ริมระเบียงรับลมโชย > รับสายลมเย็นหน้าระเบียง

คนค้นฅน ตอน ศิลปินนอกคอก (ลุงไม้ร่ม ธรรมชาติอโศก) ใครแฟนคลับ ลุง เชิญทู้นี้ เลย

(1/2) > >>

มดเอ๊กซ:










https://www.youtube.com/v/7WN7r9YVZzg

คนค้นฅน ตอน ศิลปินนอกคอก (ลุงไม้ร่ม ธรรมชาติอโศก) ออกอากาศวันที่ 11 พฤศจิกายน 2552

มดเอ๊กซ:





บ้าจริง ไม่บ้าจี้ ไม้ร่ม ธรรมชาติอโศก

“วันเวลาล่วงไป บัดนี้เธอทำอะไรอยู่ ดีหรือชั่ว”
      
       ไม่เพียงจะจากป่าดงดิบ อ.พะโต๊ะ จ.ชุมพร เดินทางเข้าสู่เมืองกรุง เพื่อนำผลงานศิลปะชุด “กะหรุบกุบกิบ” มาจัดแสดงเดี่ยวในฐานะทูตสวรรค์ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป ถ.เจ้าฟ้า เมื่อเดือนมีนาคม 2552 ที่ผ่านมา ศิลปิน วิโรจน์ นุ้ยบุตร ยังหอบเอาถ้อยคำมากมายมากระตุกสติของใครหลายคนให้คืนสู่ปัจจุบันขณะที่กำลังเป็นไป และเป็นไม้ร่มให้มิตรสหายได้เข้าไปหลบร้อนให้หัวใจเย็นสบายคลายทุกข์โศก ไม่ต่างจากชื่อปัจจุบันของเขา ไม้ร่ม ธรรมชาติอโศก
      
       ทูตสวรรค์ปรากฏตัวในชุดผ้าฝ้าย สองเท้านั้นเปลือยเปล่า เพราะไม่ได้สวมรองเท้าเช่นคนทั่วไป บนศรีษะซึ่งทาด้วยขี้ชันและขี้เทียน ประดับไปด้วยลูกอินทนิน ลูกมังคุด และเมล็ดพืชตามฤดูกาล เท่าที่จะพอหาได้จากผืนป่าภาคใต้อันเป็นชายคาพักอาศัยของชีวิต ณ เวลานี้
      
       ภาพลักษณ์ภายนอกที่แตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไป จึงทำให้มิตรหน้าใหม่ยากจะเชื่อว่า ครั้งหนึ่งชายวัย 67 ปีผู้นี้ ก็เคยมีวิถีชีวิตที่คล้ายกันกับเราๆ มิหนำซ้ำอาจจะคิดล่วงหน้าไปเสียอีกว่า เขาคือคนบ้าที่มาปรากฏกายเรียกร้องความสนใจเพียงชั่วครู่ชั่วคราว หาใช่ศิลปินไม่
      
       แต่เมื่อได้เห็นงานศิลปะของเขา รับรู้ถึงการร่วมแรงใจของคนหลายฝ่ายที่พร้อมใจกันช่วยเหลือให้นิทรรศการศิลปะที่ห่างหายไปกว่ายี่สิบปีเดินหน้า และรู้ว่าเขามีภารกิจที่จะนำเงินจากการจำหน่ายผลงานไปช่วยเด็กดีที่รักพ่อแม่ แม้เรียนไม่เก่ง
      
       การเปิดใจทำความรู้จักถึงที่มาที่ไปของชายที่สวรรค์ส่งมาผู้นี้ และโยนคำถาม “บ้าหรือไม่” ให้เขาเป็นคนช่วยตอบ จึงน่าจะเป็นหนทางอันยุติธรรมที่สุดที่เราพึงจะกระทำ
      
       จาก...วิโรจน์ นุ้ยบุตร สู่...ไม้ร่ม ธรรมชาติอโศก
      
       ถอยหลังกลับไปที่ปี พ.ศ.2484 ไม้ร่มเกิดและเติบโตที่ ต.ชลคราม อ.กาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี ผ่านการเรียนชั้นประถมที่ ร.ร.ชลคราม และชั้นมัธยมที่ ร.ร.หลังสวน สวนศรีวิทยา จากนั้นเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อมาเรียนต่อศิลปะที่ ร.ร.เพาะช่าง โดยมี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นผู้อุปการะในเรื่องค่าใช้จ่ายในการเรียน ภายหลังจากที่ได้ซื้อภาพเขียนสีน้ำมันของไม้ร่มไปหมดทั้ง 3 ภาพ ในช่วงเวลาที่ได้ไปเห็นผลงานจัดแสดงร่วมกับเพื่อนๆ ณ บางกะปิแกลเลอรี่
      
       เมื่อชีวิตกลับคืนสู่ความยากลำบากอีกครั้ง เพราะขัดแย้งกับ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ทำให้ไม่มีผู้ส่งเรียนต่อ เขาจึงต้องไปนอนบนส้วมในบ้านที่เช่าอยู่ในราคาถูกกับ ดวงแก้ว พิทยากรศิลป์ เพื่อนจากสุราษฎร์ธานี ผู้สร้างตำนานหุ่นขี้ผึ้งไทย กระทั่งมีฝรั่งจีไอที่ชื่อชอบในผลงานและไปพบเขาวาดภาพขายที่ถนนสุขุมวิท ส่งเสียให้เรียนจนจบ
      
       จบจากรั้วเพาะช่างไม้ร่มมีอาชีพเป็นครูสอนศิลปะ ที่โรงเรียนนานาชาติ I.S.B กรุงเทพฯ โดยเพื่อนที่ไปสมัครเป็นครูศิลปะพร้อมๆกันในเวลานั้นคือ ถวัลย์ ดัชนี (ศิลปินแห่งชาติ) และปรีชา อรชุนกะ ระหว่างนั้นเขาเคยได้รับคัดเลือกให้แสดงงานคู่กับศิลปินเอกของเยอรมัน Horst Janssen จนพิพิธภัณฑ์จากนิวยอร์คส่งคนมาซื้อภาพเขียนของเขาถึงบ้าน
      
       แต่ที่สุดแล้วเพื่อนร่วมรุ่นศิลปินแห่งชาติ กมล ทัศนาญชลี ชายผู้ถูกยกย่องจาก Dr.Albert J. Bryniarski ผู้อำนวยการสถาบันฯ ว่าเป็นนักสอนศิลปะมือหนึ่ง ที่ไม่เป็นรองใครในโลก และได้รับการคัดเลือก ให้ศึกษาวิธีการเรียนการสอนศิลปะแนวใหม่ จาก Dr.Ronald A. Haxamer นักการสอนแนวหน้าของโลก ตัวต่อตัว ก็ทิ้งเงินเดือนเกือบห้าหมื่น ที่มากกว่านายกรัฐมนตรีของประเทศในเวลานั้น และสิ่งต่างๆที่เคยพันธการชีวิต สู่รั้วของพุทธสถานสันติอโศก ที่มีรุ่นพี่ศิษย์เก่าเพาะช่างอย่าง สมณะโพธิรักษ์ เป็นเสาหลัก
      
       “อยู่โรงเรียนนานาชาติ ได้เงินมาก็ไปอยู่ในบาร์ในคลับ พอวันหนึ่งไม้ทิ่มตา ต้องหยุดสอนไปสี่เดือน ก็เลยได้มีเวลานอนคิด เราจะเอายังไงกับชีวิต โทรไปหาเพื่อนที่ชื่อ นัฐ กาญจนทัศน์ (ตอนนี้บวชเป็นพระอยู่ที่วัดบุปผา ย่านฝั่งธน) ซึ่งเป็นเพื่อนรักที่ไม่ได้เจอกันนานตั้งแต่เรียนจบเพาะช่าง เพื่อนตัดผมเกรียน การพูดการจาเรียบร้อย ผมเอาเหล้าเอาเบียร์ และกับแกล้มอย่างดีเตรียมไว้ให้ ก็ไม่ยอมกิน จึงถามว่าไปบวชมาหรือ เขาบอกไม่ได้บวช ผมบอกไม่เป็นไร ไปเรียนที่ไหนมาจงเขียนที่อยู่ของสถานที่นั้นให้ จะไปดูด้วยตัวเอง เขาจึงบอกว่าเขาไปที่สันติอโศก”
      
       ครั้งแรกของการไปเยือนสันติอโศก ก่อนที่จะไปนั่งแถวหน้าฟังเพื่อฟังเทศน์จาก “พ่อท่าน” หรือ สมณะโพธิรักษ์ สายตาของวิโรจน์พลันเหลือบไปเห็นประโยคๆหนึ่งที่เขียนติดไว้อยู่ใต้ถุนโบสถ์ “วันเวลาล่วงไป บัดนี้เธอทำอะไรอยู่ ดีหรือชั่ว” ชีวิตที่เคยไล่ล่าตามหาสิ่งปรนเปรอชีวิตมาเกือบครึ่งชีวิตและโลดโผนโจนทะยานจนยากจะควบคุม จึงได้เริ่มหยุดคิดและตระหนักรู้ในตัวเองมากขึ้น
      
       “พอยิ่งไปฟังพ่อท่านเทศน์ ซึ่งท่านเทศน์ชัดมาก ผมน้ำตาซึม หืดเริ่มขึ้นคอ อยากจะร้องไห้ ตั้งแต่วันนั้นมา ผมจึงเริ่มเปลี่ยนตัวเอง เลิกกินเนื้อสัตว์ เลิกกับภรรยาคนที่สอง และค่อยๆละเลิกสิ่งต่างๆ”
      
       ศิลปินผู้ฝากผลงานชิ้นเอกตกแต่งไว้ภายในรั้ววัดที่เขาศรัทธาบอกเล่าว่า หนึ่งชีวิตผ่านดีและชั่วมาแล้วมากมาย แม้แต่ความขมขื่นอันมาสำนึกได้ในภายหลัง เช่นเรื่องที่ภรรยาคนแรก ซึ่งเป็นบุตรสาวคนเดียวของตระกูล “บุนนาค” ใน จ.กระบี่ ต้องมาจบชีวิตลงด้วยการฆ่าตัวตาย เพราะความเจ้าชู้ของเขา
      
       “ภรรยาคนแรกรักผมมาก แต่ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ชีวิตของผมค่อนข้างมั่ว ไม่รู้ว่าเป็นหนุ่มรูปหล่อหรือไม่หล่อ ก็ไม่รู้ แต่เป็นอาร์ตติส แต่งตัวก็แปลกกว่าคนอื่น สาวๆที่เห็นความบ้าของเราแล้วชอบก็มี”
      
       แม้จะตัดสินใจสละทิ้งแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งบริจาคและขายไปในราคาบุญนิยม แต่ชีวิตที่หันเข้าหาธรรมก็ต้องเรียนรู้ผิดถูกอยู่นาน กว่าจะเป็นชีวิตที่เข้มแข็งในธรรม
      
       “เราเป็นเหมือนคนที่ว่ายน้ำในท้องทะเลลึก เราทิ้งของที่เราเคยเกาะ ทุ่นที่เราเคยเกาะ แล้วอยากจะว่ายน้ำด้วยตัวของเราเอง แรกๆมันก็ได้อยู่ แต่ซักพักมันก็หมดแรง เจอหมาเน่าเราก็เกาะ เจอผู้หญิงคนไหนเราก็อยากจะไปสมสู่ อยากจะไปเป็นผัวเป็นเมียกัน เพราะตัวราคะ มันไม่ใช่ของเล่น เราสั่งสมมาไม่รู้กี่ร้อยกี่พันชาติ แต่อย่างไรเสีย ผมก็ทำกับตัวเองแรง ทิ้งลูกทิ้งเมีย ทิ้งบ้าน ทิ้งทรัพย์สมบัติ ผมเคยมีที่ดินอยู่หลายจังหวัด ผมทิ้งไปหมด
      
       พอไปอยู่วัดผมก็ไปได้ผู้หญิงในวัดอีก ผมโดนพระทำโทษถึงสิบปี ไม่ให้เข้าวัด ทั้งโดยพ่อท่าน และกฎของสังคม เพราะผมไปผิดศีล สุดท้ายผมจึงได้รู้ว่าผิดเป็นครู แต่ก่อนผิดไม่เคยเป็นครู ผมได้เห็น ได้เรียนรู้จากความผิด และผมก็ดีใจที่ผมได้ทำผิด เพราะถ้าผมไม่ทำผิด ก็แสดงว่าผมไม่เคยทำถูกเลย ทุกคนมีโอกาสทำผิด ไม่มีใครที่ไม่เคยทำผิด”
      
       ในฐานะนักปฏิบัติธรรมแต่เผลอไปทำความผิด และปกปิดไว้หลายกรณี ถึงคราวกลับใจได้ ไม้ร่มจึงขอสารภาพบาปทั้งหมดผ่านงานเขียนเล่มที่ชื่อ “ของจริง 100%” ซึ่งเป็นหนึ่งในบรรดางานเขียนเล่มอื่นๆ อีกมากมาย ที่ทำให้เราได้รู้ว่าเขามีความสามารถทั้งในด้านทัศนศิลป์และวรรณศิลป์ควบคู่กัน อาทิ พจนานุกู ฉบับมือตบ จากอู่อารยธรรมพันธมิตรบุญนิยม,แม่เยื้อน นุ้ยบุตร บ้านสวนหมี,กวีนิพนธ์ ขายตัว และเขียนใจ ภาษาหลุดโลกแนวใหม่ที่บรรจงเขียนใจให้เป็นกวี ฯลฯ
      
       “เล่าอดีตของตัวเองเท่าที่พอจะจำได้ ว่ามนุษย์คนหนึ่งมันเป็นยังไง เป็นเรื่องจริงที่ไม่ได้บิดเบือน อยากให้คนรู้จักเราทั้งด้านมืดและด้านสว่าง”
      
       คนแท้...ลูกแม่ไม่ได้บ้า
      
       ไม้ร่ม ถือเป็นบุคคลในยุคแรกๆที่ขอให้สมณโพธิรักษ์มอบชื่อใหม่ให้ จนปัจจุบันนี้เราได้พบว่ามีศิษย์สันติอโศกจำนวนไม่น้อย ที่มีชื่อใหม่มาแทนชื่อที่เคยใช้ในบัตรประชาชน แต่ละคนต่างก็มีเหตุผลที่แตกต่างกันไป แต่หนึ่งเหตุผลที่สำคัญของไม่ร่ม เพราะเขาถูกปฏิเสธจากญาติพี่น้อง ที่ต่างรับไม่ได้กับการละทิ้งชีวิตเช่นปุถุชนธรรมดาไปเป็นคนหลุดโลกในสายตาของคนเหล่านั้น
      
       “เขาไม่เอาผม เพราะเขาหาว่าผมบ้า ทำให้เขาเสียชื่อ ถึงกลับไล่ผมออกจากที่ดินของผมเองที่สุราษฎร์ พอใครเขาว่าบ้า ผมบอกตัวเองว่าไม่เป็นไร และต่อไปนี้ ผมจะทำอะไรก็ได้เพราะผมเป็นคนบ้า จากนั้นผมก็เริ่มแต่งองค์ทรงศรของผมมากขึ้นๆ ซึ่งเดิมทีก่อนหน้านี้ผมก็เป็นคนที่แต่งตัวแปลกอยู่แล้ว แต่ต่อมามันเริ่มมีอะไรมากขึ้น และเริ่มหาโน่นหานี่มาใส่หัว”
      
       ชีวิตนี้มี ”แม่เยื้อน” เพียงคนเดียวเข้าใจและช่วยรับประกัน เท่านี้เขาก็ไม่ทุกข์ไม่ร้อนใดๆ แล้ว กับคำกล่าวหาว่า “บ้า” และหากจะบ้า เขาก็จัดตัวเองให้เป็นจำพวก “บ้าจริง” ที่บ้าค้นหาความจริง เพื่อไปสู่นิพพาน ไม่ใช่ “บ้าจี้” ที่จี้ให้มีลูกมีเมีย จี้ให้มีบ้านมีรถใหญ่โต จี้ให้ร่ำให้รวย และ “บ้าละเมอเพ้อพก” อยู่ในโรงพยาบาล
      
       “วันหนึ่งขณะที่ผมเข้าไปกราบแม่ และถามแม่ว่าผมบ้าหรือเปล่า แม่เอามือจับที่หัวของผม พลางถามว่าอะไรอยู่บนหัวมึง กระหรุบกุบกิบ (เป็นภาษาใต้ มีความหมายไปในทำนองว่ามีอะไรเกิดขึ้นเยอะแยะ) แม่บอกว่า ขอให้มึงทำมาหากิน โชคดีมีเงินทองเต็มไปหมด กระหรุบกุบกิบอย่างนี้นะ กูรับรองว่ามึงไม่บ้าหรอก มึงเป็นคนดี ผมบอกแม่ว่า ขอบคุณแม่มาก มีแม่คนเดียวรับรองก็พอแล้ว ผมจะไม่ถามคนอื่นหรอก”
      
       การแสดงออกผ่านการแต่งกาย เขาบอกว่าเป็นความต้องการของศิลปินคนหนึ่งที่ปรารถนาจะทำศิลปะให้รอบด้าน ไม่ใช่เฉพาะกับวัตถุ แต่ตัวเขาเองก็ต้องเป็นศิลปะชิ้นหนึ่งให้คนได้สัมผัสด้วย
      
       “ในเมื่อเราทำกับวัตถุได้ เราต้องทำกับตัวเราด้วย ตัวอย่างที่ดีมีค่ากว่าคำสอน รูปเขียนก็คือตัวอย่าง ตัวผมเองก็คือตัวอย่าง เพราะฉะนั้นผมต้องทำตัวเองเป็นตัวอย่างด้วยว่า มนุษย์คนหนึ่งควรจะเป็นอย่างไร ใครจะเห็นว่าดีก็ดี เห็นว่าไม่ดีก็ไม่ดี สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตรม คนหนึ่งตาแหลมคมมองเห็นดวงดาวพราวพราย”
      
       เขาสวมใส่ชุดผ้าฝ้ายเก่าๆ ซึ่งร้านฝ้ายแค้มอุบล และร้านไม้ร่ม จ.เชียงใหม่ มีใจอนุเคราะห์ส่งมาให้ และจำกัดการสวมใส่ไว้เพียงไม่กี่สีเพื่อข้ามให้พ้นขัดจำกัดของสังคม
      
       “คนเราจะมีขีดจำกัด ในเรื่อง อายุ ชาติชั้น วรรณะ และอะไรอีกเยอะแยะ ผมพยายามจะข้ามขีดจำกัดนั้นไปให้ได้”
      
       เขาแปรงฟันด้วยขี้เถ้าผสมเกลือ ชำระร่างกายด้วยสบู่เป็นบางครั้ง เปิบข้าวเข้าปากด้วยมือ เพราะไม่ต้องการรับประทานอาหารมือสอง ผ่านสิ่งสำส่อน อย่างช้อนส้อม
      
       เท้าที่ไม่สวมอะไรเลย แม้แต่พนักงานโรงแรมชั้นหนึ่ง ที่เคยไล่เขาออกจากโรงแรม ด้วยเหตุผล NO SHOE ก็ยังต้องหยุดทำความรู้จักกับรองเท้ากายสิทธิ์อันเป็นรองเท้าหนังแท้ที่แม่ให้มา
      
       หลายปีแล้วที่เขาไม่ได้ตัดผม เพราะไม่ต้องการลงทุนสำหรับการซื้อหากรรไกร เพราะชีวิตกลางป่า กับ “ปลายฟ้า” ลูกสาวบุญธรรมที่เป็นโรคลมชักและหมาอีกสองตัว บนผืนดินกว้างหลายร้อยไร่ที่เขาบริจาคไปเรียบร้อยแล้ว แต่ขอใช้เพียงพื้นที่เล็กๆปลูกกระต๊อบอาศัยอยู่ไปชั่วชีวิต เป็นชีวิตที่เรียบง่ายและพยายามลดต้นทุนในสิ่งที่ไม่จำเป็น
      
       ทุกวันนี้เขาเป็นวิทยากรตลอดชีพให้กับค่ายศิลปะเพื่อคนพิการ Art for all โดยไม่มีรายได้ใดๆ ที่ผ่านมามีก็แต่ญาติธรรมและเพื่อนฝูงเท่านั้นที่คอยให้ความช่วยเหลือส่งเงินและข้าวไปให้ เพื่อให้เขาได้ทำงานศิลปะ
      
      “ผมเป็นไม้ร่มไม่ใช่ไม้ร้อน ผมจึงตั้งใจว่าจะต้องเป็นไม้ร่มให้ได้ เพื่อตัวผมเอง เพื่อคนข้างเคียงและมวลมนุษยชาติ และเป็นธรรมชาติอโศก ที่สำนึกรู้ว่าตัวเรานั้นคือธรรมชาติ มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป รู้เท่าทันตามความเป็นจริง โดยไม่ต้องโศกเศร้า เสียใจ”
      
       บทกวีขี้มูก 21/4/52
      
       ชีวิตเหมือนขี้มูกที่ถูกสั่ง
       หลุดจากดั้งลงดินสิ้นสงสัย
       ถูกหมาเหยียบหมูย่ำระกำใจ
       จะเล็กใหญ่ถ่อยเถื่อนมูกเหมือนกัน
       บ้างถูกมดคันขนคนหยามเหยียด
       ถูกรังเกียจนรกตกสวรรค์
       ขี้มูกใครใคร่สั่งช่างหัวมัน
       รู้รู้กันว่านี่แหล่ะชีวิต
       เกิดมาเป็นชีวิตไม่คิดฝัน
       มีแต่วันยันค่ำอำมหิต
       มีเวลาใช้สอยเพียงน้อยนิด
       เป็นชีวิตขี้มูกถูกสั่งมา
       สั่งมาเป็นมนุษย์สุดโอหัง
       สร้างเรือนรังแรงฤทธิ์คิดค้ำฟ้า
       สร้างสมบ้าสมบัติเต็มอัดตา
       เพื่อเบ่งบารมีที่ฝืดเคือง
       มีตัวเปล่าไปเปลือยน่าเหนื่อยหน่าย
       ไม่เห็นได้อะไรไม่ได้เรื่อง
       รกวัดวัง รกบ้าน รกการเมือง
       เกิดมาเปลืองข้าวสุขทุกข์กบาล
       เหมือนชีวิตขี้มูกถูกสั่งทิ้ง
       กลับเย่อหยิ่งปากกล้าทำหน้าด้าน
       ทำอวดตัวหัวหมอส่อสันดาน
       ซุกซมซานทบเท้าเจ้าประคุณ

จาก https://blog.eduzones.com/applezavip/23460

https://www.youtube.com/v/mPemhyHe14s

https://www.youtube.com/v/NpCMxrULSIA

ศิลปินวัย 70 กว่า สวมเสื้อผ้าฝ้ายเก่าๆ ศีรษะทาขี้เทียน ประดับด้วยเมล็ดพืชนานาชนิด กับเท้าเปลือยเปล่าของเขา .. บุคลิกภายนอกที่ใครเห็นก็มักจะตั้งคำถามว่า "บ้า" หรือเปล่า .. เเต่เเท้จริงเเล้ว เขาเข้าถึงธรรมชาติ ความเป็นธรรมะอย่างเเท้จริง ทั้งยังมีผลงานศิลปะมากมายหลายชิ้น .. พบกับศิลปิน "ไม้ร่ม ธรรมชาติอโศก" ในช่วงตอมเเมลงวัน

https://www.youtube.com/v/tp8I0uff0ac

รายการ "กิน อยู่ คือ" จาก ทีวีไทย

https://www.youtube.com/v/7YmnyCblrms

อาจารย์ไม้ร่ม มาบรรยายเรื่องการอยู่อย่างไรให้มีชีวิตรอด 2012 ในวันที่ 1 เดือน ธันวาคม 2554 ณ คณะศิลปประยุกต์และการออกแบบ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ตอนนี้ท่านได้บรรยายเสร็จแล้ว ก่อนที่ท่านจะกลับ ท่านได้ฝากอะไรเล็กๆน้อยให้นักศึกษาได้รับฟังกัน

มดเอ๊กซ:










https://www.youtube.com/v/E0HNqtl4UW4

ศิลปินไม้ร่ม ธรรมชาติอโศก

https://www.youtube.com/v/zZfX7-X-zkE

ไม้ร่ม ธรรมชาติอโศก ร้องเพลง ฟัง อีกรอบ

https://www.youtube.com/v/eQBbrDtlx-U

รายการ จากโลกัยะถึงโลกุตระ ไม้ร่ม ธรรมชาติอโศก ออกอากาศทาง FMTV ทีวีเพื่อมนุษยชาติ เวลา16.00 น.ทุกวันพฤหัสบดี และสามารถติดตามได้ที่ http://www.boonniyom.com/ จะนำเอาประสบการณ์ผู้ฝืกปฏิบัติธรรมมาเล่าสุ่กันฟัง

มดเอ๊กซ:








https://www.youtube.com/v/MxX__16URMk

https://www.youtube.com/v/E0HNqtl4UW4

https://www.youtube.com/v/sfjiX_i2oAM

https://www.youtube.com/v/68mxnkCyxWk

มดเอ๊กซ:
เปิดใจรัก..72-27 ‘ไม้ร่ม-รุ้งเริงธรรม’ คู่รัก(พร้อม)หลุดโลก

โลกมีเรื่องรักแบบนี้ไม่รู้กี่ร้อยกี่พันคู่
       คือเรื่องรักของผู้เฒ่า กับสาวเจ้าวัยละอ่อน
       แต่โลกจะมีคู่รักแบบนี้สักกี่คู่
       คือคู่รักที่ตั้งมั่นปณิธานเพื่อก่อการเกื้อกูลผู้คน
       และหมายมุ่งพาตนหลุดพ้นโลก สู่นิพพาน...
       เปิดใจรัก ‘ไม้ร่ม-รุ้งเริงธรรม’ คู่รักต่างวัย 72 กับ 27



