ผู้เขียน หัวข้อ: ทฤษฏีแห่งสรรพสิ่ง (Theory of Everything) มีจริงในพุทธศาสนา  (อ่าน 2256 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด


ทฤษฏีแห่งสรรพสิ่ง มีจริงในพุทธศาสนา (โอฬาร เพียรธรรม)

          บทความนี้เป็นการสรุปอย่างสั้นที่สุด เรื่องทฤษฏีแห่งสรรพสิ่ง (Theory of   Everything) ซึ่งเรื่องนี้มีนักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะของโลก นับตั้งแต่ ไอน์สไตน์ และอีกหลายท่านต่อมา จนถึง สตีเฟน ฮอว์คิง ในปัจจุบันพยายามที่จะหาคำตอบ ของปรากฏการณ์ทางฟิสิกส์ในเรื่องต่าง ๆ ด้วยสมการเพียงชุดเดียว (เช่น สมการที่จะรวมแรงทางฟิสิกส์ 4 แรง เป็นแรงเดียว หรือสมการที่จะให้ทฤษฏีสัมพัทธภาพทั่วไป ทำงานร่วมกับฟิสิกส์ควอนตัมได้ไม่ขัดกัน) แต่ก็ยังไม่สามารถหาคำตอบที่แท้จริง หรือ คำตอบสุดท้ายได้

          สาระที่จะกล่าวและข้อสรุป น่าจะเป็นคำตอบที่ถูกต้องในกรอบกว้าง ๆ ได้ โดยจะเชื่อมโยงกับความรู้ในฟิสิกส์ปัจจุบันบ้าง แต่ที่สำคัญกว่าคือ จะเชื่อมโยงกับความจริงของธรรมะในพุทธศาสนา ซึ่งเชื่อว่า เป็นปรมัตถ์สัจจะ (Ultimate Truth) ที่จะอธิบายเรื่องนี้ได้

          ขอเริ่มต้นด้วยข้อมูลในพุทธศาสนาที่แสดงพระสัพพัญญูของพระพุทธเจ้า ข้อมูลทางฟิสิกส์ที่เกี่ยวข้อง และความเห็นของนายโอฬาร เพียรธรรม (ผู้เขียน) ที่เขียนไว้ในหนังสือ "ความเชื่อมโยงของสรรพสิ่ง" (สนพ.แสงดาว พ.ศ. 2552) โดยขอสรุปเป็นข้อ ๆ ดังนี้ คือ

          1. ในคาถาปลินิคัณฑุ  ในพระอภิธรรม พระพุทธเจ้าเคยอธิบายขนาดของปรมาณู โดยแบ่งทอนความยาวเมล็ดข้าวเปลือกลง 6 ครั้ง ด้วยตัวเลข  7, 7, 36, 36, 36, 36 เมื่อมาคูณกันได้ 82.3  ล้านส่วน ทั้งนี้จากการคำนวณ ใช้ค่าเฉลี่ยความยาวเมล็ดข้าวเปลือก จะได้ 1 ปรมาณู มีขนาดเท่ากับสิบยกกำลังลบแปดเซนติเมตร (10-8 ซม.) ซึ่งเท่ากับขนาดเฉลี่ยของอะตอมที่วิทยาศาสตร์ระบุไว้พอดี นอกจากนี้พระองค์ระบุว่า ปรมาณูมิได้เป็นแท่งทึบ มีช่องว่างภายในมากมาย ซึ่งตรงกับคุณลักษณะของอะตอมจริง ๆ

          2. ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ในพุทธศาสนา ที่มีอยู่ในทุกปรมาณู (ในแง่อภิธรรม มิใช่การปฏิบัติภาวนา) และเป็นคุณสมบัติของธาตุ มิใช่ตัวธาตุโดยตรง และเมื่อพิจารณา คำแปลของธาตุทั้ง 4 แล้ว (พจนานุกรม พุทธศาสตร์ โดยพระพรหม คุณาภรณ์ – ป.อ.ปยุตฺ โต) ผู้เขียนมีความเห็นว่า ธาตุทั้ง 4 นี้ เชื่อมโยงกับ 4 แรง ทางวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่ในทุกอะตอม กล่าวคือ ธาตุดินโยงกับแรงโน้มถ่วง ธาตุน้ำโยงกับแรงนิวเคลียร์อย่างเข้ม ธาตุลมโยงกับแรงแม่เหล็กไฟฟ้า และธาตุไฟโยงกับแรงนิวเคลียร์อย่างอ่อน

