ผู้เขียน หัวข้อ: ถ้า"ไม่อยากมาเกิดอีกแล้ว" บ้านนักเขียน พิมาน ปัญญาดี  (อ่าน 1930 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด


ถ้า"ไม่อยากมาเกิดอีกแล้ว"
บ้านนักเขียน พิมาน ปัญญาดี

มีคนเป็นจำนวนมากที่บอกว่า "ไม่อยากมาเกิดอีกแล้ว" ส่วนใหญ่มักเป็นผู้หญิงที่พูดแบบนี้ บางคนบอกว่า "ถ้าขอได้ จะขอไม่เกิดอีกแล้ว" ได้ยินประโยคในทำนองนี้หลายครั้งหลายหนจากปากของผู้หญิงหลายคน ส่วนมากอยู่ในวัย 50-80 ปี
บางคนเบื่อหน่ายชีวิตที่ต้องพบต้องเจอแต่คนไม่ดี บางคนเบื่อหน่ายชีวิตที่ต้องเจอเหตุการณ์ที่ไม่อยากเจอ บางคนอาจจะบรรลุธรรมเลยอยากจะไปนิพพาน หรือเหตุผลอื่น ๆ แต่จะด้วยเหตุผลใดก็ตามที่ทำให้คนเราไม่อยากมาเกิดอีกแล้ว หากเป็นความตั้งใจจริง ไม่ใช่แค่พูดเล่น ๆ ก็มีหนทางทำได้ครับ โดยวิธีปฏิบัติดังนี้

1. มีชีวิตอยู่กับวินาทีนี้เท่านั้น จิตไม่วอกแวกไปคิดถึงสิ่งที่ผ่านมาแล้ว ไม่วิตกกังวลกับนาทีต่อไป อยู่กับปัจจุบันอย่างมีใจสงบ ใช้ชีวิตประจำวันตามปกติ

2. เวลาได้ยิน ได้ฟัง ได้พบ ได้เห็น ได้เจออะไร ต้องทำใจเป็นกลาง ไม่ดีใจกับสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้น ไม่เสียใจ ไม่หวั่นไหว ไม่วิตกกังวลกับสิ่งร้าย ๆ ที่เกิดขึ้น ไม่รู้สึกโกรธใครที่พูดหรือทำอะไรไม่ถูกใจ ไม่รู้สึกอิจฉาใครที่มีความสุขความเจริญมากกว่าเรา ไม่รู้สึกอยากได้เงินทองหรือทรัพย์สินหรือสิ่งใดทั้งสิ้น สงบใจได้กับทุกสิ่งรอบตัว

3. ไม่คิดถึงใคร ไม่ห่วงใยใคร ไม่เสียดายสิ่งของที่มีอยู่ ถ้าต้องตายในวินาทีนี้ ก็ตายได้เลยโดยไม่ต้องการอะไรทั้งสิ้น ไม่ต้องการให้ลูกหลานพร้อมหน้าพร้อมตา ไม่ต้องการสั่งเสียอะไรใคร ใครจะจัดการเรื่องมรดกอย่างไร เป็นเรื่องของคนที่ยังไม่ตาย เราสามารถปล่อยวางได้ทุกเรื่อง ไม่มีห่วงใด ๆ ไม่โศกเศร้าเสียใจที่จะต้องตาย ไม่ห่วงใยลูกหลานญาติพี่น้องที่ยังไม่ตาย ปลดปล่อยตัวเองจากความผูกพันทั้งหมดทั้งปวง ใครจะจัดการศพอย่างไร ก็เป็นเรื่องของคนที่ยังอยู่ เราตายแล้วก็หลุดพ้นแล้ว

คิดแบบง่าย ๆ คือ ทำตัวเราให้เหมือนก้อนหินที่ไม่มีชีวิต แค่ยังมีลมหายใจก็อยู่ต่อไปตามปกติ แต่ไม่มีความรู้สึกโกรธ เกลียด อิจฉา อยากได้ ดีใจ ปลื้มใจ กังวลใจ ฯลฯ ไม่รักใคร ไม่คิดถึงใคร ไม่ห่วงใยใคร ปล่อยวางได้หมดทุกเรื่อง โกรธใครไม่เป็น ไม่หวั่นไหวกับอะไร ไม่อยากได้ใคร่มี อยู่อย่างไรก็ได้ นอนอย่างไรก็ได้ เพียงแต่ยังไม่ตายก็ทำอะไรไปตามปกติอย่างมีใจสงบตลอดเวลา จนถึงวินาทีสุดท้าย ก็จากไปอย่างสงบ ปราศจากความผูกพันใด ๆ เท่านี้ก็จะไม่เกิดอีกแล้วละครับ
..
..