    ..ไม่นานเดือนก่อนหน้า เรื่องราวหนึ่งซึ่งปรากฏเป็นข่าวลีดเฮดไลน์ให้ใครต่อใครพูดถึงอึงคะนึงบนพื้นที่สื่อ คือข่าวคราวการวิวาห์ของคนสองคน คนสองวัย ที่สื่อพากันหยอกล้อพอให้คึกคักเร้าใจ ด้วยการใส่คำว่า “ภรรยารุ่นเหลน” กับ “สามีรุ่นทวด”
       
       ไม้ร่ม และรุ้งเริงธรรม ธรรมชาติอโศก คือบ่าว(?)สาวคู่นั้นที่เรากำลังกล่าวถึง
       แน่นอนว่า ถ้าหากเป็นคนทั่วไป การวิวาห์ระหว่างคนสองวัยคงค่อยๆ ปลิวหายไปกับสายลมแห่งกระแสข่าว เหมือนกับเรื่องราวความรักต่างวัยหลายต่อหลายคู่ แต่สิ่งซึ่งตรึงความสนใจให้เราไม่ยอมปล่อยผ่านเรื่องราวนี้ไป ก็เนื่องจากหนึ่งในตัวละครแห่งงานแต่งครั้งนี้ คือศิลปินรุ่นใหญ่ที่เด่นชัดในแนวทางการใช้ชีวิตแบบหายใจแนบชิดธรรมชาติ และเป็นศิลปินระดับบรมครูที่ผู้คนในแวดวงให้ความนับถือ
       
       อะไรคือปฐมบทแห่งความรักครั้งนี้?
       บ้างนินทา ว่าเป็นเรื่องตาแก่ตัณหากลับ
       บ้างสงสัยว่าจะไปได้สักกี่น้ำ
       และก็มีไม่น้อยที่ปล่อยคำแห่งความคิดว่าชีวิตจะแก่ตายอยู่แล้ว ยัง...
       
       ไม่ว่าจะอย่างไร ขอเชิญทุกท่านร่วมล่องท่องไปในโลกแห่งความรัก
       มหัศจรรย์ยิ่งกว่านิยาย
       และงดงามพราวพราย ยิ่งกว่าลวดลายทุกลายจากปลายแปรงศิลปิน...

       
ณ จุดนี้ มีคนวิจารณ์เกี่ยวกับความรักของเราอย่างไรบ้างไหม
       
       รุ้งเริงธรรม : ก็มีบ้างค่ะที่กลัวว่าเราจะโดนหลอก หรือแม้แต่บอกให้เลิก แต่เราก็ยืนยันชัดเจน เพราะว่าเราไม่ได้ทำอะไรผิดศีลธรรม ถ้าเราไปแย่งสามีคนอื่น ไปเป็นกิ๊ก เป็นน้อย ไปสำส่อนหรือมั่วเซ็กซ์ แบบนั้นสิถึงจะน่าอาย แต่นี่มันไม่ได้น่าอายเลยที่คนคนหนึ่งมีจิตปรารถนาดีอยากดูแล หรือใช้ชีวิตคู่ร่วมกับคนหนึ่งด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร เลยยืนยันที่จะใช้ชีวิตแบบนี้ สุดท้ายเขาก็ยอมรับได้ คือสิ่งที่เราทำมันผ่านการตกผลึกทางความคิดมาแล้ว ไตร่ตรองมาแล้วอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพราะฉะนั้นมันจะไม่เปลี่ยนแปลง เหมือนเกลือที่ยังมีความเค็มจะเอาไปปรุงเป็นอาหารชนิดไหน มันก็คือความเค็ม เนื้อในที่เป็นสาระสำคัญมันยังอยู่
       
       อาจารย์ไม้ร่ม : ผมว่าปล่อยให้มันเป็นไปตามที่เขามองว่ามันเป็นนั่นแหละ ถ้าเขาเป็นโจร ก็คิดอย่างโจร เป็นพระก็คิดอย่างพระ เขาเป็นพ่อค้าก็คงคิดอย่างพ่อค้า แต่เราเป็นใคร เราต้องถามตัวเองว่าเราคิดยังไง ทุกอย่างมันอยู่ที่เรา แน่นอนครับว่าต้องมีคนกล่าวหาอยู่แล้วว่าเราเข้ามาหลอกเด็กหรือเปล่า บางคนก็อาจมองว่าเพราะผมมีเงินมากเลยซื้อเด็กสาวมาเป็นทาสบำรุงความใคร่ได้ หรือบางคนคงมองว่าคงอยู่กันได้ไม่กี่น้ำหรอก อย่างมากก็ปีสองปี บางทีผัวอยู่ไม่กี่ปีอาจจะตายไปเพราะว่าแก่มากแล้ว หรือบางคนถึงกับพนันขันต่ออีกว่าระหว่างผม พ่อตา แม่ยายใครจะตายก่อนด้วยซ้ำ (หัวเราะ) เพราะอายุเราไล่เลี่ยกัน ผมว่าผมเดาไม่ผิด เพราะน่าจะเป็นอย่างนั้น นี่คือการเดาของผม ซึ่งที่เคยได้ยินมาบ้างก็มี     

     
     ถามเป็นข้อมูลเบื้องต้นก่อนว่า พบรักกันได้อย่างไรทั้งๆ ที่อายุอานามแตกต่างกันเพียงนี้

       
       อาจารย์ไม้ร่ม : โธ่เอ๊ยย...(อุทานเสียงดัง) ใครว่าแตกต่างกันล่ะครับ อายุเราเท่ากันต่างหาก ผมอายุ 72 ปี ส่วนภรรยาของผมอายุ 27 ปี ซึ่งเลข 2 กับเลข 7 บวกกันได้ 9 เห็นไหมล่ะครับว่าอายุเราเท่ากัน (หัวเราะ) เลข 7 เป็นเลขที่สร้างสรรค์นะ ส่วนเลข 9 เป็นเลขสุดยอด เป็นเลขที่ยิ่งใหญ่เลยล่ะ
       
       รุ้งเริงธรรม : ตอนเราทำงานอยู่ที่สงขลา บังเอิญได้ดูไม้ร่มทางโทรทัศน์ในรายการคนค้นฅนแล้วรู้สึกเลยว่าเราอยากพบเขา เวลาผ่านไปอีกนานพอสมควร กระทั่งเราตัดสินใจกลับมาอยู่ที่พะโต๊ะบ้านเกิด และบังเอิญอีกเช่นกันที่เราได้รับหนังสือเล่มหนึ่งของไม้ร่มซึ่งเพื่อนเอามาให้เพราะเพื่อนก็รู้ว่าเราอยากจะพบไม้ร่ม ในหนังสือมีเบอร์โทรศัพท์สำหรับติดต่อ แต่ก็ไม่ได้อะไรแค่สอบถามเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพอยู่ประมาณสองสามครั้ง (ยิ้ม)
       
       หลังจากนั้นไม่นาน เราก็ขึ้นมากรุงเทพฯ ก็ได้เจอกันในที่ชุมนุมกองทัพธรรม (ระหว่างการชุมนุมของกลุ่ม กปปส.) เป็นการเจอกันโดยบังเอิญมาก (ยิ้ม) จริงๆ ไม่ได้เจอเองด้วยนะ เพื่อนเป็นคนเห็นแล้วก็ชี้ว่านั่นไง ให้เราเข้าไปทัก ตอนแรกก็ไม่กล้าทัก เพราะเขาเดินกับสมณะ ดูเหมือนว่ากำลังติดธุระอยู่ แต่เพื่อนยุบอกว่าไปเลยๆๆๆ (หัวเราะ)
       
       
ความรู้สึกตอนที่ได้เจอกันครั้งแรกนั้นเป็นอย่างไรบ้าง ตื่นเต้นไหม?

