ผู้เขียน หัวข้อ: พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ย่อมให้บุตรภรรยาเป็นทานเหมือนกันหมด หรือ ? ( มิลินทปัญหา )  (อ่าน 2612 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด


<a href="https://www.youtube.com/v/MYfomb4-S6g" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">https://www.youtube.com/v/MYfomb4-S6g</a>

<a href="https://www.youtube.com/v/zmeDqeTZdhE" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">https://www.youtube.com/v/zmeDqeTZdhE</a>




อันนี้อีกอันนะ จากมิลินทปัญหา



"ขอเสริมกระทู้นี้ด้วยมิลินทปัญหา เพราะคนแคลงใจเรื่องนี้กันมาก บางคนถึงกับตำหนิ จะเป็นบาปเป็นกรรมไป
....
ตอนที่ ๒๙
วรรคที่ ๘
ปัญหาที่ ๕
ถามถึงเรื่องทานของพระเวสสันดร

“ ข้าแต่พระนาคเสน พระโพธิสัตว์ทั้งหลายย่อมให้บุตรภรรยาเป็นทานเหมือนกันหมดหรือ หรือให้เฉพาะพระเวสสันดรเท่านั้น ? ”

“ ขอถวายพระพร เหมือนกันหมด ไม่เฉพาะแต่พระเวสสันดร”

“ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้าพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ให้ทานบุตรภรรยาเหมือนกันหมดก็ขอถามว่าให้ด้วยความยินยอมของบุตรภรรยาเหล่านั้นหรือไม่? ”

“ ขอถวายพระพร สำหรับภรรยายินยอมแต่ทว่าบุตรนั้นที่ยังเป็นทารกอยู่ ก็ร้องไห้เพราะยังไม่รู้จักอะไร ถ้ารู้จักความดีแล้วก็ยินดีตาม ไม่ร้องไห้รำพันเช่นนั้น ”คำถามที่กระทำได้อยาก ๗ ข้อพระเจ้ามิลินท์ตรัสต่อไปว่า

“ ข้าแต่ถพระนาคเสน การที่พระโพธิสัตว์ได้ให้บุตรอันเป็นที่รักของตน เพื่อไปเป็นทาสของพราหมณ์ เป็นของกระทำได้ยากข้อที่ ๑

การที่พระโพธิสัตว์ได้เห็นพราหมณ์ผูกมัดพระเจ้าลูกทั้งสอง ด้วยเครือไม้แล้วเฆี่ยนตีไป แต่ทรงเฉยอยู่ได้นั้น เป็นสิ่งที่กระทำได้ยากข้อที่ ๒

การที่พระโพธิสัตว์ได้ยกพระเจ้าลูกทั้งสองที่สลัดเครื่องผูกให้หลุดออก แล้ววิ่งกลับไปหาพระองค์อีกนั้น พระองค์ได้ทรงอนุญาติให้พราหมณ์ ผูกมัดไปด้วยเครือไม้อีก เป็นสิ่งที่กระทำได้ยากข้อที่ ๓

การที่พระโพธิสัตว์ทรงได้ยินเสียงพระเจ้าลูกทั้งสองร่ำร้องไห้ว่า “ พราหมณ์นี้เป็นยักษ์จะนำหม่อนฉันทั้งสองไปกินเสีย” ก็ทรงเฉยอยู่ไม่ทรงปลอบโยนว่า “ อย่ากลัวเลยลูกเอ๋ย! ” อันนี้เป็นสิ่งที่กระทำได้ยากข้อที่๔

การที่พระชาลีกุมาร ได้หมอบกราบลงร้องไห้คร่ำครวญอยู่ที่พระบาทว่า “ ขอให้พระน้องนางกัณหากลับมาอยู่กับพระองค์เถิด หม่อนฉันผู้เดียวจะไปกับยักษ์ ยักษ์จะกินหรืออย่างไรก็ช่าง” แต่พระเวสสันดรไม่ทรงรับคำอ้อนวอนอันนี้ ข้อนี้เป็นสิ่งที่กระทำได้ยากข้อที่ ๕

เมื่อพระชาลีกุมารร้องไห้คร่ำครวญว่า “ ข้าแต่พระบิดา พระหทัยของพระองค์ช่างแข็งกระด้างดังแผ่นศิลา เมื่อข้าพระองค์ทั้งสองกำลังได้ทุกข์ พระองค์ยังเพิกเฉยอยู่ได้ พระองค์ไม่ทรงห้ามยักษ์ ที่จักนำหม่อนฉันทั้งสองไปในป่าใหญ่ อันไม่มีมนุษย์นี้เลย” ดังนี้ พระเวสสันดรก็ไม่ทรงกรุณา อันนี้เป็นสิ่งที่กระทำได้ยาก ข้อที่ ๖

เมื่อพระเจ้าลูทั้งสองร้องไห้ด้วยเสียงอันน่าสยดสยอง จนลับคลองพระเนตรไป แต่พระหฤทัยของพระเวสสันดร ซึ่งควรจะแตกออกเป็นร้อยเสี่ยง พันเสี่ยง ก็ไม่แตกข้อนี้ก็เป็นสิ่งที่กระทำได้ยากข้อที่ ๗

พระเวสสันดรผู้มุ่งบุญ เหตุใดจึงทำทุกข์ให้แก่ผู้อื่น ควรที่พระเวสสันดรจะให้ทานตัวเองไม่ใช่หรือ ? ”

พระนาคเสนเฉลยว่า
“ ขอถวายพระพร เพราะเหตุที่พระเวสสันดร ได้กระทำสิ่งที่ทำได้ยาก จึงมีเสียงสรรเสริญทั่วหมื่นโลกธาตุ เหล่าเทพยเจ้า อสูร ครุฑ นาค พระอินทร์ ยักษ์ ต่างก็สรรเสริญ อยู่ในที่อยู่ของตน ๆ กลองทิพย์ก็บันลือขึ้นเอง จนกระทั่งทุกวันนี้ ยังมีผู้คิดกันอยู่ว่าทานของพระเวสสันดรนั้น ดีหรือไม่ดี



กิตติศัพท์อันนั้นย่อมแสดงให้เห็นคุณ ๑๐ ประการของพระโพธิสัตว์ ผู้มีสติปัญญาละเอียด ผู้รู้แจ้งเห็นแจ้งคุณ ๑๐ ประการนั้นคุณ ๑๐ ประการของพระโพธิสัตว์

๑. ความไม่ติดอยู่ในของรักของชอบใจ
๒. ความไม่อาลัยเกี่ยวข้อง
๓. ความสละ
๔. ความปล่อย
๕. ความไม่หวนคิดกลับกลอก
๖. ความละเอียด
๗. ความเป็นของใหญ่
๘. ความเป็นของรู้ตามได้ยาก
๙. ความเป็นของได้ยาก
๑๐. ความเป็นของไม่มีใครเสมอ ”

“ ข้าแต่พระนาคเสน บุคคลเหล่าใด ทำผู้อื่นให้เป็นทุกข์ด้วยการให้ทาน ทานของบุคคลเหล่านั้นจะให้ผลเป็นสุข จะทำให้ไปเกิดในสวรรค์ได้มีอยู่หรือ? ”

“ มีอยู่ มหาบพิตร ”

“ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ขอจงแสดงเหตุการณ์เปรียบเทียบ”

“ ขอถวายพระพร ถ้ามีสมณะหรือพราหมณ์ผู้มีศีลธรรมอันดี เป็นโรคมีร่างกายตายไปแถบหนึ่ง หรือเป็นโรคง่อยเปลี้ยหรือเป็นโรคอย่างใดอย่างหนึ่งเดินไม่ได้ มีผู้อยากได้บุญคนใดคนหนึ่ง ยกสมณพราหมณ์นั้นขึ้นสู่ยานพาหนะ นำไปส่งให้ถึงที่ประสงค์ บุคคลผู้นั้นจะได้ผลเป็นสุข ได้ไปเกิดในสวรรค์หรือไม่ ? ”

“ ได้ไปเกิดทีเดียว พระผู้เป็นเจ้า อย่าว่าแต่ยานทิพย์เลย ถึงผู้นั้นจะเกิดในที่ใด ก็จะได้ยานพาหนะสมควรแก่ที่นั้น ๆ เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็ได้ยานช้าง ยานม้า ยานรถ ยานทางบก ยานทางน้ำ เมื่อเกิดในสวรรค์ก็ได้ยานทิพย์ ความสุขจักต้องเกิดแก่เขาตามสมควรแก่ชาติกำเนิด ชาติสุดท้ายเขาก็จักได้ขึ้นยานฤทธิ์ ไปถึงเมืองนิพพานเป็นแน่ ”

“ ขอถวายพระพร ถ้าอย่างนั้นทานที่ให้ด้วยทำให้เกิดทุกข์แก่ผู้อื่นก็มีผลเป็นสุข ทำให้เกิดในสวรรค์ได้ พระเวสสันดรทำให้พระเจ้าลูกทั้งสองต้องเป็นทุกข์ ด้วยการถูกผูกมัดด้วยเถาวัลย์ ก็จะได้เสวยสุขเหมือนอย่างนั้น

แต่ขอมหาบพิตรจงทรงสดับเหตุให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีก เพื่อให้เห็นว่าการให้ทานด้วยการทำทุกข์ให้แก่ผู้อื่น ก็มีผลเป็นสุข ทำให้เกิดในสวรรค์ได้ คือ

พระราชาที่ให้เก็บพลีกรรม ( ส่วย ) โดยชอบธรรม มาทรงบริจาคทานตามอำนาจนั้นมีอยู่ พระราชานั้นจะได้ความสุข อันเกิดจากการทรงให้ทานนั้นบ้างหรือ ทานนั้นจักทำให้ไปเกิดในสวรรค์ได้หรือไม่ ? ”

“ ได้ พระผู้เป็นเจ้า พระราชานั้นจักต้องได้ รับผลแห่งทานนั้นหลายแสนเท่า จักได้เกิดเป็นพระราชายิ่งกว่าพระราชา จักได้เกิดเป็นเทวดายิ่งกว่าเทวดา เกิดเป็นพรหมยิ่งกว่าพรหมเกิดเป็นพราหมณ์ยิ่งกว่าพราหมณ์ เกิดเป็น พระอรหัตย์ยิ่งกว่าพระอรหันต์เป็นแน่ ”

“ ขอถวายพระพร ถ้าอย่างนั้นทานที่ให้ด้วยการทำให้ผู้อื่นเป็นทุกข์ ก็ต้องมีผลเป็นสุขต้องให้เกิดในสวรรค์ได้ เพราะพระราชาทรงบีบคั้นประชาชนมาให้ทาน ยังได้เสวยยศและสุขอย่างนั้นได้ ”อติทาน

พระเจ้ามิลินท์ตรัสต่อไปว่า

“ ขัาแต่พระนาคเสน ทานที่พระเวสสันดรทรงกระทำนั้นเป็นอติทาน คือเป็นทานอย่างยิ่งเพราะพระเวสสันดรได้ทรงให้ทานพระอัครมเหสีของพระองค์ เพื่อให้ไปเป็นภรรยาของผู้อื่น ทรงให้ทานพระเจ้าลูกทั้งสอง เพื่อให้ไปเป็นทาสของพราหมณ์

ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า อันธรรมดาการให้ทานเกินไป ผู้รู้ทั้งหลายในโลกก็ตำหนิติเตียนเปรียบเหมือนเกวียนที่บรรทุกหนักเกินไปเพลาเกวียนก็หัก เรือบรรทุกหนักเกินไปก็จม อาหารที่กินมากเกินไปก็ไม่ย่อย ข้าวในนาเมื่อฝนตกมากเกินไปก็เสีย การให้ทานเกินไปก็สิ้นทรัพย์ แดดร้อนเกินไปในแผ่นดินก็ร้อน รักเกินไปก็บ้า โกรธเกินไปก็มีโทษ

หลงเกินไปก็ทำสิ่งที่ไม่ควรทำ โลภเกินไปก็ทำให้ลักขโมย พูดมากเกินไปก็พลาด น้ำเต็มฝั่งเกินไปก็ล้น ลมแรงเกินไปสายฟ้าก็ตก ไฟร้อนเกินไปน้ำก็ล้น เอาใจใส่ต่อการเรียนเกินไปก็บ้า กล้าเกินไปก็ตายเร็ว ฉะนั้นข้าแต่พระนาคเสน พระเวสสันดรให้ทานเกินไป ก็ไม่มีผล ”



พระนาคเสนถวายวิสัชนาว่า

“ขอถวายพระพร อติทาน คือทานอันยิ่งเป็นของผู้รู้ทั้งหลายในโลกสรรเสิญ พวกใดให้ทานเช่นนั้นได้ พวกนั้นย่อมได้รับความสรรเสริญในโลก คนปล้ำย่อมทำให้คนปล้ำอีกฝ่ายหนึ่งล้มลงด้วยกำลังแรงกว่า แผ่นดินย่อมทรงไว้ได้ซึ่งคนและสัตว์ ภูเขา ต้นไม้ทั้งหลาย เพราะแผ่นดินเป็นของใหญ่ยิ่ง

