sunday/071110/29757
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 08, 2010, 11:10:47 pm โดย มดเอ๊กซ »
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ แก้วจ๋าหน้าร้อน

  • สิ่งใดคือธรรมะ สิ่งนั้นย่อมดีแล้วสูงสุด
  • ทีมงานกวาดลานดิน
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 6503
  • พลังกัลยาณมิตร 1741
  • ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครอง
    • kaewjanaron
    • facehot
    • ดูรายละเอียด
    • ใต้ร่มธรรม
 :13: อนุโมทนาครับ ขอบคุณครับพี่มด
การโพสภาพโดยใช้เว็บฝากไฟล์ภาพ imageshack.us/ (เว็บกบ)
การปรับแต่งห้องสมาชิกไร้ขีดจำกัด Ultimate Profile + ห้องเพลงส่วนตัว
การตั้งกระทู้และการโพสกระทู้ในเว็บใต้ร่มธรรมครับ
การแก้ไข้ข้อมูล ชื่อ ระหัส ส่วนตัวของสมาชิกใต้ร่มธรรมครับ
การใส่รูปประจำตัวเรา Avatar รวมทั้งลายเซ็นต์ ในกระทู้หรือโพสของเราครับ
เพิ่มไอคอน ทวิสเตอร์ เฟชบุ๊ค ยูทูบ ในโปรโปรไฟล์ของเรา
การสร้างอัลบั้มภาพส่วนตัวในห้องสมาชิก Profile Pictures
การเพิ่มเพื่อน กัลยาณมิตรใต้ร่มธรรม ในห้องสมาชิกส่วนตัว
การดูกระทู้ทั้งหมดที่เรายังไม่ได้อ่านครับ
โค้ดสี bb color code ไว้สำหรับโพสกระทู้ครับ
*วิธีเคลียร์แคชในทุกเว็บเบราว์เซอร์ครับ เมื่อคอมอืด*

ห้องประชุมของทีมงาน
~ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครองครับ~

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด