ผู้เขียน หัวข้อ: เพราะ ธมฺมวิตกฺโก คือการระลึกถึงธรรม  (อ่าน 3879 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด


อานุภาพไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา
ด้วยอานุภาพของไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา นี้แล
จึงชนะข้าศึก คือ กิเลสอย่างหยาบ อย่างกลาง และ อย่างละเอียด
ชนะความหยาบคาย ซึ่งเป็นกิเลสอย่างหยาบ
ที่ล่วงทางกาย วาจาได้ด้วยศีล
ชนะความยินดียินร้ายและ หลงรัก หลงชัง
เป็นกิเลสอย่างกลางที่เกิดในใจได้ด้วยสมาธิ
ชนะความเข้าใจ รู้ผิด เห็น ผิดจากความเป็นจริงของสังขาร
ซึ่งเป็นกิเลสอย่างละเอียดได้ด้วยปัญญา

ผู้ใดศึกษาและปฏิบัติตาม ไตรสิกขา คือ
ศีล สมาธิ ปัญญา นี้โดยพร้อมมูล
บริบูรณ์สมบูรณ์ แล้ว ผู้นั้นจึงเป็นผู้พ้นจากทุกข์ ทั้งปวง
ได้เป็นแน่นอน ไม่ต้องสงสัยเลย!
เพราะฉะนั้น จึงควรสนใจ เอาใจใส่ ตั้งใจศึกษา
และปฏิบัติตามไตรสิกขา คือศีล สมาธิ ปัญญานี้ ทุกเมื่อเทอญ

จดหมายเหตุ เจ้าคุณนรรัตนราชมานิต(ธมฺมวิตกฺโกภิกขุ)
IP : 58.8.237.xx  |   เมื่อ: 13 มีนาคม 2553 เวลา: 20:59:46 น.

   
      ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ฯปลงสังขาร

บันทึกของคุณตริ จินตยานนท์ เพียงเท่าที่บันทึกแล้ว ข้าพเจ้ามาคิดดูก็อยากทราบว่า มีผู้ใดที่ได้ไปรู้เห็นเวลาที่ท่านเจ้าคุณนรรัตน ฯ มรณภาพ อยากจะได้ความรู้เพิ่มเติมลงในบั่นปลายของเรื่องให้สมบูรณ์เรียบร้อย
ข้าพเจ้าจึงได้ไปนมัสการเรียนถามท่านอาจารย์พระครูปัญญาภรณ์โศภณ ที่วัดเทพศิรินทราวาส ก็ได้ทราบว่า นายแพทย์ไพบูลย์ บุษปธำรง เป็นนายแพทย์ผู้เดียวที่ท่านยอมให้ทำแผล ได้เข้าไปในกุฏิท่านพระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิตกับพระมาหาเพิ่ม และคุณโกศล ปัทมสุนทรในวันที่ท่านมรณภาพ

เมื่อทราบเช่นนั้น ข้าพเจ้าอยากทราบจากปากของนายแพทย์ไพบูลย์ และได้ไปที่สำนักแพทย์ไพบูลย์คลินิก ซึ่งอยู่ที่ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ครั้งแรกข้าพเจ้าไปแต่ไม่พบหมอและไม่ทราบว่าเมื่อไหร่หมอจะกลับมา ครั้นจะรอก็ไม่มีเวลา ทั้งไม่แน่ใจว่าจะได้พบหรือไม่

ต่อมาข้าพเจ้าก็ได้ไปที่สำนักงานแพทย์ไพบูลย์คลินิกอีกครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๑๔ เวลา ๑๖.๐๐ น. ก็ได้ทราบว่าหมอจะมาประมาณ ๑๗.๐๐ น. หรืออาจช้าไปบ้าง ข้าพเจ้าจึงตกลงใจ ต้องรอเวลาพบหมอให้ได้ แม้จะต้องคอยนาน

ในที่สุดเย็นวันนั้น ข้าพเจ้าก็ได้มีโอกาสได้พบ พ.ต. นายแพทย์ไพบูลย์ บุษปธำรง ตามที่ได้ตั้งใจไว้ เมื่อหมอทราบความตั้งใจที่ข้าพเจ้าขอทราบเรื่องในการมรณภาพของท่านพระภิกษุพระยานรรัตน ฯ แล้ว หมอก็มีความยินดีและกรุณาเล่าแต่เริ่มต้นครั้งแรกว่า

เวลานั้นเป็นหมอประจำอยู่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ฯ และคิดอยากบวช จึงได้ถามท่านผู้รู้ดีในการบวชเรียนว่าจะบวชวัดไหน เพื่อเล่าเรียนศึกษาหาความรู้ทางธรรม ฉะนั้นจึงอยากหาอาจารย์ผู้ฝึกสอน ให้ความรู้ ชี้ทางปฏิบัติที่ถูกต้อง เพราะการบวชเรียนเพียงระยะสั้น แต่ต้องการศึกษาธรรมให้มาก ให้รู้เท่าที่สามารถจะเรียนได้ ตามปกติส่วนมากผู้บวชมักจะนิยมวัดที่รู้จักกับพระดี หรือผู้ใหญ่ที่คุ้นเคยนับถือกับท่านสมภารเจ้าอาวาสวัดนั้น หมอเล่าต่อไปว่า แต่ผมอยากศึกษาเล่าเรียนหลักสัจธรรม จึงอยากหาวัดที่ดี อาจารย์ดี สอนดี เข้าใจดี เมื่อมีผู้ชี้แนะว่า ควรบวชวัดโน้นวัดนี้เพื่อศึกษาธรรมที่มีชื่อหลายวัด แต่ผมก็ไม่รู้จักพระตามวัดที่มีผู้แนะนำสักวัดเดียว

ต่อมาพลโท สมุท ชาตินันท์ อดีตเจ้ากรมแพทย์ทหารบกได้กรุณาพาผมมาฝากท่านพระครูปัญญาภรณ์โศภน และผมได้บวชอยู่ที่วัดเทพศิรินทราวาสมเอ พ.ศ. ๒๕๑๒ เป็นพระนวกะภิกษุ และผมเคารพท่านพระภิกษุพระยานรรัตน ฯ เมื่อทราบถึงประวัติการปฏิบัติธรรมของท่าน มีความสะอาดบริสุทธิ์ มีพลังจิตเข้มแข็ง เช้าเย็นลงโบสถ์ไม่เคยขาด ผมก็เข้าไปกราบท่าน ก็ได้รับศีลรับพรจากท่านทุกครั้ง และผมก็เคารพบูชาท่านด้วยจิตใจเลื่อมใส ผมสังเกตว่าท่านเป็นเม็ดริมคอข้างซ้าย จึงคิดสงสัยว่าเป็นเนื้อร้าย แต่ท่านไม่ยอมให้แตะต้อง ไม่ยอมให้รักษา ท่านพูดว่าเมื่อเป็นเองก็หายเอง เม็ดนั้นก็ค่อยโตใหญ่ขึ้น พอกลางปี ๒๕๑๓ ฝีก็แตก ผมรู้ว่าท่านไม่ยอมให้รักษาและให้ทำแผล ท่านกลัวว่าจะไปทำลายเชื้อบัคเตรีก็จะเป็นบาป ผมจึงถวายยาเหลืองให้ท่านแต่ท่านไม่ยอมรับ ผมต้องอธิบายเรียนให้ทราบว่า ยานี้ไม่ได้ฆ่าเชื้อไม่ได้รักษาให้หาย เพียงแต่ทำให้ทุเลาความเวทนาเท่านั้น ผมได้พยายามอธิบายให้ท่านทราบถึง ๓ ครั้ง ท่านจึงรับยาเหลืองไว้ สังเกตดูว่า หากเราพยายามขอร้องท่าน จะขอทำแผลให้ท่าน และได้อ้อนวอนท่านครั้งที่ ๓ โดยเรียนให้ท่านทราบว่า การทำแผลก็ไม่ได้ทำให้หาย เพียงแต่บรรเทาความเวทนา และความสังเวชลงเท่านั้น ท่านก็ยอม ผมได้พบก้อนเนื้อเท่าปลายหัวไม้ขีด หลุดออกมาตามขอบริม ๆ ในระหว่างที่ถวายการทำแผลให้ท่าน ผมได้นำมาให้นายแพทย์ภิญโญ สิริยพันธ์ ที่สถาบันพยาธิทหารบก ปรากกว่าเป็นเนื้อร้าย SQUAMOUS CELL CARCINOMA ก่อนที่จะทำแผล ผมได้พบกับคุณจำเนียร ปัทมสุนทร หลานสะใภ้ท่านเจ้าคุณนรรัตน ฯ ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ผมบอกว่า เวลานี้แผลที่คอพระภิกษุพระยานรรัตน ฯ ใหญ่ขึ้น เย็นวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๑๓ ผมรีบไปคอยท่านที่จะลงโบสถ์สวดมนต์เสร็จแล้ว ผมจึงได้ขอทำแผล เพราะรุ้สึกจะเป็นเนื้อร้าย ครั้นจะบอกตรง ๆ ว่าเป็นมะเร็งก็กลัวพระเณร อุบาสก อุบาสิกา และท่านทีเคารพจะพากันตื่นตกใจ

ท่านได้พูดกับผมว่า อาตมาให้หมอทำเป็นขวัญมือ เป็นคนแรก และให้ทำเป็นคนสุดท้าย จะไม่ให้ใครทำอีก พูดเสร็จท่านก็เอนกายลงกับอาสนสงฆ์ วันนั้นผมได้เห็นแผลที่คอท่านนั้น หากเป็นบุคคลธรรมดาสามัญแล้ว จะเจ็บปวดสาหัส ไม่สามารถจะทนได้ ที่จะไม่ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดอย่างแสนทารุณ และต้องล้มหมอนนอนเสื่อ สังขารไม่สามารถจะทนเดินไปไหนได้ แต่ท่านก็ยังมีอาการปกติ เหมือนเป็นธรรมดา คล้ายว่า ไม่มีความรู้สึกทรมานในการเจ็บปวดครั้งนี้ เป็นสิ่งน่าอัศจรรย์ที่ผมได้เห็นได้พบมา เมื่อผมถาม ท่านก็บอกว่า ไม่รู้สึกเจ็บปวด เฉย ๆ เพียงรู้ว่า เป็นเหมือนมีก้อนอะไรมาติดอยู่

เมื่อทำแผลให้ท่านเสร็จเรียบร้อย ท่านก็สวดมนต์อุทิศแผ่ส่วนกุศลถวายแก่พระมหากษัตริย์ในวงศ์จักรีทุกพระองค์ เสร็จแล้วท่านยังนั่งพูดกับผู้ที่ยังไม่กลับ มีทั้งพระและฆราวาสยังอยู่ในโบสถ์ ท่านยังพูดกับผมว่า “หมอ อันความตายและความพลัดพรากจากกันนั้นเป็นธรรมดา และเป็นไปตามธรรมชาติเขาตายกัน นับแต่ครั้งปู่ย่าตายาย แต่โบราณกาลตลอดมา ถ้าเราพิจารณาให้ดีก็จะรู้ว่า การตายไม่ใช่เป็นสิ่งที่น่าสยดสยองอย่างคนส่วนมากคิด คนเราเกิดมาก็ต้องมีสังขารเป็นที่อาศัย สังขารก็มีเวลาอยู่อย่างจำกัด ย่อมจะมีเสื่อมมีทรุดโทรมเป็นไปตามกาลเวลา ความตายไม่ได้เป็นสิ่งที่หายไปไหน หากเป็นเพียงเปลี่ยนจากภพหนึ่งไปเกิดอีกภพหนึ่ง อุปมาเหมือนหมอกับอาตมาซึ่งอยู่ในเวลาปัจจุบันเดี๋ยวนี้กำลังสนทนา เวลาดับผ่านไปทุกวินาที ทุกชั่วโมง และหมอได้ทำแผลให้อาตมา ประเดี๋ยวหมอก็จะต้องกลับไปบ้าน และอาตมาก็กลับไปกุฏิ และทุกคนก็พากันกลับไปที่อยู่ของตน

นี่ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่เราต้องจากกัน เราได้พลัดพรากกัน แต่เรายังมีชีวิต มีสังขารร่างกาย เมื่อเราไปแล้ว แต่ที่นี่ ที่เราได้มาร่วมสนทนา ก็จะว่างเปล่า ไม่มีหมอ ไม่มีอาตมา และไม่มีใคร เพราะต่างแยกกันไป รู้ว่าเรายังมีชีวิตอยู่ทุกคน อาตมาก็อยู่กุฏิหลังจากที่ได้นั่งสนทนากัน แต่เวลานั้นก็ได้ผ่านดับไป ตามโมงยาม เวลาไม่กลับมาอีก เป็นอดีต
หมอก็เช่นเดียวกัน ก็ต้องนึกว่าวันนี้ ได้ไปทำแผลให้อาตมา และได้สนทนากันในโบสถ์ทีวัดเทพศิรินทราวาส แต่เวลานั้นได้ผ่านไปเป็นอดีต ไม่กลับมาใหม่ เราก็มีแต่ความทรงจำเหลือไว้เท่านั้น แต่เราก็คิดถึงกันได้ทางใจ การตายก็เหมือนกัน เป็นการจากไป ไม่ได้สูญไปไหน ยังคงอยู่ หากแต่เปลี่ยนสภาวะปัจจุบันนี้ ไปอยู่อีกสภาวะหนึ่ง
ซึ่งยากที่จะอธิบายให้เข้าใจได้ง่าย ๆ และเราก็ยังสามารถระลึกถึงกันได้ อย่าเข้าใจว่าสูญสิ้นไป ความตายความเกิดนั้น มีอยู่ตลอดเวลา


ผมได้พิจารณาดูแล้ว คำพูดของท่านนั้น รู้สึกว่าท่านกำลังจะเบื่อสังขารที่จะอยู่ต่อไป
ต่อมาได้ทราบตอนเช้าวันที่ ๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๔ หลานของท่านอาจารย์ได้นำอาหารมาส่งเวลา ๘.๐๐ น. ได้เห็นท่านยืนอยู่บนกุฏิตรงหน้าต่างและโบกมือแล้วท่านสั่งว่า ให้เอาอาหารนั้นให้เอากลับไปเถิด วันนี้ท่านไม่ฉันอาหาร และสั่งให้ช่วยบอกพระที่อยู่ใกล้กุฏิของท่านว่า วันนี้ท่านจะไม่ลงโบสถ์ การไม่ลงโบสถ์ของท่านนั้นเป็นเรื่องใหญ่ ทำให้พระเณรและประชาชนที่เลื่อมใสเคารพนับถือบูชาท่านด้วยจิตศรัทธาพากันวิตกไม่สบายใจ

และเมื่อตอนเย็นท่านเจ้าคุณนรรัตน ฯ ท่านก็ยังไม่ลงโบสถ์ พระเณรและประชาชนต่างก็เป็นทุกข์ เพราะท่านเคยบอกว่า ถ้าท่านขาดทำวัตรเมื่อใด ก็หมายถึงอาตมาสิ้นลมเมื่อนั้น ฉะนั้น เย็นวันศุกร์ที่ ๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๔ ก็มีผู้วิตกเป็นห่วงท่านมาก เวลานั้นมีผมที่ไปเยี่ยมท่านอยู่ด้วยและเป็นหมอคนเดียวที่ท่านเคยกล่าวย้ำถึง ๓ ครั้งว่า หมอคนเดียวที่จะทำแผลให้อาตมเป็นคนแรกและเป็นคนสุดท้าย ยังดังก้องอยู่ในหูไม่รู้ลืม ทำให้ผมรู้สึกวิตก ยิ่งเป็นโรคเนื้อร้าย หรือมะเร็งแล้วก็ไม่มีเว้นว่าตนดีคนชั่ว ฉะนั้นผมกับคุณโกศล ปัทมะสุนทร หลานชายท่านเจ้าคุณนรรัตน ฯ และพระมหาเสริม ซึ่งพระมหาเสริม ท่านเจ้าคุณนรรัตน ฯ สั่งให้เข้ากุฏิได้ถ้ามีอะไรผิดปกติ สำหรับผมในฐานะเป็นหมอ เคยทำแผลให้ท่าน ส่วนพระเณรและอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลายก็ยังอออยู่หน้ากุฏิ คอยฟังข่าวอาการของท่านด้วยความเป็นห่วงและร้อนใจ เพราะท่านห้ามผู้อื่นเข้าทุกคน ก็เคารพคำสั่งของท่านไม่ละเมิด

พระมหาเสริมเมื่อเข้าไปแล้ว ในกุฏิของท่านไม่มีไฟใช้นอกจากจุดเทียนส่อง ท่านมหาเสริม ต้องใช้ไฟฉายส่องทาง ท่านมหาก็เปิดมุ้งของท่านเข้าไปดู นึกว่าท่านคงหลับ ก็เห็นท่านจำวัดในท่าปกติหงายมือคงจะพนมอยู่เหนืออกก่อนหมดลม เมื่อพิจารณา มหาเสริมสะดุ้งตกใจ เวลาผ่านไปสักครู่ท่านก็ตั้งสติได้ มาตามให้ผมเข้าไปในกุฏิเป็นคนที่ ๒ ติดตามด้วยคุณโกศล เมื่อผมได้เข้าไปตรวจดู ก็รู้ว่าท่านสิ้นลมไปนานแล้ว เพราะมือที่พนมอยู่ ตกห่างจากตัวแต่ก็ยังมีท่าพนมมือ เราต่างก็หันมามองดูตากันว่าเราจะทำอย่างไรดี แล้วตกลงกันว่า เราจะต้องปิดเป็นความลับไว้ก่อนอย่าเพิ่งเปิดเผยให้ผู้อื่นทราบ เรารู้กันแต่เพียง ๓ คน และควรปิดคุณจำเนียรไม่ให้รู้เรื่องนี้ เพราะผู้หญิงหากรู้เรื่องอย่างนี้แล้ว คงเสียอกเสียใจปิดความลับไม่อยู่ เรื่องก็จะแตก ความตั้งใจที่จะปิดเป็นความลับก็จะเสียหมด การที่เราตกลงใจปิดเป็นความลับก่อนเหตุผลก็คือ ในวันรุ่งขึ้นที่ ๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๔ พวกสานุศิษย์ของท่านพระครูอุดมคุณาทร มีมุทิตาจิตจัดงานฉลองแสดงความยินดีที่ท่านอาจารย์พระครูอุดมคุณาทร ได้รับเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระอุดมสารโสภณ ฉะนั้นหากท่านเจ้าคุณอุดมสารโสภณทราบเรื่องการมรณภาพของพระภิกษุพระยานรรัตน ฯแล้ว ท่านคงไม่ยอมให้พวกศิษย์มีการฉลองเด็ดขาด เพราะท่านเจ้าคุณอุดม ฯ ท่านเคารพนับถือพระภิกษุพระยานรรัตน ฯ มาก ทั้งถือว่าภิกษุพระยานรรัตน ฯ มีพระคุณกับท่านมากมาย งานที่ลูกศิษย์ลูกหาเตรียมการลงทุนลงแรงไว้อย่างใหญ่โตก็จะต้องเลิกล้ม เสียพิธีและเสียน้ำใจแทนที่จะแสดงความยินดี

เมื่อคิดแล้วว่า ถึงเวลาจำเป็นที่จะยอมให้ข่าวนี้แพร่ออกไปก่อนงานฉลองไม่ได้ ผมจะต้องแสดงละครฉากพิเศษ ซึ่งเราทั้งสามจะต้องร่วมใจกัน แต่คิดว่าท่านมหาเสริมท่านเป็นสงฆ์ ท่านไม่ต้องร่วมแสดง เพียงแต่ไม่ต้องพูด ผมรับบทแทนทุกอย่าง แต่การแสดงครั้งนี้ เพื่อยังประโยชน์ส่วนรวม เมื่อเราตกลงกันแล้ว ผมก็ต้องเป็นตัวเอกในฐานะผมเป็นแพทย์จะต้องแสดงกิริยาท่าทางให้แนบเนียน เพื่อมิให้พระเณร และผู้ที่เคารพทั้งชายหญิงที่กำลังรอคอยฟังข่าวอย่างร้อนรนที่หน้ากุฏิ ซึ่งต่างก็มีความรู้สึกไปต่าง ๆ การแสดงของผมในครั้งนี้ เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่คำพูดและกิริยาท่าทางกับจิตใจไม่ตรงกัน แต่ก็ต้องแสดงด้วยความจำเป็น เมื่อผมได้แง้มประตูค่อย ๆ เดินออกมาเป็นคนแรก ทั้งพระทั้งเณรและพวกสัปบุรุษและสีกากำลังกระหายที่จะรอฟังข่าวรายงานของผม ถึงอาการท่านเจ้าคุณ ฯ จะเป็นอย่างใด

เมื่อผมเดินออกมาก็ต้องแสดงกิริยาและสีหน้ายิ้มย่อง แสดงในปฏิกิริยา เพื่อแสดงให้ทราบว่า ไม่มีอะไรน่าวิตกทุกข์ร้อน เมื่อเห็นกิริยาท่าทางของผมแล้วก็มีเสียงถามถึงอาการ ผมก็บอกไปว่า หายเป็นห่วงได้ ไม่ต้องเป็นทุกข์เป็นร้อนไปเลย ผมทำแผลให้ท่านแล้ว ท่านต้องการพักผ่อนอีกวันก่อน ขออย่าให้ทุกคนรบกวนท่านโดยทำเสียงดัง ความจริงก็มีหลายท่านเป็นห่วง เพราะท่านไม่ได้ฉันอาหาร แต่การอดอาหารสำหรับท่านเจ้าคุณนร ฯ นั้นเกือบจะเป็นของธรรมดา ผิดแต่ที่ท่านไม่ลงโบสถ์เช้าเย็นเท่านั้น ฉะนั้นการที่จะพูดเพื่อให้เข้าใจจึงไม่ยากนัก เพียงบอกว่าพรุ่งนี้เช้าก็จะไม่ให้ลงโบสถ์ เย็นก็พอจะทราบว่าท่านลงโบสถ์ได้หรือไม่ คำพูดพร้อมด้วยหน้าตายิ้มแย้มไม่มีอะไรแฝงไว้ให้สงสัย น้ำหนักคำพูดของผมผู้เป็นหมอทำให้ทุกท่านที่ที่นั้นต่างก็โล่งใจ คลายวิตก เชื่ออย่างสนิทสนม ตลอดทั้งท่านท่านเจ้าคุณอุดมสารโสภณ ก็ไม่ได้สงสัย เมื่อผมได้พูดและบอกตามบทละครที่แสดงด้วยความจำเป็นแล้ว ผมก็ออกมาขึ้นรถกลับบ้าน แสดงให้เห็นว่าผมไม่มีอะไรเป็นห่วง หน้าตายิ้มแย้ม ผู้คอยฟังข่าวอาการของท่านก็ทยอยกันกลับ คลายความเป็นห่วงลงบ้าง นับว่าละครที่ผมแสดงฉากนั้นด้วยความไม่สบายใจแต่ก็สำเร็จเรียบร้อย ทำให้ทุกคนเชื่อได้

เมื่อผมขับรถออกมาแล้วก็นึกคิดและละอายใจที่จำเป็นต้องปิดบังความจริงไว้ ผมไม่ได้กลับบ้านอย่างผมแสดง ผมพยายามขัวรถวกเวียนถ่วงเวลาจนเกือบเที่ยงคืน แล้วผมก็วกกลับมาที่วัด จอดรถไว้ห่างไกล เป็นเวลาเงียบสงัด ผู้คนในวัดหลับนอนกันแทบหมดแล้ว ผมต้องคอยแอบไปหาท่านเจ้าคุณใหญ่ ท่านเจ้าอาวาส และท่านพระครูปัญญาภรณ์โศภน ได้แจ้งให้ท่านทราบเหตุผลว่า ผมได้ปิดบังเรื่องของเจ้าคุณนรรัตน ฯ ท่านได้มรณภาพแล้ว

ท่านเจ้าคุณใหญ่ฟังด้วยความสงบและเห็นใจที่ต้องทำเช่นนั้น เพื่อให้งานฉลองท่านเจ้าคุณอุดมสารโสภณผ่านไปก่อน เพราะพวกลูกศิษย์ต่างก็กำลังชื่นชมยินดี เมื่อรุ่งขึ้น งานเริ่มแต่เช้าถึงเวลาบ่าย งานฉลองท่านเจ้าคุณอุดม ฯ ผ่านไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงคิดว่าถึงเวลาแจ้งข่าวการมรณภาพของท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ให้ทราบ แล้วต่างก็ได้แพร่ออกมาภายนอกในบ่ายวันเสาร์ที่ ๙ นั่นเอง

ความจริงท่านมหาเสริมกับผม ไปเห็นท่านนอนหงายอยู่ในท่าสงบ ผมได้พิจารณาดูสิ่งแวดล้อมและเหตุผลแล้ว เห็นร่างท่านอยู่บนเสื่อมีผ้าห่ม เอามุ้งลงและมีไม้ทับไว้ทุกด้านเป็นระเบียบเรียบร้อย เหมือนท่านจะรู้ล่วงหน้าอยู่ก่อนแล้ว ตอนเช้า ๘.๐๐ น. ท่านยังยืนที่หน้าต่างบอกกับหลานผู้ส่งอาหารว่า วันนี้งดฉันให้เอากลับไป ทั้งท่านยังให้ช่วยบอกพระที่อยู่ใกล้เคียงให้บอกว่า วันนี้ท่านงดไม่ลงโบสถ์ ท่านคงมรณภาพหลังจาก ๘.๐๐ น. ไปแล้ว

ข่าวลือกันต่อ แพร่ออกมาจากผู้ไม่รู้ ไม่เห็น ได้แต่เดาผิด ๆ ว่าท่านมรณภาพในห้องน้ำทั้งยังบอกว่า พระมหาเสริมกับผมได้พรางเรื่องไว้ โดยจัดแจงช่วยกันยกร่างที่หมดลมของท่านขึ้นไปชั้นบน เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง พระมหาเสริมกับผมไม่ได้เคลื่อนไหวร่างของท่านเลย ผมขอรับรองด้วยความสัตย์จริง คนที่ไม่ได้เห็นมักจะเดาผิด ๆ ทำให้คนเข้าใจผิด ๆ ถ้าไปได้เห็นภายในกุฏิของท่านแล้วคงจะไม่พูดเช่นนั้น ผมขอพูดด้วยเกียรติลูกผู้ชาย เราไม่ได้ยกร่างของท่านเคลื่อนที่ไปไหนเลย ในกุฏิไม่มีไฟฟ้าใช้ มีแต่เทียน เวลานั้นประมาณ ๑ ทุ่ม แม้จะเดินตัวเปล่าก็แทบจะคลำกันแล้ว ดีไม่ดี หกล้ม นี่แหละครับ มีคนมักจะกุข่าวให้เข้าใจผิด ไม่นึกถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้น

ข้าพเจ้าฟังหมอเล่าแล้วพิจารณาดูก็เห็นใจจึงบอกว่า “ผมเชื่อที่หมอพูดนั้นเป็นความจริง เพราะคนพูดเขาไม่ได้เห็น คนที่เห็นเขาคงไม่พูด ผมเชื่อเพราะเหตุผลของหมออย่างหนึ่ง และอีกอย่าง ที่ผมแน่ใจว่า ท่านเป็นพระปฏิบัติธรรม บรรลุชั้นสูง ท่านรู้เวลา ท่านมาถอดกลอนไว้ล่วงหน้าก่อน ซึ่งตามปกติท่านจะใส่กลอน แสดงว่าท่านได้เตรียมพร้อมจะสละร่างไป ท่านเป็นผู้ที่ไม่ประมาท มีสติ ย่อมไม่มรณภาพในห้องน้ำแน่นอน ฉะนั้นผมจึงคิดว่า คนที่พูดไม่เห็น คนที่เห็นไม่พูด หากผู้ฟังแล้วคิด พิจารณาด้วยสติปัญญา หาเหตุผลด้วยตนเองแล้ว ไม่มีใครเชื่อ หากผู้ฟังแล้วไม่คิด มักเป็นคนเชื่อง่ายก็คงมี เป็นเรื่องธรรมดาของแต่ละบุคคล และส่วนมากในยุคปัจจุบัน ความจริงย่อมหนีความจริงไม่พ้น”

"เนาว์สถิตย์" (NAOSATITT)  [webmaster]



IP : 171.98.142.xxx  |   เมื่อ: 8 มกราคม 2557 เวลา: 18:58:26 น.
    
"ถ้าคิดถึงอาตมาก็ให้คิดถึง ธมฺมวิตกฺโก
เพราะ ธมฺมวิตกฺโก คือการระลึกถึงธรรม
เมื่อคิดถึงเช่นนี้แล้ว ธมฺมวิตกฺโก ก็จะอยู่ข้าง ๆ เสมอ
ไม่จำเป็นจะต้องมาหาอาตมา
เพราะเมื่อมาหาก็มาเห็นแต่สังขาร
ซึ่งวันหนึ่งก็จะเน่าเปื่อยและเสื่อมสิ้นไป จงระลึกถึงธรรมดีกว่า
จะมีคุณค่าต่อชีวิตยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด"

พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต(ธมฺมวิตกฺโกภิกขุ)
วัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพมหานคร
"เนาว์สถิตย์" (NAOSATITT)  [webmaster]


 IP : 171.98.142.xxx  |   เมื่อ: 8 มกราคม 2557 เวลา: 19:17:33 น.

