จิตเห็นจิต จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง คืออะไร?
จิตเห็นจิต หรือก็คือสติเห็นจิตนั่นเอง พอที่จะจำแนกออกได้เป็น ๒ ลักษณะคือ
๑. สติเห็นจิต จิตที่หมายถึงจิตตสังขารเช่นความคิด,นึก หรือเจตสิกอันคืออาการของจิตต่างๆนั่นเอง ซึ่งก็คือจิตตานุปัสสนานั่นเอง
๒. บางทีก็จัดกันโดยทั่วไปอีกด้วยว่า จิตเห็นเวทนา คือสติเห็นเวทนาหรือเวทนานุปัสสนานั่นเอง ก็เป็นอาการหนึ่งของจิตเห็นจิตด้วยก็ได้ เพราะเวทนาคือสุข,ทุกข์,ไม่สุขไม่ทกข์ ก็เป็นอาการหนึ่งของจิตด้วยเช่นกัน
ดังนั้นจิตเห็นจิต โดยโลกุตระแล้ว จึงมิได้หมายความถึง การเห็นจิตเป็นดวง เป็นแสง เป็นโอภาส หรือเห็นเป็นเจตภูต เป็นวิญญาณหรือปฏิสนธิวิญญาณ หรือแม้แต่รูปนิมิตต่างๆแต่อย่างใด, จิตเห็นจิตจึงมีความหมายว่าจิตมีสติระลึกรู้เท่าทันที่ประกอบด้วยปัญญาในเวทนาหรือจิตตสังขาร, จิตเห็นจิตเป็นมรรค คือเป็นหลักการปฏิบัติที่ดีงามยิ่ง ที่เรียกกันโดยทั่วไปในการปฏิบัติวิปัสสนาทั้งของเวทนานุปัสสนาและจิตตานุปัสสนาก็ได้นั่นเอง
การเห็นจิตเป็นดวง มักเกิดขึ้นจากการเข้าใจผิดที่เรียกจิตในลักษณะนามว่า ดวง เหมือนดั่งการเรียกช้างเป็นเชือก มีดเป็นเล่ม, เมื่อปฏิบัติ ความเข้าใจผิดก็มักแอบเลื่อนไหลเข้าไปแฝงโดยไม่รู้ตัว ไปพยายามเพ่งหรือคิดไปว่าจิตเป็นดวง จนในที่สุดเกิดนิมิตและปรุงแต่งว่าจิตเป็นดวง ดั่งดวงดาวขึ้นจริงๆ
เวทนานุปัสสนา เป็นอาการที่จิตหรือสติเห็นเวทนาอันคือความรู้สึก(Feeling) เป็นสุข เป็นทุกข์ หรือเฉยๆ ที่ย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดาด้วยเป็นอนัตตาไม่ใช่ตนไม่ใช่ของตัวตนจึงควบคุมบังคับไม่ได้ ดังนั้นเมื่อเกิดการผัสสะต่างๆ แม้แต่เหล่าความคิดคือธรรมารมณ์, และเห็นที่หมายถึงการระลึกรู้เท่าทัน ดังนั้นเวทนานุปัสสนาจึงหมายถึง การที่จิตหรือสติระลึกรู้เท่าทันในเวทนาต่างๆที่เกิดขึ้น ทั้งภายในแลภายนอก แล้วประกอบด้วยการอุเบกขาหรือการไม่ยึดมั่นด้วยปัญญาเข้าใจดีอย่างแจ่มแจ้งว่า สักแต่ว่าเวทนา คือ สักแต่ว่าเป็นเช่นนั้นเองเป็นธรรมดาหรือตถตา กล่าวคือ เมื่อเกิดการผัสสะขึ้น ย่อมเกิดเวทนาคือความรู้สึกรับรู้ในอารมณ์ เป็นสุข เป็นทุกข์ หรืออทุกขมสุขเวทนา อย่างใดอย่างหนึ่งต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ด้วยปัญญาจึงไม่สมควรไปยึดมั่นเพราะย่อมเกิดขึ้นดั่งนี้เป็นธรรมดา