มหาสมุทรไม่รู้จักเต็ม เพราะมหาสมุทรเป็นของใหญ่ยิ่ง เขาสิเนรุไม่รู้จักหวั่นไหว เพราะเขาสิเนรุเป็นของหนักยิ่ง อากาศไม่มีที่สุดเพราะอากาศเป็นของกว้าวยิ่ง ดวงอาทิตย์กำจัดเมฆหมอกเสียได้ เพราะมีรัศมียิ่ง ราชสีห์ไม่มีความกลัว เพราะมีชาติกำเนิดยิ่ง แก้วมณีให้สำเร็จความปรารถนาทั้งปวง เพราะเป็นของมีคุณยิ่ง

พระราชาย่อมเป็นใหญ่ เพราะป็นผู้มีบุญยิ่ง ไฟย่อมเผาสิ่งทั้งปวงได้ เพราะมีความร้อนยิ่ง เพชรย่อมเจาะแก้วมณี แก้วมุกดาแก้วผลึกได้ เพราะเป็นของแข็งยิ่ง เทพยดา มนุษย์ ยักษ์ อสูรทั้งหลาย ย่อมหมอบกราบภิกษุ เพราะมีศีลยิ่ง พระพุทธเจ้าไม่มีผู้เปรียบเพราะเป็นผู้วิเศษยิ่ง

ข้อความเหล่านี้ฉันใด ทานอันยิ่งก็เป็นที่สรรเสริญของผู้รู้ทั้งหลายฉันนั้น
ทานอันยิ่งของพระเวสสันดรนั้น มีผู้สรรเสริญทั่วหมื่นโลกธาตุ เพราะทานอันยิ่งนั่นแหละ พระเวสสันดรจึงได้เป็นพระพุทธเจ้าผู้ล้ำเลิศในมนุษย์โลก เทวโลก ขอถวายพระพรทานที่ไม่ควรให้มีอยู่หรือ ? ”

“ มีอยู่ พระผู้เป็นเจ้า ทานที่ไม่ควรให้นั้นมีอยู่ ๑๐ อย่าง ผู้ใดให้ทานเหล่านี้ ผู้นั้นก็ไปสู่อบาย มีดังนี้ทาน ๑๐ อย่างที่ไม่ควรให้

๑. หญิงให้เมถุนธรรมเป็นทาน
๒. ปล่อยโคตัวผู้เข้าไปในฝูงแม่โคเพื่อเมถุนธรรม
๓. ให้น้ำเมา คือสุราเมรัยเป็นทาน
๔. ให้รูปเขียน อันประกอบดัวยเมถุนธรรมเป็นทาน
๕. ให้ศาตราวุธเป็นทาน
๖. ให้ยาพิษเป็นทาน
๗. ให้โซ่ตรวน ขื่อคา เป็นทาน
๘. ให้ไก่เพื่อให้เขาไปฆ่า
๙. ให้สุกรเพื่อให้เขาไปฆ่า
๑๐. ให้ทานเครื่องตวง ตาชั่ง ทะนาน เพื่อใช้โกง

เหล่านี้ บัณฑิตไม่สรรเสริญ ทำผู้ให้ให้แล้วไปสู่อบายนะ พระผู้เป็นเจ้า ”

“ ขอถวายพระพร อาตมาภาพไม่ได้ถามถึงสิ่งที่ไม่ควรให้ทาน ถามถึงสิ่งที่ควรให้ทานแต่เมื่อทักขิไณยบุคคล ( ผู้ควรรับทาน) ยังไม่เกิดก็ยังไม่ควรให้ ว่าทานอย่างนั้นมีอยู่หรือดังนี้ต่างหาก”

“ อ๋อ...ไม่มี พระผู้เป็นเจ้า เพราะเมื่อจิตเลื่อมใสเกิดขึ้นแล้ว คนบางพวกก็ให้ทานโภชนะแก่ทักขิไณยบุคคล บางพวกก็ให้ทานเครื่องนุ่มห่มก็มี ให้ทานที่นอนก็มี ให้ทานที่อยู่อาศัยก็มี ให้ทานเครื่องปูก็มี ให้ทานเครื่องนุ่งห่มก็มี ให้ทานทาสีและทาสก็มี ให้ทานเรือกสวนไร่นาที่ดินก็มี ให้ทานสัตว์ ๒ เท้า ๔ เท้าก็มี ให้ทานทรัพย์ตั้งร้อยตั้งพันปี ให้ทานราชสมบัติใหญ่ก็มี ให้ทานชีวิตก็มี ”

“ ขอถวายพระพร ถ้าหากว่าในโลกนี้ผู้อื่นยังให้ทานชีวิตได้ เหตุใดจึงมีผู้ติเตียนพระเวสสันดร ผู้เป็นทานบดีอย่างร้ายแรงเพราะเหตุพระราชทานพระราชโอรส ธิดา อัครมเมสี

อีกประการหนึ่ง เมื่อว่าตามปกติโลกแล้วบิดาให้บุตรเป็นค่าใช้หนี้ หรือเป็นค่าเลี้ยงชีพหรือขายไป เพื่อเหตุใดเหตุหนึ่งก็ได้ไม่ใช่หรือ? ”

“ ได้ พระผู้เป็นเจ้า ”

“ ถ้าได้ พระเวสสันดรเมื่อยังไม่สำเร็จพระสัพพัญญุตญาณก็เป็นทุกข์ เพื่อต้องการพระสัพพัญญุตญาณนั้น จึงได้ให้โอรส ธิดา อัครมเหสี เป็นทาน แต่เหตุใดมหาบพิตรจึงทรงติเตียนพระเวสสันดรอย่างร้ายแรงล่ะ?”

” ข้าแต่พระนาคเสน โยมไม่ได้ติเตียนทานของพระเวสสันดร เป็นแต่ติเตียนการที่พระเวสสันดร ได้ให้ทานโอรสธิดากับอัครมเหสีเท่านั้น เพราะว่าเมื่อว่าตามที่ถูกแล้วเวลายาจกมาทูลขอโอรส ธิดา อัครมเหสี พระเวสสันดรควรพระราชทานตัวของพระองค์เอง จึงจะสมควร ”

“ ขอถวายพระพร ข้อนั้นไม่ใช่การกระทำของสัตบุรุษ คือเมื่อเขาขอบุตรภรรยา จะให้ตัวเองนั้นไม่ถูก เมื่อเขาขอสิ่งใด ๆ ก็ควรให้สิ่งนั้น ๆ อันนี้เป็นการกระทำของสัตบุรุษทั้งหลาย

ขอถวายพระพร เหมือนอย่างว่ามีบุรุษคนหนึ่งมาขอน้ำ ผู้ใดให้ข้าวแก่บุรุษนั้นจะเรียกว่าผู้นั้นเป็นกิจจการี คือผู้กระทำตามหน้าที่แล้วหรือ ? ”

“ ไม่เรียก พระผู้เป็นเจ้า เมื่อเขาขอสิ่งใดก็ให้สิ่งนั้น จึงจะเรียกว่ากระทำถูก ”

“ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือเมื่อพราหมณ์ทูลขอโอรส ธิดา อัครมเหสี พระเวสสันดรผู้เป็นทานบดี ก็ไม่พระราชทานของพระองค์เอง ได้พระราชทานโอรสธิดาอัครมเหสีไปแก่พราหมณ์นั้น ถ้าพราหมณ์นั้นขอพระสรีระทั้งสิ้นของพระเวสสันดร พระบาทท้าวเธอต้องไม่ห่วงใยเสียดายพระองค์ ต้องทรงบริจาคพระองค์ไปแล้ว

ถ้านักเลงสะกา หรือสุนัขบ้าน สุนัขป่าเข้าไปทูลขอพระวเสสันดรว่า ขอจงให้พระองค์ยอมเป็นทาสของข้าพระองค์ พระเวสสันดรก็จะทรงยินยอมทีเดียว ทั้งจะไม่ทรงเดือดร้อน เสียใจภายหลัง เพราะว่าพระวรกายของพระเวสสันดรเป็นของทั่วไปแก่คนหมู่มาก

เหมือนกับต้นไม้มีผล อันเป็นของทั่วไปแก่หมู่นกต่าง ๆ ฉะนั้น ด้วยพระเวสสันดรทรงเห็นว่า เมื่อเราปฏิบัติอย่างนี้ จึงจะสำเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณ

อีกอย่างหนึ่ง บุรุษผู้ไม่มีทรัพย์ ผู้ต้องการทรัพย์ ผู้เที่ยวแสวงหาทรัพย์ ย่อมเที่ยวหาไปตามทางดงทางเกวียน ทางน้ำ ทางบก เพื่อให้ได้ทรัพย์ฉันใด พระเวสสันดรผู้ไม่มีทรัพย์คือพระสัพพัญญุตญาณ ก็ได้แสวงหาพระสัพพัญญุตญาณ ด้วยการพระราชทานทรัพย์และธัญชาติ ยาน พาหนะ ทาสี ทาสา ทรัพย์ สมบัติ บุตร ภรรยา ตลอดถึงหนัง เลือดเนื้อ หัวใจ ชีวิตของพระองค์ฉันนั้น

อีกประการหนึ่ง อำมาตย์ผู้ต้องการความเจริญ ต้องการเป็นใหญ่เป็นโต คือต้องการเป็นพระราชา ย่อมสละทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทอง ทั้งสิ้นของตนแก่คนอื่น ๆ ฉันใด พระเวสสันดรก็ทรงสละสิ่งของภายนอกตลอดจนถึงชีวิตแก่ผู้อื่น เพื่อให้ได้พระสัมมาสัมโพธิญาณฉันนั้น

ขอถวายพระพร อีกอย่างหนึ่ง พระเวสสันดรทานบดีทรงดำริว่า พราหมณ์ขอสิ่งใดเราควรให้สิ่งนั้น จึงจะเรียกว่าเราทำถูก ทรงดำริอย่างนี้ จึงได้พระราชทานโอรส ธิดา อัครมเหสี

การที่พระองค์พระราชทานโอรส ธิดา อัครมเหสี ให้แก่พราหมณ์นั้น ไม่ใช่เพราะความเกลียดชัง หรือเห็นว่ามีอยู่มาก หรือเพราะไม่อาจเลี้ยงได้ หรือเพราะรำคาญ ได้พระราชทานไปเพราะทรงมุ่งหวังพระสัพพัญญุตญาณต่างหาก ทรงรักพระสัพพัญญุตญาณมากกว่า

ข้อนี้สมกับที่ตรัสไว้ใน จริยาปิฏก ว่า

“ ไม่ใช่ว่าลูกทั้งสองเป็นที่เกลียดชังของเรา ไม่ใช่ว่ามัทรีไม่เป็นที่รักของเราพระสัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา เราจึงได้ให้ทานบุตรธิดาภรรยา อันเป็นที่รักของเรา ”

ขอถวายพระพร ครั้งพระเวสสันดรพระราชทานโอรสธิดาไปแล้ว ก็ได้เสด็จเข้าไปภายในบรรณศาลา ทรงพระกรรแสงด้วยความรักยิ่ง ดวงหทัยได้ร้อนขึ้น เมื่อพระนาสิกไม่พอหายใจ ก็ได้ปล่อยลมหายใจร้อน ๆ ออกมาทางพระโอษฐ์ มีน้ำพระเนตรเจือด้วยพระโลหิต ไหลนองเต็มสองพระเนตร



เป็นอันว่า พระเวสสันดรทรงรักพระราชโอรสธิดาอย่างยิ่ง แต่ได้ทรงอดกลั้นความโศกไว้ได้ ด้วยทรงดำริว่า อย่าให้ทานของเราเสียไปเลยอานิสงส์ ๒ ประการ

ขอถวายพระพร คราวนั้น พระเวสสันดรได้เล็งเห็นอานิสงส์ ๒ ประการ จึงได้ทรงพระราชาทานพระเจ้าลูกทั้งสอง เพื่อให้ไปเป็นทาสของพราหมณ์ อานิสงส์ ๒ ปะการนั้นคือประการใดบ้าง

ประการที่ ๑ ว่า อย่าให้ “ ทาตบะ ” เครื่องเผากิเลส คือทานของเราเสียไปเลย

ประการที่ ๒ ว่า ลูกเล็กทั้งสองของเราเป็นทุกข์ ด้วยได้กินแต่ลูกไม้หัวมัน เมื่อเราให้ทานไป พระเจ้าปู่จะได้ทรงรับไปเลี้ยง เพราะพระเวสสันดรทรงทราบดีอยู่ว่า คนอื่น ๆ ไม่อาจใช้ลูกของเราให้เป็นทาสทาสีได้ พระเจ้าปู่จะต้องไถ่ลูกทั้งสองของเราไว้ ทั้งจักมารับเราด้วย