Pimahn Panyadee
สำหรับคนที่อยาก "ตัดกรรม" ก็เอาวิธีนี้ไปใช้ได้ครับ จะตัดกรรมได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็ปล่อยวางอย่างเดียว ทำใจให้สงบอย่างเดียว ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ ใช้ชีวิตประจำวันไปตามปกติ ทำในสิ่งที่เราทำได้ และไม่เบียดเบียนใคร ไม่ทำอะไรให้ใครเดือดร้อน

..
..
การควบคุมอารมณ์ตนเองเป็นเรื่องที่ยากที่สุด เพราะคนเรามักชอบควบคุมคนอื่น วิจารณ์คนอื่น แต่ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการควบคุมตนเอง วิจารณ์ตนเอง ถ้าเราฝึกนิสัยควบคุมตนเอง วิจารณ์ตนเองเป็นประจำ เราจะระงับยับยั้งอารมณ์ได้รวดเร็ว และควบคุมตนเองได้ดี จนถึงระดับที่ไม่เกิดอารมณ์ง่าย ๆ

ที่คุณ Umawadee Wattananukul บอกว่า "ทำไมคนสมัยนี้จิตใจยากแท้หยั่งถึง" อันที่จริงแล้ว คนสมัยไหนก็เหมือนกันครับ ต่างกันที่เทคโนโลยีสมัยนี้เจริญก้าวหน้าไปไกลกว่าสมัยก่อน แต่เรื่องจิตใจไม่ต่างกัน ยังมีทั้งคนดีและคนชั่ว เพราะมนุษย์มีกิเลส มีความโลภ มีความโกรธ มีความอิจฉาริษยา มีความอยากได้ใคร่มี มีความเจ้าเล่ห์เพทุบาย เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมาเป็นในสมัยนี้

สมัยก่อนยิ่งโหดร้ายกว่า วิธีฆ่าก็โหดร้ายกว่า สมัยก่อนมีทาส มีการล่ามโซ่ บีบขมับ ตอกเล็บ จัดกดน้ำ แล่เนื้อเอาเกลือทา ฯลฯ สมัยนี้มีสื่อ มีมนุษยธรรมมากขึ้น มีความละอายมากขึ้นเมื่อตกเป็นข่าว สมัยก่อนไม่มีการตกเป็นข่าวแพร่รวดเร็วอย่างสมัยนี้

คนเราควรเป็นตัวของตัวเอง ถ้าเราใช้สติปัญญาพิจารณาแล้วว่าดี เราก็ทำอย่างที่เราคิด ไม่ควรหวั่นไหว ไม่ควรวิตกกังวลว่าคนอื่นจะมองว่าเราโง่ มองว่าเราแปลกประหลาด เราห้ามความคิดคนอื่นไม่ได้ เราควบคุมตัวเองให้ได้จะดีกว่าครับ ถ้าเราคิดดี ทำดี เราก็ไม่ต้องกลัวอะไร เพราะถึงอย่างไร เราก็ต้องได้รับผลดีแน่นอน แต่ถ้าต้องเจอสิ่งร้าย ๆ ก็เป็นเพราะกรรมไม่ดีที่เราเคยทำมา

คนเราทุกคนไม่มีใครบริสุทธิ์ปราศจากกรรมไม่ดี เพราะคนเรามีกิเลส บางทีเผลอสติทำไม่ดีไปเพราะความโกรธ เพราะความโลภ เพราะความอิจฉาริษยา ยิ่งมีอำนาจมาก ยิ่งทำชั่วได้มาก เพราะลุแก่อำนาจ อย่างไรก็ตาม ทุกสิ่งที่เราทำไว้แก่ผู้อื่น ย่อมจะย้อนมาเกิดแก่เราเป็นกฏแห่งกรรมเสมอครับ
ตอบกลับ · 4 · 13 พฤศจิกายน 2558 เวลา 20:00 น.

Pimahn Panyadee :บ้านนักเขียน พิมาน ปัญญาดี
12 พฤศจิกายน 2558 เวลา 14:40 น. ·
https://www.facebook.com/Pimahn