ส่วนจิตตานุปัสสนา เป็นอาการที่จิตหรือสติเห็นคือระลึกรู้เท่าทันจิต จิตที่หมายถึงจิตตสังขารหรือเจตสิกต่างๆที่เกิดขึ้นและเป็นไปทั้งภายในแลภายนอก เช่น จิตมีราคะ(จิตหรือจิตตสังขารหรือความคิดที่ประกอบด้วยราคะ),ไม่มีราคะ จิตมีโทสะ,ไม่มีโทสะ จิตมีโมหะ,ไม่มีโมหะ ฯ จิตเห็นความคิดฟุ้งซ่านหรือความคิดปรุงแต่งฯ จิตเห็นจิตที่มีอาการหดหู่ฯ จิตมีสมาธิ ฯ. กล่าวคือเหล่าโลภะ โทสะ โมหะ คือ โลภ โกรธ หลง ฯลฯ.เหล่านี้นั้น ล้วนเกิดขึ้นได้ต้องประกอบด้วยความคิดความนึกที่ประกอบด้วยโลภ โกรธ หลง เพราะโลภ โกรธ หลง ไม่สามารถอยู่แต่เดี่ยวๆได้ ดังนั้นด้วยสติที่รู้เท่าทัน ประกอบด้วยปัญญาญาณจากการหยั่งรู้อย่างแจ่มแจ้ง จึงหยุดการปรุงแต่งหรือฟุ้งซ่านเสีย เมื่อปราศจากจิตตสังขารคือความคิดนึกปรุงแต่งแล้ว เหล่าโลภะ โทสะ โมหะ ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ ก็เนื่องจากเหล่ากิเลสคือราคะ โทสะ โมหะ ฯลฯ ล้วนต่างต้องมีจิตคือจิตตสังขารเป็นเครื่องอาศัยนั่นเอง อุปมาดั่งเห็บหมัดที่ต้องอาศัยสุนัขเป็นเรือนอยู่นั่นเอง เมื่อไม่มีเหล่าสุนัขคือแหล่งเกาะอาศัยเสียแล้ว เห็บหมัดเหล่านั้นย่อมต้องหายคือดับไปเป็นที่สุด
ปัญหาที่นักปฏิบัติสงสัยกังวลกันก็คือ แล้วควรปฏิบัติจิตเห็นจิตในลักษณะใดกัน จึงได้ผลดีที่สุด
ความจริงแล้วทั้ง ๒ ต่างล้วนถูกต้องดีงามด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ล้วนเป็นหลักปฏิบัติสำคัญในสติปัฏฐาน ๔ ที่จำเป็นต้องรู้เข้าใจและปฏิบัติทั้ง ๒ แต่ความชำนาญย่อมแตกต่างกันออกไปตามจริต สติ สมาธิ ปัญญา การสั่งสมปฏิบัติของแต่ละบุคคลเป็นสำคัญ ดังนั้นความชำนาญหรือวสีจึงย่อมแตกต่างกันออกไปบ้างเป็นธรรมดา แต่ก็ควรศึกษาและปฏิบัติในจิตเห็นจิต ทั้ง ๒ ลักษณะ เหตุเพราะว่าบางขณะแลบางบุคคล เมื่อปฏิบัติหรือดำเนินอยู่ในชีวิตประจำวัน อาจสังเกตุเห็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นคือเวทนาเป็นสุขเป็นทุกข์ได้ชัดเจนในเรื่องบางประการที่เกิดขึ้น ส่วนในบางเรื่องหรือบางขณะก็สังเกตุเห็นเจตสิกคืออาการของจิตเช่นความคิดฟุ้งซ่านได้ชัดง่ายกว่า จึงไม่เป็นหลักตายตัวในการปฏิบัติในชีวิตประจำวัน จึงขึ้นอยู่กับจิตหรือสติจักเห็นอะไรได้ดีกว่ากันเป็นสำคัญ
ดังนั้นในการปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน จิตเห็นเวทนาหรือจิตสังขารอันใดก่อนก็ย่อมได้ ด้วยให้ผลที่ดียิ่งเหมือนกัน แต่ล้วนต้องประกอบด้วยความไม่ยึดมั่นหมายมั่น ดังที่กล่าวแสดงไว้ในท้ายทุกบททุกตอนในมหาสติปัฏฐานสูตร หรือก็คืออาการอุเบกขาเสียนั่นเองเป็นสำคัญอีกด้วย ดังนั้นนักปฏิบัติที่จิตเห็นจิตได้แจ่มแจ้งชัดเจนดีแล้ว แต่ลืมการอุเบกขาประกอบการปฏิบัติด้วย ย่อมได้ผลไม่บริบูรณ์เต็มที่นั่นเอง