เป็นอันว่า พระเวสสันดรเล็งเห็นคุณวิเศษคืออานิสงส์ ๒ ประการนี้ จึงได้พระราชทานลูกทั้งสองไป

อีกประการหนึ่ง พระเวสสันดรทรงทราบอยู่ว่า พราหมณ์ผู้นี้แก่เฒ่าเต็มทีแล้วใกล็จะตายอยู่แล้ว คงไม่อาจใช้ลูกทั้งสองของเราเป็นทาสได้ บุรุษอาจจับดวงจันทร์หรือดวงอาทิตย์ อันมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากลงมาใส่ไว้ในชะลอมหรือในผอบ หรือทำให้หมดรัศมีได้ ด้วยกำลังปกติหรือไม่ ? ”

“ ไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า ”

“ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร พราหมณ์เฒ่าผู้มีบุญน้อยนั้น ก็ไม่อาจใช้พระเจ้าลูกทั้งสองให้เป็นทาสได้เหมือนกันฉะนั้น

อีกประการหนึ่ง ขอจงสดับเหตุให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีก คือแก้วมณีโชติของพระเจ้าจักรพรรดิอันมีรัศมีแผ่ไปตลอด ๑๐๐ โยชน์นั้น ไม่มีใครอาจเอาผ้าขี้ริ้วหุ้มห่อปกปิดไว้ได้

อนึ่ง ช้างแก้วของพระเจ้าจักรพรรดิย่อมไม่มีใครขึ้นขี่ได้ หรืออาจปกปิดไว้ได้ด้วยสิ่งใดสิ่งหนึ่งฉันใด พระเจ้าลูกทั้งสองของพระเวสสันดร ก็ไม่มีใครอาจใช้เป็นทาสทาสีได้ฉันนั้น

อีกอย่างหนึ่ง มหาสมุทรอันกว้างใหญ่หาประมาณมิได้ ย่อมไม่มีใครอาจปิดให้มีแต่เพียงท่าเดียวได้ พระยานันโทปนันทนาคราชที่สามารถพันรอบเขาสิเนรุราชได้ ๗ รอบนั้นย่อมไม่มีใครสามารถจับมาใส่ชะลอมหรือผอบไปเล่นละครได้

พระยาเขาหิมพานต์อันสูงถึง ๕๐๐ โยชน์กว้างยาวถึง ๓๐๐ โยชน์ มียอดถึง ๘ หมื่น ๔ พันยอด อันเป็นแดนเกิดมหานที ๕๐๐ สาย อันเป็นที่อาศัยของหมูภูตใหญ่ ๆ เป็นที่ทรงไว้ซึ่งไม้หอมต่าง ๆ สล้างสลอยไปด้วยทิพยโอสถตั้งร้อย ๆ อย่าง ย่อมแลดูสูงตระหง่านเหมือนกับเมฆอันลอยในท้องฟ้าฉันใด

พระเวสสันดรก็สูงด้วยพระเกียรติยศเหมือนกันพระยาเขาหิมพานต์ฉันนั้น ใครเล่าจักอาจใช้พระเจ้าลูกทั้งสองให้เป็นทาสได้

อีกประการหนึ่ง กองเพลิงที่ลุกรุ่งเรืองอยู่บนภูเขา ในเวลากลายคืนมืด ๆ ย่อมปรากฏเห็นแต่ไกลฉันใด พระเวสสันดรก็ปรากฏเห็นไกลฉันนั้น

อีกอย่างหนึ่ง กลิ่นดอกกากะทิงบนภูเขาหิมพานต์ เมื่อมีลมพัดมา ย่อมส่งกลิ่นไปไกลได้ถึง ๑๒ โยชน์ฉันใด กลิ่นความดีของพระเวสสันดร ก็หอมฟุ้งไปทั่วแดนอสูร คนธรรมพ์ ยักษ์ รากษส นาค ครุฑ กินนร อินทร์พรหมทั้งหลายทุกชั้นฟ้าฉันนั้น เมื่อเป้นอย่างนั้น ใครเล่าจักอาจใช้พระเจ้าลูกทั้งสองของพระเวสสันดร ให้เป็นทาสทาสีได้
 
ขอถวายพระพร อีกอย่างหนึ่ง พระเวสสันดรได้ทรงกำชับสั่งพระชาลีกุมารไว้ว่า

“ ลูกเอ๋ย ! พระเจ้าปู่จักต้องไถ่เจ้าทั้งสองด้วยทรัพย์จากพราหมณ์ไป แต่เมื่อจะทรงไถ่นั้นจงให้ไถ่ตัวเจ้าด้วยทรัพย์จากพราหมณ์ไป แต่เมื่อจะทรงไถ่นั้นจงให้ไถ่ตัวเจ้าด้วยทองคำพันตำลึง ให้ไถ่น้อยกัณหาด้วยทาส ทาสี ช้าง ม้า โค ทองคำอย่างละร้อย ๆ ถ้าพระเจ้าปู่จะทรงบังคับเอาเปล่า ๆ พวกเจ้าอย่ายอม จงติดตามพราหมณ์ไป ” ทรงสอนอย่างนี้แล้ว จึงได้พระราชทานไป

ฝ่ายพระชาลีกุมารที่พระเจ้าปู่ตรัสถามว่าจะต้องไถ่เจ้าทั้งสองอย่างไร จึงได้กราบทูลว่า
“ พระบิดาของหม่อมฉันได้ตีราคาหม่อนฉันไว้พันตำลึงทอง ได้ทรงตีราคาน้องกัญหาไว้ด้วยทรัพย์อย่างละร้อย มีช้าง ๑๐๐ เชือกเป็นต้น พระเจ้าข้า ” เรื่องมีมาอย่างนี้แหละมหาพิตร”

“ ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้าได้ทำลายข่ายทิฏฐิ ย่ำยีถ้อยคำของผู้อื่นได้แล้วได้แสดงเหตุผลไว้เพียงพอแล้ว ทำให้เข้าใจปัญหาข้อนี้ได้ง่ายแล้ว ”

จาก
http://www.watkoh.com/to/milin/ml29.htm


__________________
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๐๔...เราจะตีกลองประกาศอมตธรรมในโลกอันมืด เพื่อให้สัตว์ได้ธรรมจักษุ"

คำอวยพร :- ปฏิบัติธรรมอย่าลืมพรหมวิหาร ความชั่วในใจห้ามไม่ไหว ก็อย่าให้ล้นออกทางวาจา ห้ามวาจาไม่ไหวก็อย่าให้ล้นออกทางกาย ห้ามกายไม่ไหวก็ไว้คราวหน้าพยายามห้ามใหม่ ห้าม่บ่อยๆก็คงสำเร็จสักวัน

โดยคุณ : โยทะกา เมื่อ 18 พฤษภาคม 2547, 0:41 น.