       
       รุ้งเริงธรรม : เหมือนเจอญาติที่สนิทที่ใกล้ชิดและไม่ได้เจอกันมานาน ไม่ได้เป็นความรู้สึกแบบว่าวูบๆ วาบๆ หรืออะไรเลย
       
       อาจารย์ไม้ร่ม : เราเหมือนเป็นญาติกันจริงๆ นะ อีกอย่างเขาได้มาเจอผม มันไม่ได้ธรรมดาเลยนะ (หัวเราะ) เขาเพิ่งจบจากมหาวิทยาลัยไม่นาน ยังสาวแต่เขาก็เลือกที่จะแต่งงานกับคนแก่ เขาเลยได้ญาติ ได้ทวด ได้ปู่ ได้พ่อ ได้พี่ ได้ทุกอย่างเลย (หัวเราะ)
       
       
ประทับใจอะไรในตัวกันและกัน

       
       อาจารย์ไม้ร่ม : ผมประทับใจในความคิดของเขาอย่างมาก อย่างครั้งแรกที่ผมติดต่อกันผ่านทางโทรศัพท์ เขาส่งจดหมายเป็นบทกวีบทหนึ่ง ผมติดใจมาก ผมคิดเลยว่าคนนี้แหละใช่แล้ว และมันก็ใช่จริงๆ
       
       รุ้งเริงธรรม : เราสั่งหนังสือจากไม้ร่ม ซึ่งเขาส่งหนังสืออื่นมาให้ด้วย เราเลยส่งจดหมายเป็นบทกวีที่แต่งขึ้นเองบทแรกไปขอบคุณ ซึ่งบทกวีเขียนไว้ว่า “เจ้าดอกไม้สีม่วงอ่อน อวดลีลาร่องริ้วพลิ้วตามลม ร่วงลงมาดาษดื่นทั่วพื้นผิวดิน ชั่วครู่ขณะหนึ่งดอกไม้กระซิบถามดิน …นานไหมในรอคอย” ซึ่งเราก็มอบบทกวีให้ด้วยความปรารถนาที่จะเป็นมิตร ตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไร
       
       อาจารย์ไม้ร่ม : ตอนนั้นที่ผมได้เห็นบทกวีของเขา ผมก็ตอบเขาได้ทันทีเลยว่าไม่นาน ไม่ต้องรอแล้ว มันใช่แล้ว (หัวเราะ)
       
       
จากข่าว เห็นว่าคู่นี้แต่งงานกันด้วยเงินสินสอด...สามร้อยบาท

       
       อาจารย์ไม้ร่ม : ผมมองมานานแล้วนะว่ามันเป็นความผิดพลาดของสังคมโลกโดยแท้เลยทีเดียว เรียกได้ว่าเป็นความผิดพลาดยิ่งใหญ่จนกลายเป็นความบรรลัยกัลป์
       
       
บรรลัยกัลป์ยังไงคะ

       
       อาจารย์ไม้ร่ม : คือการแต่งงานของบางคู่มันโป้ปดมดเท็จ มันไม่ได้เป็นตัววัดว่าเรารักกันจริง บางครั้งมันคือความผิดพลาดครั้งใหญ่ มันไม่ใช่ความรักแต่ว่ามันเป็นราคะ ซึ่งหนุ่มสาวโดนธรรมชาติผลักดันขึ้นมาให้กลัดมัน หนุ่มกลัดมัน สาวกลัดมันมาเจอกันก็เหมือนวัวสองตัววิ่งชนกันเอาแพ้เอาชนะกันจนเหนื่อยหอบ ผู้หญิงก็ไปหาผู้ชายใหม่ ผู้ชายก็ไปหาผู้หญิงใหม่ ผมอยู่ที่วัดมานาน เคยเห็นผู้หญิงไปนั่งร้องไห้ใต้ถุนโบสถ์เพราะเหตุนี้แหละเพราะไม่ใช่ความรัก เป็นเรื่องของกามารมณ์
       
       ผมไปรักเขาครั้งแรก ผมมีเงินในกระเป๋าแค่สามร้อยบาท ก็สามร้อยบาทจริงๆ นะ เพราะฉะนั้นเรื่องสมบัติมันก็ไม่ใช่แล้ว เรื่องผมมีรถคันใหญ่ก็ไม่ใช่แล้ว เรื่องที่เราจะเหมาะสมในลักษณะกลัดมันมันก็ไม่ใช่แล้ว แต่เราเป็นเรื่องของความรัก ความรักที่ไม่เสียสถาบันความรักเลย ความรักที่เห็นอกเห็นใจกัน ความรักที่มีเมตตากรุณาแก่กันเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกันในยามเจ็บยามไข้ได้ป่วย เราดูแลกัน นี่แหละคือความรัก
       
       รุ้งเริงธรรม : เงินไม่ใช่คำตอบ เราสังเกตว่าเงินไม่ได้นำไปสู่ความสุขที่แท้จริง เห็นหลายๆ คนที่มีเงินหรือมีอะไร แต่บางทีครอบครัวเขาก็ไม่ได้มีความเข้าอกเข้าใจ ไม่ได้มีความเมตตา ไม่ได้พูดคุยสื่อสารกันด้วยภาษาใจ ไม่ได้มีส่วนที่จะทำให้ชีวิตพบกับความสุขได้เลย ชีวิตดูมีแต่ปัญหา ซึ่งบางทีมันอาจพาเราเดินหลงทางด้วยซ้ำไป ถ้าเรามุ่งแต่เรื่องเงิน
       
       ก่อนหน้านี้เราก็มีผู้ชายที่พยายามเข้ามาจริงจังอยากแต่งงานด้วยเรื่อยๆ นะ แต่เราก็ไม่ได้รักใคร เพราะความคิดมันไม่ได้สนใจ อีกอย่างเราไม่ต้องการมีคู่ชีวิตเพื่อแค่ทำมาหากิน ทำเพื่อครอบครัวของเรา เพื่อลูกเพื่ออะไรแล้วก็จบกันไปแค่นั้น แต่เราคิดว่าคนที่จะเป็นคนรักเป็นคู่ชีวิต สำคัญเลยก็คือเขาต้องมีใจที่เกื้อกูลผู้อื่น
       
       ถ้าเราเป็นผู้หญิงที่รวยหรืออะไรก็แล้วแต่ เราไม่อาจแน่ใจได้เลยว่าเขาจะจริงใจกับเราไหม หรือว่ามีผู้ชายที่รวยเข้ามาสนใจเรา แล้ววันหนึ่งเขาจะเปลี่ยนไปหรือเปล่า นั่นแหละมันเป็นบ่อเกิดของความไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน ถ้าเรามัวแต่เอาสิ่งนี้เป็นตัวตั้ง
       
       อาจารย์ไม้ร่ม : มองกันง่ายๆ เลยว่าถ้าเขาหน้าสวย ผู้ชายก็จะมาเอาหน้า ถ้าเขาแต่งตัวสวยเขาก็จะมาเอาแต่เสื้อผ้า แต่นี่เขาไม่มีอะไร ธรรมดา เราเลยมาเอาใจกัน (หัวเราะ)
       
       รุ้งเริงธรรม : ไม้ร่มเขามีเงินสามร้อยบาทจริง แต่เขาก็รวยนะ เขาเป็นคนรวยเลยแหละ (น้ำเสียงจริงจัง) แต่เขารวยประสบการณ์ชีวิต เขาร่ำรวยความดีความงาม ความน่าชื่นชม ร่ำรวยความเกื้อกูลผู้อื่นซึ่งเรามองว่าความรวยแบบนี้มันยั่งยืนมากกว่า มันคือของแท้เลยที่ไม่ใช่รวยแต่ทรัพย์สินภายนอก เราชอบคนรวยนะ ยืนยันเลย แต่ต้องเป็นความรวยแบบนี้




     
ดูเหมือนชีวิตจะสมถะมากๆ เลย

       
       รุ้งเริงธรรม : สมถะในความหมายของคนอื่นคือยังไง ถ้าหมายถึงเป็นคู่รักติดดินก็น่าจะใช่เพราะเราเดินไม่ใส่รองเท้า (หัวเราะ) จริงๆ ใครจะมองยังไงก็แล้วแต่ ธรรมชาติของเราเป็นอย่างนี้ ไม่ได้รู้สึกอะไร ไม่ได้ดีใจหรือเสียใจเพราะว่าเรายังคงเป็นจริงอย่างนี้ ไม่เปลี่ยนแปลง
       
       อาจารย์ไม้ร่ม : ถ้าเป็นพระเขาก็จะมองเราอีกอย่าง เป็นโจรก็จะมองเราอีกอย่าง เป็นพ่อค้าก็จะมองอีกอย่าง แล้วแต่คนมอง แต่สำหรับเราเองแล้วมันเป็นธรรมชาติของเรา เราอยู่อย่างเท้าติดดิน สมถะ ทำแบบนี้สม่ำเสมอ ทำอย่างเรียบง่าย ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ที่เขามองว่าเราสมถะอาจเป็นเพราะเราไม่ใส่รองเท้าไปไหน เท้าเราจะติดดินเสมอ เราจะใช้รองเท้าหนังแท้ที่แม่ให้มาทั้งสองคน ส่วนตัวผมทำแบบนี้มานานแล้ว และภรรยาผมก็ทำแบบนี้อยู่แล้วเหมือนกัน จะเดินไม่ต้องกลัวว่ารองเท้าจะหาย เพราะมีรองเท้าหนังแท้แม่ให้มา (หัวเราะ)
       