          ข้อมูลเพิ่มเติมที่น่าสนใจคือ สาเหตุการเกิดแผ่นดินไหวในพุทธศาสนา  (1 ใน  8 ข้อ) อธิบายว่า เพราะดินตั้งอยู่บนน้ำ น้ำตั้งอยู่บนลม (ไม่กล่าวถึงไฟ) เมื่อลมแปรปรวน จึงทำให้น้ำแปรปรวน มีผลให้ (แผ่น) ดินสั่นไหว ฟังดูแปลกไม่เข้าใจ แต่ถ้าลองนึกภาพ โดยมองตรงลงไปใต้โลก ตาจะมองผ่านชั้นดิน/หิน (ดิน) ก่อน แล้วทะลุผ่านเนื้อโลกที่หลอมเหลว ซึ่งสะสมพลังงานระดับนิวเคลียร์ (น้ำ) และท้ายสุดก็ถึงแกนโลก ที่ทำให้เกิดแรงแม่เหล็กไฟฟ้า (ลม) เรียงชั้นตามที่กล่าวมาจริง และวิทยาศาสตร์ใหม่ ก็พบว่า การแปรปรวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นสาเหตุของแผ่นดินไหวจริง ๆ 

          3. วิทยาศาสตร์ใหม่ แสดงคุณสมบัติของอนุภาคควอนตัม (ส่วนย่อยของโปรตอน นิวตรอน ในอะตอม) ที่แปลกประหลาดมากมาย เช่น เป็นได้ทั้งอนุภาค และคลื่น (ทั้งสสารและพลังงาน) และระหว่างอนุภาคด้วยกันจะรับส่งข้อมูลสื่อสารกันด้วยความเร็วมากกว่าแสง ( EPR Experiments) ซึ่งในความเห็นของผู้เขียนสรุปได้ว่า อนุภาคควอนตัม มีตัวรู้ คือ จิตด้วย โดยสรุปก็คือ สสารทุกอย่าง (ประกอบขึ้นจากอะตอม- อนุภาพควอนตัม) ย่อมมีตัวรู้ การทดลองของ Mr.Masaru  Emoto ในหนังสือ The Hidden Messages in Water Crystals ช่วยยืนยันข้อมูลนี้ด้วย

          อาจสรุปในทางพุทธศาสนาได้ว่า ทุกปรมาณูมีครบ 6 ธาตุ คือ ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศธาตุ และ วิญญาณธาตุ หรือในทางวิทยาศาสตร์ทุกอะตอม ก็จะประกอบด้วย 4 แรงข้างต้น รวมกับช่องว่าง (space) และตัวรู้ (consciousness) ซึ่งสอดคล้องกัน



          4. จาก EPR Experiments ในเจนีวา ผู้เขียนได้เอาผลการทดลองมาขยายต่อ เพื่อหาว่า อนุภาคควอนตัม (ที่เชื่อว่ามี จิต-ตัวรู้ ด้วย) รับส่งข้อมูลกัน ด้วยความเร็วเท่าใด ก็ได้ผลลัพธ์ว่า อนุภาคดังกล่าว ส่งข้อมูลกันด้วยความเร็ว 48,000x106 กม./วินาที (สี่หมื่นแปดพันล้าน กม./วินาที- เร็วกว่าแสง 160,000 เท่า) และอนุภาคใช้เวลาในการตัดสินใจ (รับข้อมูล และดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง) เท่ากับ 5x10-11 วินาที (5 ในแสนล้านส่วนของ 1 วินาที) ซึ่งในช่วงเวลานี้ จิตจะเกิดดับไปแล้วประมาณ 5,000 รอบ (คำนวณจากข้อมูลในพุทธศาสนา)

          5. จากคุณสมบัติของอนุภาคควอนตัมที่กล่าวมา ทำให้วิทยาศาสตร์ช่วยยืนยันคำสอนในพุทธศาสนาหลายเรื่อง เช่น ไตรลักษณ์ ที่ว่า ทุกสรรพสิ่งไม่เที่ยง (อนิจจัง) ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ (ทุกขัง) และไม่มีตัวตนที่แท้จริง (อนัตตา) และหลักอิทัปปัจจยตา ที่ว่า ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็น เหตุปัจจัยต่อเนื่องกันไปทั้งนั้น ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดอยู่ได้โดยตัวของมันเองจริง ๆ หลักปฏิจจสมุปบาท ที่ว่า อวิชชา เป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร  สังขาร เป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ และต่อ ๆ ไปนั้น คนทั่วไปเข้าใจว่าใช้ เฉพาะสิ่งมีชีวิต เช่น มนุษย์ แต่ที่จริงแล้วใช้ได้กับสรรพสิ่งทั่วไปเช่นกัน ซึ่งจะกล่าวต่อไป

          6. ข้อนี้เสริมให้กว้างขึ้นว่า เมื่ออนุภาคควอนตัม คือ ทุกสรรพสิ่งมีตัวรู้ บันทึกข้อมูลจากพลังจิตใด ๆ ก็ได้นั้น ทำให้อธิบายปรากฏการณ์ที่ดูลึกลับเหลือเชื่อได้อย่างมากมาย เช่น ทำไมน้ำมนต์ พระเครื่อง ฯลฯ จึงศักดิ์สิทธิ์ได้ รวมทั้งความเป็นจริงของไสยศาสตร์ ที่เคยเห็น เคยฟังกันมาด้วย และที่จริงเรื่องอภินิหารต่าง ๆ นั้น ก็มีอยู่ในทุกชาติ ทุกศาสนาอยู่แล้ว 

          7. โหราศาสตร์ มีจริงและโยงกับกฎแห่งกรรมโดยตรง อธิบายสั้น ๆ ได้ว่า การทำกรรมต้องมีเจตนาทางจิต และก่อนที่กรรมจะให้ผล (วิบาก) ต้องมีขบวนการของกรรมทำงานระหว่างกลาง (อาจใช้เวลาเป็นปี นับหลายสิบปีหรือข้ามภพชาติก็ได้) กฎแห่งกรรม ทำงานได้จากพลังกรรม ชั่ว-ดี ที่บันทึกไว้ในจิตผู้เกี่ยวข้อง ผู้รับรู้ทุกคน และบันทึกในทุกสรรพสิ่งโดยรอบทั่วโลก ทั้งจักรวาลฯ และเมื่อถึงเวลาเหมาะสม พลังกรรมที่ปล่อยคายออกมาจากสรรพสิ่งทั้งสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตจะทำให้เกิดผลของกรรมขึ้น ขอขยายความให้เห็นชัดขึ้นว่า มนุษย์นั้นทำกรรมต่อสรรพสิ่งจริง ทั้งต่อมนุษย์ สัตว์ ต้นไม้ ทำให้น้ำเสีย อากาศเสีย สูบน้ำมัน น้ำบาดาล ขุดแร่ธาตุมาใช้ ฯลฯ ทำให้ธรรมชาติขาดสมดุล  ผลกรรมที่มนุษย์ได้รับ จึงมาจากสิ่งมีชีวิต และธรรมชาติที่ไม่มีชีวิตประกอบกัน นี่เป็นคำอธิบายโดยกว้าง ๆ และง่ายที่สุด หากเชื่อว่า ทุกสรรพสิ่ง มีจิต – ตัวรู้ มิฉะนั้น ก็อธิบายไม่ได้ พุทธศาสนา จึงระบุว่า กฎแห่งกรรมเป็นหนึ่งใน อจินไตย

          โหราศาสตร์ เป็นวิชาเกิดจากการสังเกตปรากฏการณ์ ขณะที่ขบวนการของกรรมทำงานเทียบกับผลกรรมที่เกิดขึ้น แล้วจดบันทึกทำสถิติและสร้างหลักเกณฑ์การทำนายขึ้นมา (การผูกดวง การดูลายมือ การอ่านไพ่ ฯ มีพื้นฐานจากหลักการนี้) จะเห็นว่า โหราศาสตร์ไม่จำเป็นต้องรู้ที่มาของกรรม ไม่ต้องรู้จักกฎแห่งกรรม วิชานี้จึงเกิดได้ในทุกชาติ ทุกศาสนา

          8. ทฤษฏีสตริง (String Theory) ที่กล่าวถึงอนุภาคพื้นฐานที่เล็กกว่า อะตอม หรือ ควอนตัม นับ ล้านล้าน ล้าน ล้านเท่า อนุภาคนี้ไม่เป็นจุด มีมิติเดียวคือ ความยาว และตัวสตริงนี้จะสั่นอยู่ตลอดเวลาด้วยความถี่ต่าง ๆ กัน การรวมตัวของสตริง ในรูปแบบต่าง ๆ จะก่อให้เกินอนุภาคที่ใหญ่ขึ้น ๆ จนเป็น อะตอม และสสารต่าง ๆ ทฤษฏีสตริงได้มีการคำนวณไว้ว่า จักรวาล หรือ เอกภพ จะต้องมีมิติมาก 10 ถึง 26 มิติ (โดยซ้อนม้วนตัวอยู่ในเอกภพ 4 มิตินี้) ทฤษฏีจึงจะเป็นจริงได้

          ทฤษฏีสตริง น่าจะเชื่อมโยงและพิสูจน์การมีอยู่จริงของภพภูมิ ของโอปปาติกะในพุทธศาสนาได้ ซึ่งมีอยู่ 29 ภพภูมิ และแต่ละภพภูมิ ก็แยกกันได้ด้วยความถี่ (ใช้คำ Vibration) ที่แตกต่างกันออกไป (มีเกร็ดเล็กน้อย ในหนังสือ "หลวงปู่ฝากไว้" ที่หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ตอบข้อสงสัยที่ว่า เทวดาจำนวนเป็นล้านเป็นโกฏิองค์มาฟังพระพุทธเจ้าเทศนาพร้อมกันได้อย่างไร โดยหลวงปู่ ตอบว่า ก็ในเนื้อที่ขนาด 1 ปรมาณูนั้น เทวดาอยู่ได้สบาย ๆ ถึง 8 องค์ ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฏีสตริง เพราะกายของเทวดา ถ้าประกอบด้วยอนุภาคสตริง เทวดาทั้งองค์ก็เล็กกว่าอะตอมมาก ๆ อยู่แล้ว)

          9. ข้อสุดท้ายนี้ จะยืนยันจากข้อมูลในพุทธศาสนาเองด้วยว่า ในวัตถุมีตัวรู้จริงคือ จากหนังสือไกวัลยธรรม โดยท่านพุทธทาส ภิกขุ (ธรรมสภา พิมพ์ครั้งที่ 4 พ.ศ. 2552)เป็นการบรรยายครั้งที่ 7 (19 พ.ค. 2516) และหนังสือประวัติชีวิต การงาน หลักธรรม ของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล (ธรรมสภา พิมพ์ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2545) ทั้ง 2 ท่าน อธิบายว่า วัตถุทุกอย่าง มีจิตตัวรู้  พื้นฐานอยู่ และพัฒนาขึ้นไปได้เมื่อธาตุต่าง ๆ รวมตัวกันเป็นชีวิต พัฒนาจากต่ำสุด จนเป็นมนุษย์ จนถึงพุทธะได้



จากข้อมูลข้างต้น ที่ดูจะครอบคลุมหลากหลายวิชาการนั้น ขอย้อนกลับมาหัวข้อเรื่องที่กำหนดคือ  "ทฤษฏีแห่งสรรพสิ่ง" โดยขอให้ความเห็นว่าแนวคิดพื้นฐาน ของนักวิทยาศาสตร์ ส่วนใหญ่ในปัจจุบันน่าจะมีข้อผิดพลาดหลายข้อ คือ 

          1) "สรรพสิ่ง" ในความหมายนักวิทยาศาสตร์ คือ สสารและพลังงานในจักรวาล (เป็นสิ่งแปรเปลี่ยนกลับกันได้ ตามสูตร E=Mc2) ไม่มีสิ่งอื่นนอกจากนี้ "สรรพสิ่ง" ในพุทธศาสนา คือ  ธรรม หรือ ธรรมชาติ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ สังขตธรรม – ธรรมชาติ ที่มีการปรุงแต่ง  ได้แก่ "รูป" กับ "นาม" และอสังขตธรรม – ธรรมชาติที่ไม่มีการปรุงแต่ง คือ สภาวะ "นิพพาน"

          ดังนั้น  "สรรพสิ่ง"  ในพุทธศาสนา คือ รูป นาม และนิพพาน โดย "รูป" ในพุทธศาสนา ตรงกับ สสารและพลังงาน ในทางวิทยาศาสตร์

          สรุปในข้อแรก คือ "สรรพสิ่ง" ทางวิทยาศาสตร์ ยังรู้จักไม่ครบ


          2) "สิ่งมีชีวิต" ทางวิทยาศาสตร์ หมายถึง พืช สัตว์ รวมมนุษย์ (รวมถึงในดาวอื่น จักรวาลอื่นได้) ที่อยู่ในโลก 4 มิติ

          "สิ่งมีชีวิต" ในพุทธศาสนา มีเพียง 2 ภพภูมิ ที่มีกายหยาบ ตรงกับที่นักวิทยาศาสตร์กล่าวข้างต้น อีก 29 ภพภูมิ เป็นโอปปาติกะ มีกายละเอียด และอยู่ในมิติที่เหนือกว่า 4 มิติ ขึ้นไป เรียงชื่อจากล่างสุด คือ สัตว์นรก เปรต อสูรกาย และเทวดากับพรหม อีก 26 ภพภูมิ