ภาพ บุญผะเหวด ภาคอีสาน








http://board.agalico.com/showthread.php?t=2248



<a href="https://www.youtube.com/v/b9XCCMcvU8A" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">https://www.youtube.com/v/b9XCCMcvU8A</a>
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 15, 2016, 11:38:17 am โดย มดเอ๊กซ »
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ แก้วจ๋าหน้าร้อน

  • สิ่งใดคือธรรมะ สิ่งนั้นย่อมดีแล้วสูงสุด
  • ทีมงานกวาดลานดิน
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 6503
  • พลังกัลยาณมิตร 1741
  • ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครอง
    • kaewjanaron
    • facehot
    • ดูรายละเอียด
    • ใต้ร่มธรรม
การโพสภาพโดยใช้เว็บฝากไฟล์ภาพ imageshack.us/ (เว็บกบ)
การปรับแต่งห้องสมาชิกไร้ขีดจำกัด Ultimate Profile + ห้องเพลงส่วนตัว
การตั้งกระทู้และการโพสกระทู้ในเว็บใต้ร่มธรรมครับ
การแก้ไข้ข้อมูล ชื่อ ระหัส ส่วนตัวของสมาชิกใต้ร่มธรรมครับ
การใส่รูปประจำตัวเรา Avatar รวมทั้งลายเซ็นต์ ในกระทู้หรือโพสของเราครับ
เพิ่มไอคอน ทวิสเตอร์ เฟชบุ๊ค ยูทูบ ในโปรโปรไฟล์ของเรา
การสร้างอัลบั้มภาพส่วนตัวในห้องสมาชิก Profile Pictures
การเพิ่มเพื่อน กัลยาณมิตรใต้ร่มธรรม ในห้องสมาชิกส่วนตัว
การดูกระทู้ทั้งหมดที่เรายังไม่ได้อ่านครับ
โค้ดสี bb color code ไว้สำหรับโพสกระทู้ครับ
*วิธีเคลียร์แคชในทุกเว็บเบราว์เซอร์ครับ เมื่อคอมอืด*

ห้องประชุมของทีมงาน
~ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครองครับ~

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
มิลินทปัญหา 24 ตอน จบบริบูรณ์





ความเป็นมาของมิลินทปัญหา

เนื่องจาก พระเจ้ามิลินท์ เป็นผู้เชี่ยวชาญในพระไตรปิฎก การตั้งปัญหาถาม ล้วนเป็นปัญหาที่ยากจะตอบได้   แต่ พระนาคเสน ท่านก็เฉลยปัญหาได้ทุกข้อ พร้อมทั้งยกอุปมาขึ้น โดยอาศัยธรรมชาติที่มีอยู่รอบตัว เปรียบเทียบได้อย่างแจ่มแจ้ง   ทางเราจึงเห็นว่าเรื่องนี้คงจะเป็นประโยชน์ และให้ความเพลิดเพลินแก่ท่านบ้าง จึงนำมาเสนอไว้ ณ ที่นี้

ความเบื้องต้น

ในสมัยของ สมเด็จพุทธกัสสป มีพระราชาพระนามว่า พระเจ้าวิชิตาวี เสวยราชย์อยู่ใน สาคลนครราชธานี ได้ทรงสร้างมหาวิหารไว้ที่ริมแม่นํ้าคงคา ถวายพระเถระทั้งหลายที่ทรงคุณธรรม    มีพระภิกษุผู้สมบูรณ์ด้วยศีลรูปหนึ่ง เรียกสามเณรรูปหนึ่งว่า  "จงมานี่......สามเณร! จงหอบเอาหยากเยื่อไปเททิ้งเสีย"   สามเณรรูปนั้นก็เฉยอยู่ เหมือนไม่ได้ยินถึงสามครั้ง   จึงคิดว่าสามเณรรูปนี้หัวดื้อ แล้วเอาด้ามไม้กวาดตีสามเณรจนร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด    เมื่อสามเณรเอาหยากเยื่อไปทิ้งนั้น    ได้ปราถนาว่า "ด้วยผลบุญที่เราหอบหยากเยื่อมาทิ้งนี้ หากเรายังไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด เราจะเกิดในภพใดๆก็ตาม ขอให้เรามีเดชเหมือนกับดวงอาทิตย์เวลาเที่ยงวันฉะนั้นเถิด"

สามเณรตั้งใจดังนี้แล้ว ก็เดินไปอาบนํ้าที่แม่นํ้าคงคา   ได้เห็นละลอกคลื่นในแม่นํ้านี้มากมาย   ก็ยินดีปรีดาจะใคร่มีปัญญาเฉลียวฉลาดไม่รู้สุดรู้สิ้น ดุดลูกคลื่นในแม่นํ้านั้น     จึงปราถนาขึ้นอีกเป็นครั้งที่ 2 ว่า  "ข้าพเจ้ายังไม่ถึงนิพพานตราบใด   ไม่ว่าข้าพเจ้าจะไปเกิดในชาติใดๆ   ขอให้ข้าพเจ้ามีปัญญาไม่สิ้นสุด   เหมือนกับลูกคลื่นในแม่นํ้าคงคานี้เถิด"   

ส่วนพระภิกษุผู้เป็นอาจารย์นั้น   เมื่อลงไปที่ท่านํ้า   ก็ได้ยินเสียงสามเณรตั้งความปราถนา   จึงคิดว่า   สามเณรนี้เป็นผู้ที่เราใช้ก็ยังปราถนาอย่างนี้   จึงตั้งความปราถนาว่า  "ข้าพเจ้ายังไม่สำเร็จพระนิพพานตราบใด   ขอให้ข้าพเจ้ามีปัญญาที่สุดมิได้   เหมือนกับฝั่งแม่นํ้าคงคานี้   ให้เป็นผู้สามารถแก้ไขปัญหาทั้งปวง   ที่สามเณรนี้ไต่ถามได้สิ้น"