       อีกอย่างเสื้อผ้าเราจะใช้วัสดุที่ใกล้เคียงกับธรรมชาติ อย่างที่เราใส่จะเป็นผ้าฝ้ายย้อมสีธรรมชาติที่เขาใช้แล้ว ผมได้จากสมณะหรือนักบวชเขาให้มา เราจะเอาที่เขาให้มาเย็บปะ ซึ่งผมกับภรรยาจะเรียกชุดนี้ว่าชุดผูกขาด เราไปไหนก็ชุดนี้ อยู่บ้านก็ชุดนี้ นอนก็ชุดนี้ ขี้ก็ชุดนี้ ชุดเดียวที่ยิ่งใหญ่มาก แต่คนอื่นนี่ชุดขี้ นี่ชุดเยี่ยว นี่ชุดนอน นี่ชุดรับแขก โอ้โหต้องไปหน้ากระจก ต้องดูแล้วดูอีก หันแล้วหันอีก กว่าจะได้ แต่ของเราจับปุ๊บใส่ปั๊บ ไปไหนก็ได้ ง่ายที่สุด นี่คือชีวิตที่ง่าย เรียบง่าย สมถะ
       
       ที่เรียกว่าผูกขาดเพราะมันขาดแล้วเราเอามาผูก ทำให้เป็นงานศิลปะ ถ้าอันไหนมันขาดเราก็จะหาเชือกกล้วยหรืออะไรก็ได้เอามาผูก เราจะออกแบบชุดเองเพราะถือว่าเราอยู่กับธรรมชาติ เราจะรู้ว่าเราไม่ใช่คนโหล เราเป็นคนเดียวในโลก ไม่เหมือนใคร ทำเองไม่ซ้ำใคร เพราะฉะนั้น เราไม่ได้เป็นคนโหลอีกแล้ว นี่คือสิ่งที่เราได้จากธรรมชาติ เราไม่ได้ตามกระแสสังคมโลก ไม่ได้ตามวัตถุนิยม แต่เราตามกระแสธรรมชาติ
       
       
อยู่กับธรรมชาติ ใช้ชีวิตตามกระแสธรรมชาติ

       
       อาจารย์ไม้ร่ม : ธรรมชาติมันเป็นสมบัติติดตัวของผมมา ผมไม่ได้เพิ่งเริ่มมาชอบ แต่ชอบมาตั้งแต่ชาติไหนไม่รู้ ผมอยู่ที่อำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎ์ธานี แม่ผมเกิดบนกอไผ่ใหญ่ บ้านก็อยู่บนต้นไผ่เพราะเสือกับช้างมันเยอะ ถ้าเกิดอยู่ข้างล่าง พวกเสือหรือสัตว์ร้ายได้กลิ่นคาวเลือดจะเป็นอันตราย
       
       สมัยอยู่ป่าดงดิบ ผมจะคลุกคลีกับคุณตาซึ่งเป็นนายพราน ผมจะเรียกเสือเข้ามาเล่นด้วยเป็นบางครั้งบางครา จนแม่ต้องไล่เสือไป ไม่เชิงว่าเล่นกับเสือนะ คือมันมีคลองน้ำ ผมก็ลงไปอาบน้ำ แต่ด้วยความซน ผมก็จะใช้ไหกระเทียมพูดให้ดัง โอบ โอบ โอบ มันจะดังก้องมาก ซึ่งเสือเดือนมกราคม กุมภาพันธ์มันกำลังติดสัตว์ มันก็จะวิ่งมา เพราะมันนึกว่าเพื่อน พอมาผมก็วิดน้ำใส่หน้ามัน (หัวเราะ)
       
       ผมไม่ได้กลัวเกรงธรรมชาติเพราะอยู่กับธรรมชาติมาตั้งแต่เด็กๆ กวางมาข้างบ้าน เสือมากินหมูใต้ถุนบ้าน มาลับเล็บตรงเสาบ้าน ช้างมาเป็นโขลงๆ ส่วนตัวผมเคยเป็นควานช้างมาก่อนด้วย โค่นไม้ซุง ตัดไม้ในป่ามาขาย เคยทำมาหมดแล้ว
       
       ผมคลุกคลีกับธรรมชาติมาก เวลาไปไหน คุณตาซึ่งผมเรียกว่าพ่อเฒ่า ผมจะติดตามแกไปเรื่อย แกไปล่าสัตว์ในป่า ข้ามคืนข้ามวันผมก็ตามไป ผมเป็นเด็กที่ค่อนข้างซน ขี้สงสัยอยากรู้ตลอดเวลา พ่อเฒ่าก็จะบอกจะอธิบายให้ฟังว่าสิ่งที่เราอยากรู้นั้นคืออะไร แม้แต่สมุนไพรสำหรับดูแลรักษาสุขภาพ
       
       ธรรมชาติช่วยสร้างโลก ธรรมชาติหรือพระเจ้าคือสิ่งเดียวกันที่ช่วยสร้างโลก ผมได้ทุกอย่างจากธรรมชาติ ผมได้เห็นเป็นรูปธรรมแล้ว แม้แต่การแปรงฟัน ผมก็จะแปรงด้วยกิ่งไม้ ไม่ได้ใช้แปรงสีฟันมาเกือบสามสิบปีแล้ว เพราะผมได้ไปรู้เคล็ดลับจากอินเดียว่ายาสีฟันมันไม่ได้เรื่อง มันเป็นการวางยา แต่ก่อนผมจะเสียวฟันมาก เวลาถูกพัดลมก็จะพูดไม่ได้แล้ว ฟันง่อนแง่นคลอนแคลนอะไรเยอะแยะเลย แต่พอหันมาใช้กิ่งข่อย กิ่งสะเดา หรือกิ่งมะม่วง สามอย่างนี้อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ เอามาสีโดยไม่ได้ใช้ยาสีฟัน ฟันกระชับเหมือนเดิม สามารถกัดอ้อยทั้งลำได้ซึ่งตอนนี้ฟันผมก็ยังโอเคอยู่ นั่นคือสิ่งหนึ่งที่ตัวผมได้จากธรรมชาติ
       
       สมัยก่อนโน้นไม่มีสบู่ ซันไลต์เป็นสบู่ยี่ห้อแรกที่ออกมา แต่หาซื้อยากและถ้าจะซื้อก็ต้องเดินทางไปซื้อไกลถึงตลาดในเมือง เราเลยใช้ขี้ดินถูตัว ซึ่งตอนนี้เราทั้งสองคนก็ยังคงใช้ดินถูตัวอยู่ ดินที่บ้านผมสะอาด เราไปขุดให้ลึกสักหน่อย แต่ตอนขุด เราต้องเลือกหาสถานที่ที่ไม่มีสารพิษมาก่อน วิธีการดูคือถ้าเขาทำสวนแล้วเราจะไม่เอา เราเอาที่เป็นป่า
       
       รุ้งเริงธรรม : จริงๆ ไม่เคยเห็นป่าเพราะเกิดมาในยุคหลังแล้ว ได้ยินแต่เขาเล่ากันมา แต่ใจเราก็อยากสัมผัสกับป่าจริงๆ เพราะเรามีใจและชอบเรื่องธรรมชาติอยู่แล้ว ชอบต้นไม้ พื้นฐานของเรามีพ่อแม่เป็นชาวสวน ก็จะได้อยู่กับอะไรที่เกี่ยวกับพื้นดิน ต้นไม้ พอได้มาใช้ชีวิตที่สัมผัสกับธรรมชาติ ไม่ใช้เคมี โรคภัยไข้เจ็บ ภูมิแพ้หายเลย แล้วสุขภาพก็ดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อก่อนจะชอบป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ ร่างกายอ่อนแอมาก
       