          สรุปข้อ 2 คือ สรรพสิ่ง ที่เป็นสิ่งมีชีวิต นักวิทยาศาสตร์ ก็รู้จักไม่ครบเช่นกัน


          3) "นาม" หรือ "จิต" ในพุทธศาสนา มีความสำคัญมาก นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ เข้าใจว่า "จิต"
เกิดจากร่างกายส่วนสมอง (มาจากสสาร-พลังงาน) คือ ถ้าคนตาย สมองตาย จิตก็ดับตายไปด้วย แต่ในพุทธศาสนา "สรรพสิ่ง" (ถ้าไม่รวมนิพพาน) จะประกอบด้วย รูป (สสาร - พลังงาน) กับ นาม (จิต) ซึ่งเป็นคนละอย่างกัน และสองสิ่งนี้ จะอยู่คู่กันเสมอ ที่ใดมีรูป ที่นั่นต้องมีนาม ที่ใดมีนาม ที่นั่นต้องมีรูป โดย "นาม" นี้ สำคัญที่สุด เพราะจิตมีสภาพเป็นผู้รู้/ตัวรู้ สามารถ รับ - เก็บ - ถ่ายทอดข้อมูลได้ เป็นสิ่งที่ทำให้กฎธรรมชาติทำงานไปตามหลักการของมัน  ไม่ว่าจะมองจากทางวิทยาศาสตร์ (เท่าที่พบ) หรือ จากทางพุทธศาสนาเอง

          ขอยืนยันความเห็นอีกครั้งว่า จิตที่อยู่คู่กับรูปนั้น มีอยู่แม้ในสสาร ธาตุที่ไม่มีชีวิต ตั้งแต่จุด Big Bang   มาเลย ชีวิตในจักรวาลก็เริ่มจากการรวมตัวของธาตุที่ไม่มีชีวิตทั้งนั้น โดยต้องเข้าใจว่า จิตที่มีตัวรู้นี้ พัฒนาได้   จากตัวรู้เบื้องต้นในสสาร เป็นสัญชาติญาณที่เด่นชัดขึ้นในสัตว์ชั้นต่ำ มีความรู้สึก มีอารมณ์ในสัตว์ชั้นสูง นึกคิดได้ วิเคราะห์เหตุผลได้ เช่น มนุษย์ ทัศนะในแนวทางนี้ ความจริง นักวิทยาศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ทางจิตรุ่นหลังหลายท่าน ก็มีความเห็นสอดคล้องด้วย เช่น เออร์วิน ลาซโซ่ รูเบิร์ด เซลเดร็ก และ เคน วิลเบอร์ เป็นต้น 

          ขอย้ำอีกประเด็นคือ นักวิชาการส่วนใหญ่เชื่อว่า จิต คือ พลังจิต คลื่นจิต เป็นพลังงานทางวิทยาศาสตร์   คล้าย ๆ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า คลื่นแสง ซึ่งขัดกับหลักพุทธศาสนา จิต เป็น นาม ไม่ใช่รูป จึงไม่ใช่พลังงานทางวิทยาศาสตร์  ข้อพิสูจน์ คือ คลื่นทางวิทยาศาสตร์ไปได้เร็วที่สุดเท่าแสง แต่คลื่นจิตไปได้เร็วกว่าแสงจึงไม่ใช่พลังงานทางวิทยาศาสตร์แน่นอน

          สรุปข้อ 3 คือ นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ ไม่รู้ว่าจิต เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ต่างจากสสาร/พลังงาน บางส่วนอาจเชื่อว่า จิต ต่างจากสสาร/พลังงาน  แต่ก็ไม่รู้ว่าจิต เชื่อมโยงกับรูป (สสาร/พลังงาน) อย่างไร


          ดังนั้น เมื่อนักวิทยาศาสตร์ พยายามจะหาคำตอบของทฤษฏีทางฟิสิกส์ต่าง ๆ โดยศึกษาเฉพาะสสาร และ พลังงาน (คือ รูป) แต่ไม่ศึกษาเรื่องของจิต (คือ นาม) เพราะไม่รู้หรือ ไม่เชื่อว่า ในทุกสรรพสิ่งนั้น มีจิต (นาม)

อยู่คู่กับรูปด้วย และอีกข้อที่สำคัญคือ สรรพสิ่งนั้น มีอยู่ในมิติอื่นที่เกินกว่าโลก 4 มิติ นี้ด้วย ดังนั้น เมื่อศึกษาไม่ครบผลลัพธ์ที่ได้ จึงได้มาเพียงบางส่วน หรือ ถูกต้องเพียงบางส่วน (คือ ในกรณีที่นามมีผลกระทบกับรูปน้อย   และปรากฏเฉพาะในโลก 4 มิติ ในทฤษฏีการทดลองนั้น ๆ) แต่จะไม่มีทางได้คำตอบที่ถูกต้องแท้จริงครบถ้วน คือ จะไม่พบปรมัตถ์สัจจะ (Ultimate Truth) ของโลก และจักรวาลนี้ได้เลย



