พระสุพรหมยานเถระ : ความจริงที่ต้องรู้ อายุคนนิดหน่อยดูน้อยนัก
พลันแตกหักล้มตายทำลายขันธ์
พึงดูหมิ่นอย่าเห็นเป็นสำคัญ
ว่ากายนั้นยืนยงคงชีวา
จงรีบเร่งอย่าว่างสร้างกุศล
เสมือนคนถูกไฟใหม้เกษา
เพราะความตายนั้นมีแก่ชีวา
มันต้องมาแน่นอนไม่ผ่อนปรน
ครูบาบอกว่า คนเราหลงไปด้วยเหตุหลายอย่าง มันเริ่มจากตัวเรา "คำว่า ตัวของเราก็ได้แก่ ธาตุทั้ง ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ" คนเก่งทั้งหลายที่ชูหัวชูคอจะรู้ไหม นี่ยังไม่พอ ท่านว่า "ธาตุ ๔ มาผสมกัน ทั้งอากาศ ธาตุ และ วิญญาณธาตุ มีตัณหา อุปาทาน เข้ามายึดถือ ให้เกิดความสำคัญ มั่นหมาย และ บังคับให้เป็นไป มีประการต่าง ๆ ตามอำนาจของกิเลส อันเป็นเหตุแห่งทุกข์ จนไม่มีที่สิ้นสุด"
สิ่งที่ครูบากล่าวมาสีไหนหน้ากากอันใดเข้าใจได้ บางคนประกาศให้โลกรู้ว่าตนเองฉลาดล้ำเลิศเป็นชาวพุทธว่า พระในเมืองไทยข้านับถือเพียง 2 รูป ได้แก่ พระพุทธอิสระ,พระหลวงตามหาบัว ข้าพเจ้าก็ว่าทั้งสองรูปท่านประเสริฐจริง แต่พระที่มากกว่านั้นล่ะ โอ้คนฉลาดหนอคนที่ถ่มน้ำลายรดคนอื่นตลอดเวลาช่างพูดอะไรได้เช่นนี้ คนเคยใหญ่โตบางคนพูดตถตาเป็นว่าเล่น แต่ตัวเองติดอาวุธไม่ยอมปลดซะที อืม..
ขนาดความรู้ความสามารถต่างๆ คนเรายังถือเอาว่ากูเก่ง เลิศ ทำได้ทุกอย่าง อะไรกันนี่! จุดหมายของเขาคงแสนสุขสมเป็นแน่ ชีวิตเขาต้องรื่นรมย์แท้ เขาคิดถูกจริงหรือ
ครูบาสอนว่าคนเราควรปรารถนาความสงบสุขแท้จริง ไม่ใช่สุขปลอมปน เริ่มจากต้องสละละความอาลัยในโลก และสิ่งของสำหรับโลกนี้เสีย เตรียมตัวพร้อม ยอมเป็นคนยากจน ไม่ต้องหวังพึ่งเพื่อนฝูง และญาติ พี่น้องผู้ใด คือ ให้สงัดกาย สงัดใจ วิเวกธรรม อดทน ต่อความ ติฉินนินทา ความเกลียดชัง และ ความหมิ่นประมาทของผู้อื่น อดทนต่อทุกข์ ภัยอันตรายต่าง ๆ ที่มาถึงตน แม้จะ ต้องเสียชีวิตก็ยอมสละเพื่อเห็นแก่ธรรม อุตส่าห์กระทำตามรีตรอย แห่งพระอริยะเจ้าทั้งหลาย ที่ปฏิบัติสืบสายกันมาแต่ปางก่อน โดยไม่ท้อถอย จึงเป็นการถูกการชอบ
ครูบาบอกว่า "การอยู่ในโลกนี้ ให้เข้าใจเสมือนอยู่ในกองไฟ อยู่ในคุกตาราง ให้เร่งรีบแสวงหาทางออกเสมอ อย่าได้นิ่งนอนใจ อย่าหลงยินดีเพลิดเพลินอยู่ จงถือเอาศรัทธา ความเชื่อ เป็นทางเดินแห่งวิถีจิต