เมื่อกล่าวถึงจิตเห็นจิต ก็สมควรกล่าวถึงจิตเห็นกาย ซึ่งก็คือกายานุปัสสนา คือการที่จิตหรือสติเช่นกันระลึกรู้เท่าทันในกาย ดังที่ได้กล่าวไว้โดยละเอียดแล้วในสติปัฏฐาน ๔ หรือในมหาสติปัฏฐานสูตร เช่น ลมหายใจอันเป็นสังขารปรุงแต่งขึ้นมาอย่างหนึ่งของกาย การเคลื่อนไหว(อิริยาบถ) ความเป็นปฏิกูลไม่งามของกาย ฯ. อันเป็นที่อยู่ของจิตหรือสติอันดียิ่งอีกอย่างหนึ่ง กล่าวคือจิตหรือสติย่อมไม่ดำริ(คิด)พล่านออกไปปรุงแต่งหาเรื่องราวให้เกิดการผัสสะอันเป็นทุกข์ขึ้น และยังเห็นในความไม่เที่ยง ไม่งามเป็นปฏิกูลของกายในแบบต่างๆอีกด้วย ที่ย่อมยังให้เกิดนิพพิทาญาณเป็นที่สุดดังจิตเห็นจิตข้างต้นเช่นเดียวกัน
ส่วนจิตเห็นธรรมหรือธัมมานุปัสสนา ก็คือการที่จิตหรือสติเห็นธรรม คือข้อธรรมอันเป็นสภาวธรรมต่างๆด้วยความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง อันย่อมเป็นเครื่องอยู่เครื่องอาศัยของจิตอันดีเลิศ ไม่ดำริพล่านออกไปภายนอกคือปรุงแต่ง ทั้งยังให้เกิดปัญญาญาณความรู้ความเข้าใจอันแจ่มแจ้งขึ้นเป็นลำดับ เป็นที่สุด
เมื่อกล่าวถึงการปฏิบัติในชีวิตประจำวันของทั้ง ๔ ก็เป็นเฉกเช่นเดียวกับจิตเห็นจิตดังข้างต้น กล่าวคือต่างก็ล้วนดีงาม ล้วนเป็นไปเพื่อยังประโยชน์เพื่อนิพพิทาญาณ เพื่อการปล่อยวางกันทั้งสิ้น ดังนั้นเมื่อจิตหรือสติระลึกรู้ใน กาย เวทนา จิต ธรรม ใดๆก็เป็นการปฏิบัติที่ดี ที่ถูก ที่ควรทั้งสิ้น
ส่วนเคล็ดลับของการปฏิบัติในสติปัฏฐานทั้ง ๔ หมายถึงขณะศึกษาปฏิบัติแบบเต็มรูปแบบ ล้วนอยู่ที่การมีสติเป็นสำคัญ จึงไม่ใช่การพยายามปฏิบัติให้เป็นสมาธิหรือฌานในระดับประณีตแต่อย่างใด เพียงแต่อาจเกิดขึ้นบ้างเป็นธรรมดาเมื่อสติอ่อนเลื่อนไหลไปลงภวังค์ หรืออาจเข้าสู่ฌานสมาธิในระดับที่ละเอียดประณีตแต่ย่อมไม่อาจเจริญวิปัสสนาได้ จึงพึงตั้งกายตรง ดำรงสติให้มั่น ก็เพื่อมิให้เลื่อนไหลขาดสติไปลงภวังค์ิ หรือมิให้ง่วงงุนได้ง่ายๆนั่นเอง และอาการตามดูหรือรู้ลมหายใจอย่างมีสตินั้น เช่นหายใจเข้ายาว ก็รู้ว่าเข้ายาว ออกสั้นก็รู้ว่าออกสั้น หรือหยุดก็รู้ว่าหยุด ฯ. ดีกว่าการบริกรรมล้วนๆ เพราะสติที่เฝ้าติดตามทำหน้าที่อย่างดียิ่งย่อมได้ทั้งสติและสัมมาสมาธิคือจิตตั้งมั่น ย่อมทำให้ไม่ง่วงงุนจนเลื่อนไหลไปลงภวังค์ได้ง่ายๆอีกเช่นกันนั่นเอง ดังนั้นวิธีการต่างๆในการปฏิบัติที่แตกต่างกันไปตามครูบาอาจารย์นั้น ถ้าถูกต้องล้วนก็คืืออุบายวิธีเพื่อให้มีสติตั้งมั่น ที่ย่อมได้สมาธิเป็นผลพลอยได้อีกด้วย,
พึงระลึกว่าสติปัฏฐาน ๔ แท้จริงแล้ว
เป็นการอบรมจิต ให้มีสติตั้งมั่น คือสติที่ประกอบด้วยสัมมาสมาธิ ๑
เมื่อประกอบด้วยสติตั้งมั่นดีแล้ว ก็ย่อมเหมาะแก่การใช้งานคือการเจริญวิปัสสนาในธรรม อันย่อมเป็นเครื่องหนุนให้เกิดปัญญา ๑
สติปัฏฐาน ๔ จึงเป็นสมถวิปัสสนาอันดีเลิศ คือประกอบด้วยทั้ง สติ สมาธิ(สัมมาสมาธิ) และปัญญา