 หมายเหตุพิเศษ ,  ชั่วชีวิตของท่านเจ้าคุณนรรัตน์ฯนั้น ไม่เคยทำการหลบลี้หรือหลีกหนีสัจจธรรม แม้อาพาธเป็นแผลมะเร็งที่น่ากลัว น่าสยดสยอง ที่ตามปกติ คนหรือพระทั่วๆไปจะปิดจะบังมิให้ใครเห็นเป็นเด็ดขาด เพราะเกรงจะเสียภาพลักษณ์ แต่ท่านเจ้าคุณนรฯกลับกระจกมาส่องเวลาหมอชำระแผลให้ และให้ถ่ายภาพไว้ให้คนได้ศึกษาถึงความที่ "คนเรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา"ไว้อีกด้วยอย่างที่ไม่มีใครกล้าทำ

 แม้ยามมรณภาพ ท่านก็มิได้อธิษฐานทิ้งร่างให้คนหลงใหลยึดติด แต่ปล่อยให้สรีรสังขารเน่าเปื่อยเสื่อมสลายไปตามธรรมชาติ เป็นการเอาตัวของท่านเป็น"ครู"สอนคนรุ่นหลังอย่างชนิด"ถึงลูกถึงคน" อย่างที่ไม่เคยมีพระเถระองค์ใดทำแบบนี้มาก่อน
ด้วยเหตุฉะนี้ ท่านเจ้าคุณนรจึงนับเป็น"อาจารย์ใหญ่"ฝ่าย"โลกุตระ"ที่สามารถสอนอริยสัจจธรรมให้เข้าถึงใจอย่างเป็นรูปธรรมที่หาได้ยากอย่างยิ่งอย่างที่สุดโดยแท้จริง

 ภาพ 2 ภาพนี้ เป็นภาพลับเฉพาะที่ไม่เคยมีการเปิดเผยมาก่อน แสดงให้เห็นสรีรสังขารของท่านเจ้าคุณนรฯขณะกำลังบวมพอง น้ำเหลืองไหลนอง ขณะรับพระราชทานน้ำสรงศพพระราชทาน เหตุเพราะกว่าทุกคนจะรู้ว่าท่านเจ้าคุณนรฯมรณภาพ ก็ล่วงเลยไปเป็นวันๆ หลังจากที่ท่านไม่ลงทำวัตรทั้งเช้าและเย็น แถมยังตอนนั้น กำลังมีงานฉลองสมณศักดิ์อดีตเจ้าคุณอุดมฯอีกต่างหาก คนวงในเลยต้องปิดข่าว เพราะกลัวงานฉลองสมณศักดิ์จะล่มกลางคัน และเก็บศพท่านเจ้าคุณนรฯไว้เงียบๆอีกวันหนึ่งโดยไม่มีการฉีดยาใดๆ "อนิจจลักษณะ"และ "อสุภกรรมฐาน"จึงได้สำแดงสภาวะของจริงให้ปรากฏอย่างชัดแจ้ง สมดังเจตนาของท่านเจ้าคุณ  ที่เสมือนจะประสงค์ในอันที่จะเป็น"อาจารย์ใหญ่"ในวาระสุดท้ายให้ผู้มีปัญญาได้น้อมนำไปพิจารณาปลงสังขาร เพื่อก้าวล่วงจากกามแห่งสังสารเข้าสู่อมตมหาปรินิพพานอันเกษมสานต์ ไม่มีการเกิด แก่ เจ็บ และตายตราบชั่วจิรกาลตามท่านในที่สุดด้วยประการดังนี้แลฯ



จดหมายเหตุ เจ้าคุณนรรัตนราชมานิต(ธมฺมวิตกฺโกภิกขุ)
เพราะ ธมฺมวิตกฺโก คือการระลึกถึงธรรม
ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ฯปลงสังขาร

: http://www.gmwebsite.com/Webboard/Topic.asp?TopicID=Topic-100205084546952