       
แบบนี้คิดว่าใช้ชีวิตสุดโต่งเกินไปหรือเปล่า

       
       อาจารย์ไม้ร่ม : ครั้งแรกเราต้องออกแรงอย่างมาก เราต้องออกแรงดึงสังคมให้หันมามองเราว่าเราบ้าหรือดี ว่าเราเป็นอะไรกันแน่ มันมีความจำเป็นที่ต้องทำ เพราะฉะนั้น ถ้าจะสุดโต่งไปบ้างก็ต้องขออภัย เช่นว่าไม่ใส่รองเท้าอย่างที่เขาใส่ ไม่สวมเสื้อผ้าอย่างที่เขาใช้ เราแต่งตัวแปลกๆ ตัดผมเอง ผูกผมไม่ต้องดูกระจก เพราะเราถือว่าการแต่งหน้าอย่างที่เขาทำๆ กัน มันคือการแต่งไปขาย มันมีหลายบริษัทอยู่บนหน้า บริษัทลิปสติก บริษัทคิ้ว บริษัทเต็มไปหมดอยู่บนหน้าเรา แล้วบริษัทนั้นทำมาเพื่อขาย เพราะฉะนั้นมาอยู่บนหน้าเรา ก็เหมือนกับเขามายึดครองหน้าเราเพื่อขายหน้า แล้วเสื้อผ้าก็เหมือนกัน ก็มาจากหลายบริษัท มีบริษัทนู้นบริษัทนี้มายึดครอง มีแบรนด์เนมนั่นนี่ก็เหมือนว่าเราขายตัวอีก ทั้งขายหน้าขายตัว ซึ่งตัวผมกับภรรยาของผมคนนี้เขาไม่ขายตัว
       
       รุ้งเริงธรรม : สุดโต่งคำนี้ในมุมมองของเราอาจไม่ใช่สาระสำคัญ เพราะเราดูรายละเอียดมากกว่าว่าชีวิตความเป็นอยู่ในแต่ละวันของเราคืออะไร คิดว่าถ้ามันไม่เป็นไปเพื่อเบียดเบียนก็คิดว่าเป็นสิ่งที่ดี ไม่ได้เสียหายอะไรนะ เราไม่คิดว่าตัวเองทำอะไรสุดโต่ง ถ้าเขาจะมองว่าเราสุดโต่งหรือหลุดโลกหรืออะไรก็ตามแต่ ถ้าเป็นโลกอย่างที่เขาเป็นคือวัตถุนิยมแล้วก็ทำลายสิ่งแวดล้อม เห็นแก่ตัว เอารัดเอาเปรียบ ขอเป็นคนที่หลุดโลกไปเลยดีกว่า ไม่อยู่ในโลกนี้กับเขาดีกว่า โลกของการแข่งขันแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน โลกนั้นไม่ได้เห็นจิตใจที่ดีงามของมนุษย์ เพราะฉะนั้น เราขอเป็นคนที่หลุดโลกดีกว่า
       
       จริงๆ แล้วเราก็ยังคงสัมพันธ์กับเพื่อน กับสังคม กับสิ่งอื่นๆ เหมือนเดิม เรายังคงมีความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมหรืออะไรเหมือนเดิม และละเอียดอ่อนมากขึ้นกว่าเดิมด้วย เพราะเราจะมองอะไรในเชิงลึก ในเชิงที่ว่าเวลาเราจะทำอะไรไปสักอย่าง เรานึกถึงประโยชน์ของคนอื่นด้วย อย่างเวลาที่จะปลูกผักกินเองที่บ้าน เราก็จะเด็ดเฉพาะที่เรากินเท่านั้น ส่วนที่เหลือเราก็จะแบ่งปันให้คนอื่นหรือให้พวกนก พวกแมลงได้กินด้วย ให้ธรรมชาติอยู่ด้วยกันได้ เราจะใช้เฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น
       
       อาจารย์ไม้ร่ม : เดี๋ยวนี้เราเห็นว่าคนที่เป็นทุกข์มากที่สุดมีอยู่สองคน คนหนึ่งคือคนที่มีเงิน คนมีเงินเขาเป็นทุกข์ว่าจะไปซื้ออะไรดี มีเงินแล้วจะซื้ออะไรก็เป็นทุกข์นะ ซื้ออะไรแล้วให้ดีกว่าเขา ให้ดีกว่าคนอื่น อย่างซื้อรถยี่ห้อนี้มันไม่ได้ต้องซื้อยี่ห้ออื่นเพราะข้างบ้านมันมีรุ่นนี้แล้ว อวดเบ่งข่มกัน เป็นทุกข์มาก..(ลากเสียงยาว) ซื้อมาแล้วก็กังวลอีกว่าจะมีใครมาปล้นหรือเปล่า ต้องสร้างรั้วรอบขอบชิดป้องกันอุตลุด
       คนที่สอง คือคนที่ไม่มีเงินก็เป็นทุกข์อีก เป็นทุกข์มาก ไหนจะเอาลูกเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ต้องไปจำนำจำนองที่ดิน ต้องไปกู้หนี้ยืมสินเป็นแสนเป็นล้านเพื่อจะให้ลูกได้เรียนเพื่อหวังจะมีหน้ามีตา ให้มีมากกว่าคนอื่น ให้เหนือกว่าคนอื่น พ่อจะเป็นยังไง แม่จะเป็นยังไงไม่รู้ มีแต่จะทำเพื่อลูก แบบนี้ก็ทุกข์ ดีไม่ดีกู้หนี้ยืมสินไม่ได้ ต้องไปปล้นเขาเลย ทุกข์มากคนพวกนี้ ซึ่งสำหรับผมแล้วมันไม่ใช่ คนสองคนนี้ ผมหลุดโลกออกมาแล้ว
       
       เราอยู่ยิ่งกว่าคนรวยมหาเศรษฐีอีก เพราะบ้านหลังน้อยๆ ของเรา เรานอนเต็มบ้านเลย ที่เล็กๆ นอนสองคนก็เต็มบ้านแล้ว แล้วอีกอย่างรอบบ้านเราก็ปลูกนู่นนี่นั่น เพราะเราคือเจ้าของบ้านโดยแท้ เจ้าของที่ดินโดยแท้ บางคนเป็นเจ้าของบ้านตึกหลังใหญ่สี่ห้าหลัง แต่ไม่ได้นอน ต้องไปทำงานตั้งแต่เช้าจรดเย็น เย็นกลับมาหรือไปไหนก็ไม่รู้ นอนก็นอนไม่ทั่ว ไม่มีคนอยู่ รกรุงรังเปล่าๆ บางคนมีที่ดินเป็นหมื่นๆ ไร่ แต่มีแค่ฉโนด ไม่รู้เอาไว้ทำอะไร เรามีนิดเดียวก็จริง แต่ใช้ปลูกนู่นนี่นั่นไว้กินได้




ถามแบบชาวบ้านๆ อาจารย์ก็อายุปูนนี้แล้ว ยังกระปรี้กระเปร่าและมีความรักได้ อาจารย์มีเคล็ดลับในการดูแลสุขภาพอย่างไร

       
       อาจารย์ไม้ร่ม : คือเรื่องนี้ เราต้องมีความรอบรู้พอสมควร เราน่าสงสารที่เกิดมาแล้วตามองออกไปข้างนอก สนใจแต่ข้างนอก ไม่สนใจตัวเองเลย กินอยู่ หลับนอนอย่างไรไม่สนใจ ขอแค่มีที่ซุกหัวนอน ขอแค่ให้มีกิน ไม่ได้สนใจสุขภาพอย่างแท้จริง ถ้าไปถามพระพุทธเจ้าท่านว่าความสุขมีไหม ท่านจะบอกว่าไม่มี สุขเป็นสิ่งหลอกลวง มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป แต่ถ้าถามผม ผมอยากจะบอกว่าความสุขนั้นมีอยู่สองสุข
       
       หนึ่งคือ “สุขา” คุณไม่ขี้ไม่เยี่ยวเวลาคุณที่ควรจะขี้จะเยี่ยว สองคือสุขภาพ สุขภาพนี่สำคัญมาก สุขภาพประกอบไปด้วย
       
       หนึ่ง การกินอาหาร ต้องเข้าใจอาหารที่ชัดเจน ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าอาหารเป็นหนึ่งในโลกไม่มีอื่น อาหารที่จะพูดถึง ขอพูดแค่อาหารที่เข้าทางปากนะ เพราะอาหารมีหลายอย่าง อาหารตา อาหารจมูก อาหารหัวใจ และอื่นๆ สำหรับอาหารที่เข้าไปทางปากก็ต้องรู้ให้ชัดเจนอย่างที่บอกข้างต้น หนึ่งเพื่อหัวใจ สองเพื่อสมอง สามเพื่อตับ สี่เพื่อให้ไม่มีลมในท้อง
       