ความเห็นของผู้เขียนที่เกี่ยวโยงกับทฤษฏีแห่งสรรพสิ่ง ทั้งในแง่มุมทางวิทยาศาสตร์ และพุทธศาสนา  ประกอบกัน มีดังนี้ คือ 

           I.การพยายามรวมแรงทั้ง 4  ในจักรวาล คือ แรงโน้มถ่วง แรงแม่เหล็กไฟฟ้า แรงนิวเคลียร์อย่างเข้ม   แรงนิวเคลียร์อย่างอ่อน เข้าเป็นสมการเดียว- แรงเดียว ซึ่งเป็นความพยายามข้อหนึ่ง ในทฤษฏีแห่งสรรพสิ่งนั้น ในอนาคตอาจมีการคำนวณหาสมการนี้ได้ แต่แรงทั้ง 4 จะรวมกันได้จริงใน 2 กรณีเท่านั้น คือ


           1) ณ จุดที่มีพลังงานสูงระดับ 1016 พันล้านอิเล็กตรอนโวลท์ ซึ่งพบเฉพาะ จุดเริ่มต้นของจักรวาล(Big Bang คือ จุดที่แรงเดียวจะเริ่มแตกตัวเป็น 4 แรง) 

           หรือ 2)  ณ ระดับพลังงานเพียงไม่กี่พันล้านอิเล็คตรอนโวลท์ ที่เกี่ยวโยงกับฟิสิกส์อนุภาคธรรมดานี่เองแต่แรงเดียวที่เกิดขึ้นนั้น จะแปรไปเกิดในมิติอื่น ที่ไม่ใช่โลก 4 มิติใบนี้ และมวลสารที่เกี่ยวโยงกับแรง 4 แรง แต่เดิมนั้น ก็ต้องหายไปด้วย กลายเป็น "มวลสารเสมือน" เกิดในโลกมิติอื่น เช่นกัน

           II.ทฤษฏีสัมพัทธภาพทั่วไป ที่ใช้ได้ผลสำหรับของใหญ่ ๆ (มีจำนวนอะตอมมาก ๆ ตั้งแต่เม็ดทรายขึ้นไปจนถึงดวงดาว กาแลคซี่ต่าง ๆ) แต่ไม่สอดคล้องกับฟิสิกส์ ควอนตัม ที่ใช้ได้ผลสำหรับสิ่งเล็ก ๆ (ระดับอะตอมและเล็กกว่า จนถึงระดับสตริง) นั้น ก็เนื่องมาจากคุณสมบัติของ รูป – นาม ในพุทธศาสนานั่นเอง ในของใหญ่ที่กล่าวมานั้น นาม (จิต) มีอิทธิพลต่อรูปน้อย การคำนวณโดยใช้มวลสารเป็นหลักจึงเป็นไปได้ แต่ในสิ่งเล็ก ๆ   ระดับอะตอมหรือเล็กกว่า นาม (จิต) มีอิทธิพลต่อรูปมาก ฟิสิกส์ควอนตัมที่พัฒนามาในแนวทาง ที่เอาผลที่ได้รับจากการทดลองจริงมาใช้ จึงให้คำตอบที่ถูกต้องกว่า แต่ขอเสริมว่าในเรื่องของควอนตัมนั้น จะมี "ทฤษฏีแห่งความไม่แน่นอน" ประกบอยู่ด้วย ที่เป็นเช่นนี้เพราะเป็นผลกระทบจากคุณสมบัติของจิตนั่นเอง

          เรื่องอิทธิพลของจิตที่มีต่อรูปนี้ น่าจะครอบคลุมถึงอีกหลายทฤษฎี ที่ไม่เป็นแบบเชิงเส้น (Nonlinear) ด้วย เช่น ทฤษฎีความโกลาหล (Chaos Theory) ทฤษฎีการผุดบังเกิด (Emergence Theory) เป็นต้น ที่เป็นเช่นนี้ เพราะจิตตัวรู้นั่นเอง ทำให้เกิดผลลัพธ์เป็นสิ่งใหม่ มีคุณสมบัติ – พฤติกรรมใหม่ ที่ไม่โยงกับคุณสมบัติของส่วนประกอบย่อยในระบบเลย