เมื่อบุคคลทั้งสองนั้น   ท่องเที่ยวเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในเทพยาดาและมนุษย์   ก็ล่วงมาถึง 1 พุทธันดร   พระพุทธเจ้าของเราได้ทรงพยากรณ์ไว้ว่า "เมื่อเราปรินิพพานล่วงไปได้ 500 ปีแล้ว   บุคคลทั้งสองนั้นจะเกิดขึ้น   ธรรมวินัยอันใด อันเป็นของสุขุมที่เราได้แสดงไว้ ธรรมวินัยอันนั้น บุคคลทั้งสองนั้น จะแก้ไขให้หมดฟั่นเฟือน ด้วยการไต่ถามปัญหากัน ดังนี้"

ต่อมาสามเณรนั้น   ก็ได้มาเกิดเป็น พระเจ้ามิลินท์ ในสาคลนคร   เป็นผู้ฉลาด มีความคิดดี   มีถ้อยคำหาผู้ต่อสู้ได้ยาก   ไม่มีใครเสมอเหมือนในทางสติปัญญา   เที่ยวเบียดเบียนพระภิกษุสงฆ์   ด้วยการถามปัญหาตามลัทธิเดียรถีย์   จนพากันหนีไปสู่ป่าหิมพานต์   เมืองสาคลนครจึงเป็นเหมือนว่างจากสมณพราหมณ์อยู่ถึง 12 ปี

ในคราวนั้นมีพระอรหันต์ 100 โกฏิ อาศัยอยู่ที่ถํ้า ในภูเขาหิมพานต์   ได้ทราบเรื่องดังกล่าว   จึงได้พากันไปอ้อนวอน มหาเสนะเทพบุตร ณ  เกตวิมาน   ให้ไปเกิดในมนุษยโลกเป็นบุตรของพราหมณ์ผู้หนึ่ง   โดยมีชื่อว่า นาคเสนกุมาร



นาคเสนกุมาร บวชเป็นสามเณรที่ถํ้ารักขิต   ท่ามกลางพระอรหันต์จำนวนมาก พระโรหณะ ผู้เป็นอุปัชฌาย์เห็นปัญญาอันแหลมคม ของสามเณรนาคเสนแล้ว   จึงให้เรียนพระอภิธรรมก่อน    สามเณรนาคเสนเรียนได้อย่างรวดเร็ว   พระอรหันต์ทั้งหลายจึงประชุมกันให้สามเณรนาคเสนบวชเป็นภิกษุ   โดยมีพระโรหณะเป็นพระอุปัชฌายะ

วันรุ่งขึ้นพระนาคเสนออกบิณฑบาตกับพระอูปัชฌาย์   เดินตามหลังท่านและคิดในใจว่า   "พระอุปัชฌาย์ของเราโง่เขลาจริง ที่ให้เราเรียนพระอภิธรรมก่อนพระพุทธพจน์อื่นๆ"   พระโรหณะทราบความคิดพระนาคเสน   จึงกล่าวว่า  "นาคเสนคิดอย่างนั้นหาควรไม่"    พระนาคเสนจึงได้รู้ว่า   พระอุปัชฌาย์ของตนรู้วารจิต    จึงคิดใหม่ว่า   พระอุปัชฌาย์ของเรามีปัญญาดีแท้    จึงกล่าวขออภัยท่านในการคิดล่วงเกิน

พระโรหณะกล่าวว่า  "จะอภัยโทษล่วงเกินด้วยเหตุเพียงเท่านี้   หาสมควรไม่   นาคเสนต้องไปทำกิจพระศาสนาอย่างหนึ่งให้สำเร็จ   เราจึงจะอภัยโทษให้  คือ มีพระราชานามว่า มิลินท์ ในสาคลราชธานี   ทรงโปรถถามปัญหาต่างๆ   ให้เธอไปทำพระราชาองค์นั้นให้เลื่อมใสนับถือพระพุทธศาสนาแล้ว   นั่นคือการอภัยโทษของเรา"



พระนาคเสนตอบว่า "อย่าว่าแต่เพียงพระเจ้ามิลินท์องค์เดียวเลย   แม้ร้อยแห่งพระเจ้ามิลินท์   ท่านก็สามารถให้เลื่อมใสได้"...........

พุทธศาสนาสมัยพระเจ้ามิลินท์

พระพุทธศาสนาเจริญเฟื่องฟูอีกครั้งหนึ่งในสมัยพระเจ้ามิลินท์   หรือ  พระเจ้าเมนันเดอร์ (Menander)   ซึ่งเป็นกษัตริย์เชื้อสายกรีกที่ปกครองอินเดียอยู่ระยะหนึ่ง

ก่อนหน้านี้พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชยกทับเข้ารุกรานอินเดีย   แคว้นที่ทรงตีได้แล้วโปรดให้แม่ทัพนายกองของพระองค์ปกครองดูแล   โดยทิ้งกองทหารกรีกไว้บางส่วน    ฝรั่งชาติกรีกเหล่านี้ได้ตั้งตนเป็นอนาจักรอิสระขึ้น   เมื่อพระเจ้าอเล็กซานเดอร์สวรรคตแล้ว   

อาณาจักรที่มีกำลังมากคือ อาณาจักรซีเรีย และ อาณาจักรบากเตรีย  ปัจจุบันคือ เตอรกี และ อัฟกานิสถาน       ซีเรียเป็นสื่อเชื่อมอารยธรรมกรีกกับอินเดียเป็นเวลานานถึง 247 ปี จึงถูกโรมันตีแตก ส่วนบากเตรียเดิมก็อยู่ในอำนาจของซีเรีย   มาสถาปนาเป็นรัฐอิสระได้เมื่อ พ.ศ.287 ซึ่งตรงกับรัชสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราช   

เหตุการทางประวัติศาสตร์ในแถบนี้ของโลกสับสนวุ่นวายด้วยการแย่งชิงอำนาจกันอยู่ประมาณร้อยปีเศษ   จนกระทั่งถึง พ.ศ. 392   พระราชาเชื้อสายกรีกพระองค์หนึ่ง พระนามว่า เมนันเดอร์   หรือที่เรียกในคัมภีร์บาลีว่า พระเจ้ามิลินท์   ได้แผ่อำนาจลงมาถึงตอนเหนือของลุ่มแม่นํ้าคงคา    เดิมทีมิได้ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา   ได้ทรงขัดขวางการขยายตัวของพระพุทธศาสนาด้วยซํ้าไป   เนื่องจากทรงแตกฉานวิชาไตรเพท (ของพราหมณ์) และศาสนาปรัชญาต่างๆ   รวมทั้งพุทธศาสนาด้วย    จึงประกาศโต้วาทีกับนักบวชในลทธิศาสนาต่างๆในเรื่องศาสนาและปรัชญา    ปรากฏว่าไม่มีใครสู้พระองค์ได้   