       สอง การออกกำลังกาย เช้าขึ้นมา ผมจะบริหารร่างกาย สายหน่อยจะไปตากแดดและ
       
       สาม การพักผ่อน
       
       สามอย่างนี้ อย่างหนึ่งอย่างใดบกพร่องไม่ได้เพราะโรคภัยไข้เจ็บจะเข้ามา ทุกโรคจะเข้ามาทางนี้ พอเราทำทุกอย่างดี เรื่องอากาศไม่ต้องห่วง ที่เขาบอกกันเรื่องหลักการ 3 อ.มันจะเกิดขึ้นเอง (หลักการ 3 อ. อาหาร อากาศ อารมณ์) ทำแค่สามอย่างที่ผมบอก ทุกอย่างมาเองแน่ๆ
       
       
แล้วพวกสมุนไพรอย่างถั่งเช่าหรืออะไรเทือกๆ นั้นล่ะ อาจารย์คิดเห็นอย่างไร

       
       อาจารย์ไม้ร่ม : ที่เป็นตัวยาซึ่งกินเพื่อบำรุงกาม เราก็รู้ ผมไปอินเดียสิบกว่าครั้ง ผมเอาสูตรมาจากยิวกับอินเดีย เพราะมีคำถามว่าทำไม สมองความจำเขาดี ผมจะไปกินอาหารกับคนอินเดียตลอด กับรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยของอินเดียผมก็กิน กับขอทานก็เคยไปกิน จนผมรู้ว่าอาหารที่ดีเป็นยังไง กษัตริย์องค์สุดท้ายของอินเดียชื่อนาวะท่านมีเมียถึง 300 คน เขากินยังไง ถึงมีเมียเยอะขนาดนั้น ผมก็รู้ก็เข้าใจ กินยังไงไม่ให้มีกามเลย ผมก็รู้ แต่ที่ผมกินอยู่นี้ ผมไม่ได้เอาตัวนั้นมาใช้เพราะบอกแล้วว่าเรามาอยู่ด้วยกัน เราไม่ได้มาสำส่อน เสพกามกันเอาเป็นเอาตาย เรามีกามพอเป็นกระสาย มีกามเป็นน้ำตาลเคลือบยา มีเพศเป็นเพศสัมพันธ์ให้มีความรื่นรมย์ในครอบครัวในชีวิตคู่ก็เท่านั้นเอง แต่เนื้อแท้แล้วคือความรัก
       
       ผมแนะนำได้เรื่องอาหารที่เราต้องกินให้ถูกต้อง กินยังไงอยู่ยังไงให้ร่างกายแข็งแรง ไม่เจ็บไม่ป่วย สามารถมีเมียสาวได้ แต่ถ้าให้ผมบอกเคล็ดลับนู่นนี่นั่น มันคงจะไม่ดีนัก เพราะผมไม่ได้มุ่งไปปฏิบัติอย่างนั้น ผมไม่ได้มุ่งให้โลกนี้มาสำส่อนสมสู่กันมันเกินไป ผมอยากให้ทุกครอบครัวมีความสุข มีความสงบสุข ถ้าไปปฏิบัติกามมาก มันเป็นเรื่องของความร้อน ไม่สงบ ความสุขก็ไม่มี มีแต่สุขเสียดสีสัมผัสกัน ก็แค่นั้น สุขจริงๆ มันอยู่ที่ความพออกพอใจ ความเข้าใจกันมากกว่า มันลึกซึ้งกว่า มันแนบแน่นมากกว่า



ถึงวันนี้แล้ว คนต่างวัยสองคน ต้องอยู่ร่วมกัน มีสิ่งที่ต้องปรับจูนอะไรหรือไม่

       
       อาจารย์ไม้ร่ม : แน่นอนว่าเรามากันต่างชาติ ต่างวัฒนธรรม ชาติกำเนิดของเขาก็มาจากพ่อแม่เขา วัฒนธรรมของเขาก็มาจากพ่อแม่เขา ทั้งการกินการอยู่ ของผมก็มาจากพ่อแม่ผมซึ่งอาจจะไม่เหมือนกันนัก จะต้องมีปรับกันเล็กน้อย แต่ก็ไม่มากมายอะไรเลย ถึงจะแตกต่างยังไงมันก็ไม่มาก เพราะเราเป็นคนไทยเหมือนกัน (หัวเราะ)
       
       เราผลัดกันเป็นช้างเท้าหน้าเท้าหลัง บางอย่างเขามีความสามารถรอบรู้ ผมก็ให้เขาเป็นช้างเท้าหน้า ยกตัวอย่างทำครัวเขาปรุงอาหารได้ดี ก็ต้องเขาเลย ซักผ้าหรืออะไรต่างๆ ก็เขาเลย แต่บางอย่างเราก็ต้องช่วย เราเป็นช้างเท้าหลัง เราต้องช่วยด้วย ไม่ใช่ให้เขาทำแต่ฝ่ายเดียว เราช่วยได้เราก็ต้องช่วย เราจะช่วยกันทุกอย่าง ไปไหนไปกัน ถึงไหนถึงกัน นี่คือหลักของเรา ส่วนเรื่องความคิดเราตรงกันตั้งแต่แรกที่เราเจอกันแล้ว ผมมีประสบการณ์มามากเลยทำให้ตัดสินใจได้ทันที อย่างหนุ่มๆ เขาก็อาจจะช้าหน่อย ถ้าให้ตัดสินใจเรื่องแต่งงาน อาจจะต้องคิดยาวๆ แต่วัยนี้ของผมแล้วใช้เพียงวินาทีเดียวก็สามารถดูออกเลยว่าเขาใช่
       
       รุ้งเริงธรรม : ไม่มีอะไรมากเลยค่ะ รักคือความเมตตา คือความเป็นเพื่อน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน นั่นแหละคือหลักในการใช้ชีวิตคู่ของเรา
       
       
ในอนาคตล่ะ คาดหวังอะไรกับชีวิตคู่บ้าง

       
       รุ้งเริงธรรม : ไม่คาดหวังอะไรเลยค่ะ ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ เพราะคาดหวังไป มันก็อาจไม่ได้เกิดขึ้นจริง คือเราอยู่กับปัจจุบันให้เต็มที่ดีกว่า แต่ถ้าจะให้คาดหวังจริงๆ คงมีแค่เรื่องเดียว ตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจอยู่ เราอยากจะทำอะไรที่เกื้อกูลต่อผู้อื่น อยากจะทำให้เต็มที่ และพยายามเรียนรู้ให้ดีขึ้นเรื่อยๆ เพื่อเกื้อกูลผู้อื่นตามกำลังสติปัญญาที่เราจะทำได้
       
       อาจารย์ไม้ร่ม : ผมมองว่าอนาคตเป็นของคนบ้า ไม่มีใครในโลกนี้มีอนาคต ถ้าให้ผมบอกว่าผมมีอนาคตที่ดี นั่นคือผมบ้า สามารถจับส่งโรงพยาบาลได้เลย เพราะอนาคตมันไม่มี แม้แต่อดีตก็ไม่มี อดีตมันผ่านไปแล้ว มันผ่านไปแล้ว (ย้ำ) จะกลับไปได้ไหม สิ่งที่เรามีอยู่จริงๆ คือปัจจุบัน ปัจจุบันขณะนี้แหละคือปัจจุบัน เราทำอะไรอยู่ ดีหรือชั่ว นี่คือสิ่งสำคัญ
       
       สำหรับผมแล้ว ถ้าจะให้คาดหวังขึ้นมาจริงๆ ผมจะคาดหวังว่าสักวันหนึ่ง ผมจะเอาท้องฟ้ากับแผ่นน้ำมาซักใหม่ให้มันสะอาดแล้วผมจะจับทุกคนใส่ชุดผูกขาดให้หมดทั่วโลก เพราะอะไรรู้ไหม เพราะนี่คือชุดยิ่งใหญ่ ผมว่ามันไม่ไปซ้ำกับของใครที่ให้ใครฟ้องร้อง เป็นชุดพระนักบวชก็ไม่ใช่ เป็นชุดของคนบ้าที่อยู่ในโรงพยาบาลบ้าก็ไม่ใช่ แม้แต่จะเป็นชุดขอทาน ขอทานก็ไม่มีเงินมาจ้างทนายไปฟ้องร้องดำเนินเรื่องได้เลย เพราะฉะนั้น ชุดนี้ไม่ซ้ำกับชุดโรงงาน ไม่ซ้ำกับชุดข้าราชการ ไม่ซ้ำกับชุดนักบวช เป็นชุดเดียวในโลก ถ้าโลกนี้ใส่อย่างนี้ แน่นอน การเบียดเบียนไม่มี มหาตมะ คานธี บอกว่าทรัพยากรในโลกนี้มีพอเพียงสำหรับเลี้ยงคนทั่วโลก แต่มีไม่พอสำหรับคนโลภแม้เพียงคนเดียว
       

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

ตอบ

Go to full version