เดินทางไปด้วยสติรู้ตัว สร้างกำลังกายด้วยความเพียรพยายาม อาวุธป้องกันอันตรายได้แก่ความอดทนประทีปส่องทางได้แก่ความรอบรู้ แล้ว รีบเร่งเดินอย่าแวะซ้ายแวะขวา อย่าหยุดพักอยู่ในที่ใด ๆ ก็จะได้ถึงซึ่งที่สุดแห่งขันธ์โลกคือ พระนิพพาน"
พึงสร้างขึ้นซึ่งศรัทธา ความเชื่อ ความเลื่อมใสในพระรัตนตรัย และในสมาธิภาวนา พยายามหาโอกาสเวลาสละกิจการน้อยใหญ่ เข้าสู่ที่สงัด หรือห้องพระนั่งขัดสมาธิ หรือ พับเพียบ ตามควรแก่ภาวะของตน น้อมจิต เอากรรมฐาน บทใดบทหนึ่งเป็นอารมณ์ ตั้งสติคอยกำหนดอารมณ์กรรมฐาน ไปช้า ๆ อย่ารีบด่วน ให้ทำด้วยใจเย็นๆ หายใจ เข้าออก ให้สม่ำเสมอ ให้ละเอียด อ่อนโยน
การภาวนาเป็นงานของจิตโดยเฉพาะ ค่อยๆ รวมกำลังจิต ดิ่งลงสู่จุดของอารมณ์กรรมฐานพร้อมกับให้มีสัมปชัญญะความรู้ตัว พิจารณาอารมณ์กรรมฐาน ให้เห็นประจักษ์แจ้งชัดขึ้นในใจ ค่อยกำหนดไปๆ ด้วยความวิริยะอุตสาหะและอดกลั้นบรรเทา ได้นานเท่าไรก็ยิ่งดี นานเข้าจิตก็จะติดแนบแน่น กับอารมณ์กรรมฐาน
จากนั้น ปิติ ปราโมทย์ ก็จะเกิดขึ้น นามกายก็จะสงบระงับ ความสุขกายสุขใจ ก็จะเกิดขึ้น นามกาย ก็จะสงบระงับ ความสุขสุขใจ ก็จะเกิดขึ้น จะรู้สึกสบาย และ เยือกเย็น จากนั้นสมาธิ อันประกอบด้วย องค์ ๓ คือ จิตบริสุทธิ์สะอาด จิตตั้งมั่น จิตคล่องแคล่ว ควรแก่การพิจารณา สภาวะธรรมที่จะเกิดขึ้น
ต่อไป ก็ควรแก่การพิจารณา สภาวะธรรมคือ รูปนาม หรือขันธ์ ๕ ให้รู้ตามความเป็นจริง โดยการเจริญ วิปัสสนาภาวนา ตามนัยแห่งสติปัฏฐาน ๔ คือ ให้พิจารณาว่า กาย เวทนา จิต และ ธรรมนี้ ก็สักว่า เป็นกาย เป็นเวทนา เป็นจิต เป็นธรรม ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนของเรา เขา เป็นของไม่จีรังยั่งยืน ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตน เป็นของว่างเปล่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
พิจารณากำหนดไปๆ นานต่อนาน จนกว่าจิตใจ จะหลุดพ้น จากความเกาะเกี่ยวเหนียวแน่นแห่งกิเลส ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้บริบูรณ์ ด้วยวิปัสสนาภาวนา เป็นอันดี ผู้ปฏิบัติธรรมถึงขั้นนี้เรียกว่า เป็นแก่นสาร ปิดประตูอบายภูมิทั้ง ๔ มีสุคติเป็นที่ไปในเบื้องหน้า เที่ยงแท้แน่นอน
จาก
http://www.oknation.net/blog/phra-dhamma/2013/06/03/entry-1https://www.youtube.com/v/wcXLbeM3wp0