จนกระทั่งคณะสงฆ์เลือกพระเถระผู้สามารถรูปหนึ่งมายังเมืองสาคละ เพื่อสนทนาเรื่องศาสนาและปรัชญากับพระเจ้ามิลินท์   พระเถระผู้นั้นคือพระนาคเสน    พระเจ้ามิลินท์ทรงทราบข่าวนั้นเสด็จไปสนทนาเป็นเชิงปุจฉาวิสัชนา    อภิปรายกันขึ้นเป็นเวลาหลายวัน    ผลปรากฏว่า   พระเจ้ามิลินท์ยอมแพ้พระนาคเสน    ข้อสนทนาระหว่างทั้งสองท่านนี้ ได้รวบรวมไว้เป็นคัมภีร์ เรียกว่า "มิลินทปัญหา"

เพิ่มเติม http://www.oknation.net/blog/academicbuddhism/2015/08/29/entry-1



<a href="https://www.youtube.com/v/fb047PuoMW4" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">https://www.youtube.com/v/fb047PuoMW4</a>

<a href="https://www.youtube.com/v/2JY7ZB1W0X0" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">https://www.youtube.com/v/2JY7ZB1W0X0</a>

<a href="https://www.youtube.com/v/8fEXDJKx_4c" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">https://www.youtube.com/v/8fEXDJKx_4c</a>

ฟังที่เหลือ ได้ที่ https://www.youtube.com/playlist?list=PLi0jEUV-5xO21IC18gUB5SFtfm_mniubC
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด




<a href="https://www.youtube.com/v/rB6iDiRaNaU" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">https://www.youtube.com/v/rB6iDiRaNaU</a>

พระนางมัทรี

พระนางมัทรีเป็นมเหสีของพระเวสสันดรที่ถูกเนรเทศออกจากเมืองไปบำเพ็ญเพียรในป่าพร้องบุตรชายหญิง กัญหา..ชาลี...นางจึงตามไปปรนนิบัติพระสวามีกลางป่าลึก

พระนางมัทรีฝันร้ายว่ามีบุรุษมาทำร้าย จึงขอให้พระเวสสันดรทำนายฝันให้ แต่พระนางก็ยังไม่สบายพระทัย ก่อนเข้าป่า พระนางฝากพระโอรสกับพระธิดากับพระเวสสันดรให้ช่วยดูแล

หลังจากนั้นพระนางมัทรีก็เสด็จเข้าป่า เพื่อหาผลไม้มาปรนนิบัติพระเวสสันดรและสองกุมาร ขณะที่อยู่ในป่า พระนางพบว่าธรรมชาติผิดปกติไปจากที่เคยพบเห็น
ต้นที่เคยมีกิ่งโน้มลงมาให้พอเก็บผลได้ง่าย ก็กลับกลายเป็นต้นตรงสูงเก็บผลไม่ถึง ทั้งท้องฟ้าก็มืดมิด ขอบฟ้าเป็นสีเหลืองให้รู้สึกหวั่นหวาดเป็นอย่างยิ่ง ไม้คานที่เคยหาบแสรกผลไม้ก็พลัดตกจากบ่า ไม้ตะขอที่ใช้เกี่ยวผลไม้พลัดหลุดจากมือ ยิ่งพาให้กังวลใจยิ่งขึ้น

บรรดาเทพยดาทั้งหลายต่างพากันกังวลว่า หากนางมัทรีกลับออกจากป่าเร็วและทราบเรื่องที่พระเวสสันดร ทรงบริจาคพระโอรสธิดาเป็นทาน ก็จะต้องออกติดตามพระกุมารทั้งสองคืนจากชูชก

พระอินทร์จึงส่งเทพบริวาร 3 องค์ให้แปลงกายเป็นสัตว์ร้าย 3 ตัว คือราชสีห์ เสือโคร่ง และเสือเหลือง ขวางทางไม่ให้เสด็จกลับอาศรมได้ตามเวลาปกติ
เมื่อล่วงเวลาดึกแล้วจึงหลีกทางให้พระนางเสด็จกลับอาศรม เมื่อพระนางเสด็จกลับถึงอาศรมไม่พบสองกุมารก็โศกเศร้าเสียพระทัย เที่ยวตามหาและร้องไห้คร่ำครวญ

พระเวสสันดรทรงเห็นพระนางเศร้าโศก จึงหาวิธีตัดความทุกข์โศกด้วยการแกล้งกล่าวหานางว่าคิดนอกใจคบหากับชายอื่น จึงกลับมาถึงอาศรมในเวลาดึก
เพราะทรงเกรงว่าถ้าบอกความจริง ในขณะที่พระนางกำลังโศกเศร้าหนักและกำลังอ่อนล้า พระนางจะเป็นอันตรายได้

ในที่สุดพระนางมัทรีทรงคร่ำครวญหาลูกจนสิ้นสติไป ครั้นเมื่อฟื้นขึ้น พระเวสสันดรทรงเล่าความจริงว่า พระองค์ได้ประทานกุมารทั้งสองแก่ชูชกไปแล้ว
ด้วยเหตุผลที่จะทรงบำเพ็ญทานบารมี พระนางมัทรีจึงทรงค่อยหายโศกเศร้าและทรงอนุโมทนาในการบำเพ็ญทานบารมีของพระเวสสันดรด้วย


จาก http://wannakadee59.blogspot.com/2015/12/blog-post_61.html









สละ สิ่งที่ สละ ละ ได้ยากกกกกกก ที่ สุด ของที่สุด

ทาน การให้แบบทั่วไป ทานแบบ โลก ๆ ทานเบื้องต้น กับ ทานขั้นละเอียด มหาทาน ทานขั้นสูงสุด เดินเข้าสู่ ทานขั้นโลกุตระ

<a href="https://www.youtube.com/v/0bDszGtCZUs" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">https://www.youtube.com/v/0bDszGtCZUs</a>

<a href="https://www.youtube.com/v/p1V5e1kki9k" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">https://www.youtube.com/v/p1V5e1kki9k</a>

<a href="https://www.youtube.com/v/KT-LAHMpadI" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">https://www.youtube.com/v/KT-LAHMpadI</a>

<a href="https://www.youtube.com/v/Jm50b2koXpg" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">https://www.youtube.com/v/Jm50b2koXpg</a>
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 15, 2016, 11:47:52 am โดย มดเอ๊กซ »
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...