           III.ทฤษฏีสตริง ที่ศึกษากันอยู่ในขณะนี้ น่าจะเป็นจุดเชื่อมให้วิทยาศาสตร์ กับ พุทธศาสนา เข้ามาใกล้กันมากขึ้นก็เป็นได้ ถ้ายอมรับว่ารูป ในลักษณะสสารที่เล็กมาก ๆ เล็กกว่าอะตอมนับ ล้าน ล้าน ล้าน ล้านเท่า มีจริง เกิดในมิติที่เกินกว่า 4 มิติขึ้นไปได้ ชีวิตของโอปปาติกะ ในพุทธศาสนา เช่น เทวดามีรูป (กายละเอียดที่สมมติประกอบด้วยกลุ่มของสตริง) และมี นาม (จิต) ด้วย (เพราะชีวิต ต้องมีกายกับจิต) ซึ่งเกิดในภพภูมิที่เกินกว่า 4 มิติ ของโลกที่เรารู้จักกัน ก็เป็นจริงได้เช่นกัน

           IV.ทั้ง 3 ทฤษฎี ทางวิทยาศาสตร์ ที่กล่าวมาข้างต้น ปัจจุบันยังมีข้อขัดแย้งกัน ซึ่งในความเห็นของผู้เขียน ก็มาจากคุณสมบัติ/อิทธิพลของจิต (นาม) ที่ขึ้นกับขนาดของมวลสาร(รูป) นั่นเอง ดังนั้น อาจเป็นไปได้ที่จะใส่ตัวแปรการคำนวณเพิ่มไป 1 ตัว คือ จิต ที่แปรผกผัน กับมวลของสสาร คือ จิต มีอิทธิพลสูงสุดเมื่อมวลน้อย ๆ เช่น ในทฤษฎีสตริง และยังมีอิทธิพลอยู่ในทฤษฎีควอนตัม แต่ผลจากจิตจะน้อยมาก จนแทบไม่มีในของใหญ่ ๆ ที่ใช้ในทฤษฎีสัมพัทธภาพ (รวมทฤษฎีนิวตันด้วย) และการทำงานของทฤษฏีต่าง ๆ ที่รองรับเฉพาะโลก 4 มิติ หรือต้องการมิติที่สูงกว่า ก็จะสอดคล้องกันไปด้วย

          มีเกร็ดแทรกที่จะสนับสนุนหลักการในข้อนี้ คือ เมื่อจิตมนุษย์ทั่วไป เริ่มมีอิทธิพลต่ออนุภาคระดับควอนตัมได้ ก็อธิบายต่อได้ว่า จิตของเทวดา ซึ่งควรมีพลังมากกว่ามนุษย์ เพราะมีคุณธรรม ความดีงามสูงกว่า จึงสามารถควบคุมกายละเอียดตนเอง (เป็นกลุ่มอนุภาคสตริงที่เบากว่ากายมนุษย์ นับล้าน ล้าน ล้าน ล้านเท่า) ได้โดยง่าย เช่น การเหาะ หรือหายตัว จากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง เป็นต้น 

          หากย้อนกลับมาที่มนุษย์ก็มีบางคนที่มีพลังจิตสูงเป็นพิเศษ เช่น ยูริ เกลเล่อร์ หรือ ท่านไสบาบา หรือจากประวัติของอริยสงฆ์หลายองค์ ที่ท่านเหล่านั้นสามารถใช้พลังจิตบังคับวัตถุ ที่มีมวลมากให้เปลี่ยนแปลงได้   เช่น ให้ช้อนงอ หรือเคลื่อนย้ายวัตถุ หรือแม้แต่เสกของจากสิ่งหนึ่งให้เป็นอีกสิ่งหนึ่ง สิ่งเหล่านี้ก็ควรเป็นไปได้เช่นกัน

           V.นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันเชื่อว่า จักรวาลเกิดขึ้นโดยทฤษฏี Big Bang แต่ที่ไม่รู้ก็คือ อะไรเป็นสาเหตุให้เกิดปรากฏการณ์เช่นนั้น และก็ยังไม่แน่ใจว่า จักรวาลที่กำลังขยายตัวออกทุกทิศทางในขณะนี้ จะขยายตัวไปเรื่อย ๆ ตลอดชั่วนิรันดร หรือ จะกลับยุบตัวลงใหม่ เป็นจุด Singularity แล้วเกิด Big Bang ใหม่อีก โดยมีผู้สนับสนุน แนวคิดทั้ง 2 ทาง