ดังนั้นสติปัฎฐาน ๔ จึงเป็นการอบรมจิตให้มีสติให้ตั้งมั่น แล้วยังประกอบด้วยการใช้สติที่ย่อมระงับแล้วซึ่งความดำริพล่านไม่ส่งออกไปฟุ้งซ่านปรุงแต่ง เป็นบาทฐานไปในการเจริญวิปัสสนาในธรรมให้เกิดปัญญาญาณ ธรรมใดเล่า? ก็กาย เวทนา จิต หรือธรรมใดๆ ที่ถูกต้อง ถูกจริต ดังเช่นที่แสดงไว้บ้างแล้วในธัมมานุปัสสนาบ้าง เช่น อริยสัจ ๔ ขันธ์ ๕ พระไตรลักษณ์ ฯ. หรือเป็นธรรมอื่นๆเช่น ปฏิจจสมุปบาท ฯ. ส่วนในการปฏิบัติในการดำเนินในชีวิตประจำวัน นั้นก็เช่นกัน มีสติละความดำริพล่านแล้ว ก็มีสติหรือจิตเห็นกาย หรือเวทนา หรือจิต หรือธรรม อยู่เนืองๆในชีวิตประจำวันนั้นๆนั่นเอง แล้วประกอบด้วยการไม่ยึดมั่นถื่อมั่น ด้วยการอุเบกขาเป็นกลางวางทีเฉย ที่หมายถึง รู้สึกเป็นสุขหรือทุกข์อย่างไรไม่สำคัญเป็นไปตามธรรมหรือตามผัสสะที่เกิดขึ้นของมันเป็นธรรมดา แต่ต้องไม่เอนเอียงเข้าไปแทรกแซง ด้วยถ้อยคิด หรือกริยาจิตใดๆในเรื่องนั้นๆ แม้แต่การ เอ๊ะ อ๊ะ
แล้วเอ๊ะ อ๊ะ คืออะไร? บางครั้งแลดูราวกับว่าไม่ได้เกิดธรรมารมณ์พวกฟุ้งซ่านหรือปรุงแต่งขึ้น แต่การคิดเล็กน้อยแม้ดั่งการเอ๊ะ อ๊ะ ใดๆในจิตดังกล่าว แม้แลดูเหมือนว่าไม่มีโทษภัย แต่ความจริงแล้วจิตแฝงด้วยความหมายอยู่ในที เพียงแต่ไม่เห็นจิตหรือกริยาของจิตนั่นเอง การเอ๊ะอ๊ะจึงเป็นกริยาจิต เป็นธรรมารมณ์พวกความคิดฟุ้งซ่านหรือปรุงแต่งอย่างหนึ่งนั่นเอง จึงย่อมยังให้เกิดการผัสสะเป็นสุขเป็นทุกข์ขึ้นได้เป็นธรรมดา ดังเช่น
เอ๊ะ! (ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ ไม่เป็นอย่างนั้นตามใจปรารถนา)
เอ๊ะ! (ไม่น่าเลย)
เอ๊ะ! (ทำไมถึงทำอย่างนี้กับฉันได้)
อ๊ะ! (ต้องอย่างนี้สิ)
ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวครอบคลุมว่า หยุดแทรกแซงด้วยทั้งถ้อยคิด แม้กริยาจิตดังเช่นการเอ๊ะอ๊ะดังกล่าว และไม่ใช่หมายถึงการต้องหยุดคิดทั้งปวง คิดเรื่องอื่นได้แต่อย่าให้เป็นพวกความคิดชนิดฟุ้งซ่านหรือปรุงแต่งไปให้เกิดทุกข์ เช่นคิดพิจารณาในธรรมคือเห็นจิตที่เกิดขึ้นนี้ หรือคิดเรื่องกิจหรืองานใดๆอันควร ฯ.
กล่าวโดยรวมแล้ว การมีสติหรือจิต อยู่กับสิ่งหนึ่งสิ่งใดในธรรมทั้ง ๔ ย่อมล้วนยังให้จิตหยุดการฟุ้งซ่านออกไปปรุงแต่งต่างๆให้เกิดสุขทุกข์ แต่อยู่ในธรรมทั้ง ๔ ที่เมื่อสั่งสมย่อมยังให้เกิดสติแก่กล้าและถาวรขึ้นเป็นลำดับ และเมื่อไม่ฟุ้งซ่านจิตย่อมสงบระงับเหมาะแก่การพิจารณาธรรมคือเจริญวิปัสสนาให้เกิดปัญญาเป็นที่สุด
สติแก่กล้าและถาวร ที่หมายถึง ระลึกรู้ได้เร็ว อยู่เสมอๆ สตินั้นก็เหมือนสังขารทั้งปวง เกิดดับๆๆ อยู่เสมอ กล่าวคือเมื่อเกิดการผัสสะขึ้นก็เกิดการระลึกรู้เท่าทันขึ้นเสมอๆ อันเกิดขึ้นจากการปฏิบัติสั่งสมนั่นเอง หรือก็คืออาการของมหาสตินั่นเอง
กระดานธรรม๓
http://www.nkgen.com/243.htm