          ในประเด็นหลัง หากเอาหลักการต่าง ๆ ในพุทธศาสนามาใช้ จะเห็นว่า สรรพสิ่งในจักรวาล มีรูป กับ นามมีการปรุงแต่ง อธิบายได้โดยกฎในพุทธศาสนา (เช่น ไตรลักษณ์ อิทัปปัจจยตา อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม) แล้ว สิ่งเหล่านั้นต้องเป็น วัฏฏะ คือมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ต่อไปเรื่อย ๆ ไม่จบสิ้น   สรุปได้เลยว่า ในจักรวาลที่เรารู้จักกันทั่วไปนั้น (เป็นสังขตธรรม) ต้องมีสภาพของวัฏฏะทั้งนั้น แต่ระยะเกิด – ดับ นั้น ย่อมแตกต่างกัน เช่น ตั้งแต่เศษเสี้ยวของวินาที (อนุภาคบางตัวที่เกิดในการทดลอง) เป็นวัน จนหลายสิบปี (เช่นสัตว์/มนุษย์) จนถึงนับหมื่นนับแสนล้านปี (เช่น การเกิด – ดับ ของจักรวาล) หรือ อาจนานกว่านั้นก็เป็นได้ (เช่น อายุของพรหม)

          สำหรับประเด็นแรก อะไรเป็นสาเหตุให้เกิด จุดเริ่มต้น คือ Big Bang นั้น ถ้าจะกล่าวว่า เพราะมีอวิชชา อยู่ในธรรมชาติที่มีการปรุงแต่งจึงทำให้เกิด Big Bang และเป็นวัฏฏะต่อมา ตามที่กล่าวแล้ว คนส่วนใหญ่คงไม่เชื่อ เพราะเราใช้อวิชชาอธิบายในปฏิจจสมุปบาท (คือ  อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป......ต่อไปเรื่อย ๆ) โดยเราเข้าใจว่า คำอธิบายนี้ใช้กับสิ่งมีชีวิต โดยเฉพาะมนุษย์

          ประเด็นนี้ขอยืนยันว่า หลักปฏิจจสมุปบาท และอิทัปปัจจยตานั้น ใช้ได้กับสรรพสิ่งจริง ๆ ทั้งมีชีวิตและไม่มีชีวิต (แต่ปฏิจจสมุปบาทนั้น เข้าใจได้ง่ายในสิ่งมีชีวิต ถ้าใช้กับสิ่งไม่มีชีวิตต้องตีความหมายให้กว้างขึ้น)

          ดังนั้น คำตอบที่นักวิทยาศาสตร์สงสัยว่า Big Bang เกิดเพราะสาเหตุใดนั่น คำตอบก็คือ จากอวิชชาของสรรพสิ่งในจักรวาลนั่นเอง อธิบายเพิ่มก็ได้คือ เพราะสรรพสิ่งในจักรวาลมีรูป (สสารและหรือ พลังงาน)  กับ นาม (จิต) เมื่อมีการปรุงแต่งในจิต เกิดอวิชชา คือ การอยากมีตัวตน อยากเกิดขึ้น  อยากอยู่  ไม่อยากดับไป จึงทำให้เกิด Big Bang ขึ้น ก็เหมือนกับมนุษย์มีอวิชชา ต้องการภพ ชาติ ที่ให้ต้องเกิดใหม่ต่อไปเรื่อย ๆ จักรวาล หรือ มนุษย์ก็ไม่ต่างอะไรกัน

          ตรงจุดนี้ เคยมีผู้ให้ความเห็นว่า การเกิด Big Bang น่าจะขัดกับกฎอิทัปปัจจยตา เพราะก่อน Big Bang จักรวาลมีแต่ความว่างเปล่า จะเกิดสิ่งหนึ่งจากความว่างเปล่าได้อย่างไร ขออธิบายว่า จุด Singularity   ที่เกิด Big Bang นั้น ว่างเปล่าจากสสารจริง แต่มีพลังงานเป็นอนันต์ (ข้อมูลวิทยาศาสตร์) ซึ่งพลังงานคือ  สภาวะหนึ่งของสสาร การเกิด Big Bang จึงไม่ขัดกับ กฎอิทัปปัจจยตา

          ดังนั้น โดยหลักการ หากเมื่อใด อวิชชาหมดสิ้นไปจากทุกสรรพสิ่งในจักรวาล วัฏฏะก็หยุด ธรรมชาติก็เปลี่ยนตัวเองไปเป็นธรรมชาติที่ไม่มีการปรุงแต่ง (อสังขตธรรม) ก็จะมีจักรวาลที่ว่างเปล่า สงบอย่างยิ่ง ตลอดนิรันดร

          แต่โดยธรรมชาติเช่นกัน   สิ่งนี้ไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...