https://www.youtube.com/v/RXTP_wRSHQwโดย เจริญชัย ไชยไพบูลย์วงศ์
น้อยครั้งนักที่ภาพยนตร์จะเปิดเรื่องด้วย “ฉากหลัง” สีขาวโพลน นี่ย่อมทำให้ภาพยนตร์เรื่อง Departures (ความสุขนั้น นิรันดร) มีความพิเศษสุดไม่เหมือนใคร
ไดโกะ พระเอกหนุ่มของเรื่องเป็นนักเชลโล (Cellist) ฝีมือธรรมดาพื้นเพ ชีวิตของเขาจึงอาจต้องจมปลักเป็นบุรุษผู้ไร้ความโดดเด่นในวงดนตรีที่ไร้ชื่อเสียงไปตลอดกาล หากไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง
แต่แล้วเมื่อวงดนตรีต้องปิดกิจการลง เพราะมีผู้เข้าชมน้อยเกินไป ไดโกะจึงได้หลุดพ้นจากความเซื่องซึมตายซากของชีวิต เขาตัดสินใจได้ในทันทีว่าจะไม่เป็นนักดนตรีอีกต่อไป เพราะถึงแม้จะหางานกับวงดนตรีใหม่ได้ แต่ก็คงเป็นได้แค่นักดนตรีที่ไร้พรสวรรค์คนหนึ่ง
ดนตรีที่สวยงามระรื่นใจ ก็ไม่อาจช่วยให้ชีวิตมีความหมายได้ หากคุณไม่ได้ร้องออกมาจากหัวใจความเปลี่ยนแปลงในชีวิตของไดโกะ ไม่ใช่เรื่องสนุก มันเป็นความขมขื่นเคว้งคว้าง แม้จะได้กลับบ้านเกิดไปใช้ชีวิตร่วมกับภรรยาอย่างเต็มที่ แม้รสชาติอาหารจะอร่อยขึ้น เพราะน้ำที่ใช้หุงข้าวในชนบทมีคุณภาพดีกว่า หากทว่า การดิ้นรนเพื่อค้นหางานใหม่ การต่อสู้เพื่อให้อยู่รอดในระบบทุนนิยม เป็นเรื่องที่กดขี่บีบคั้นที่สุดของยุคสมัย
โดยสายลมแห่งโชคชะตาที่พัดพาไป ไดโกะได้พบพานกับอาชีพใหม่ที่เงินเดือนดี หากไร้ซึ่งเกียรติยศศักดิ์ศรีเหมือนอาชีพเดิม แต่เนื่องจากหลวมตัวเข้ามาแล้ว ไดโกะจึงต้องยอมรับมันไปก่อน แล้วดูว่าชีวิตจะเป็นอย่างไรต่อไป
อาชีพแต่งหน้าศพ แม้จะต้องใช้ฝีมือที่ประณีตบรรจงใส่ใจ แต่กลับไม่ได้รับการยกย่องในสังคมญี่ปุ่นเท่าที่ควร ไดโกะก็เช่นเดียวกัน เขาไม่อยากทำงานนี้เลย
ระหว่างเดินทางกลับบ้าน เด็กนักเรียนบนรถประจำทางได้กลิ่นเหม็นสาบของเขา ทำให้ต้องแวะเข้าโรงอาบน้ำเพื่อชำระล้างสิ่งอัปมงคลออกไปจากตัว แม้จะได้ผ่อนคลายจิตใจกับสายน้ำ แต่มันก็เป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุเท่านั้น
เมื่อภรรยานำไก่ที่ตายแล้วมาทำอาหาร ไดโกะก็เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียนขึ้นมา หลังจากปลดธุระเสร็จสิ้น เขาก็โถมเข้ากอดภรรยาด้วยความปวดร้าวใจ มันเป็นสิ่งที่ทรมานจิตใจเหลือล้น แต่กระนั้นเขาก็ยังคงปิดบังภรรยาเกี่ยวกับอาชีพแต่งหน้าศพของเขาต่อไป
วันเวลาเพียงแต่ช่วยเยียวยาให้เขาชาชินและยอมรับกับอาชีพใหม่นี้เท่านั้นเมื่อเริ่มฝืนทนได้กับอาชีพนี้ เขาจึงเปิดรับและเรียนรู้เรื่องราวของมันมากขึ้น จุดหักเหสำคัญก็คือ หลังจากงานแต่งหน้าศพครั้งหนึ่ง เจ้าภาพได้เดินออกมาส่ง พร้อมกับกล่าวคำขอบคุณเจ้านายของเขา ที่ทำให้ “ศพดูสวยยิ่งกว่าเมื่อยามมีชีวิตอยู่” นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ค้นพบคุณค่าความหมายของสิ่งที่ทำ
เหมือนเป็นเรื่องไร้สาระ ที่มนุษย์จะต้องมาใส่ใจแต่งหน้าศพให้ดูงดงามเกินจริงเพราะสุดท้ายก็ต้องเผาหรือฝังไปสู่พื้นดิน แต่บางครั้งความงดงามของซากศพ การได้แต่งองค์ทรงเครื่องเป็นครั้งสุดท้าย ก็อาจทำให้ผู้มีชีวิตอยู่ได้หวนระลึกบางอย่างขึ้นมานี่คือ ความทรงจำ ความผูกพัน และความรัก ที่ทำให้มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่สามารถก่อร่างสร้างอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่เหนือสัตว์อื่น ตราบจนปัจจุบัน
สิ่งดีๆ เกิดขึ้นได้ไม่นานย่อมต้องเปลี่ยนพลิกหลังจากค้นพบความรักในงานที่ทำ ไดโกะก็เริ่มไม่รู้สึกรังเกียจอาชีพตนเองอีกต่อไป แต่กลับมีความสุขเพิ่มพูนขึ้นทุกวัน เขาเริ่มเข้าถึงศิลปะในการแต่งหน้าศพ เริ่มค้นพบความผูกพันของคนในครอบครัวผู้ตาย ที่เชื่อมโยงกับฝีมือการแต่งหน้าและจัดเรียงองค์ประกอบในพิธีกรรมของเขา
หากทว่า ในที่สุดความลับที่เคยปิดซ่อนเร้นภรรยาก็ถูกเปิดเผยออกมา เหมือนกับฝันดีแสนกระชั้นสั้นที่ต้องตื่นขึ้นมาพบกับความจริงที่โหดร้ายยาวนาน เมื่อภรรยายื่นคำขาดให้ต้องเลือกระหว่างความรักที่หวานชื่นของสองเรากับงานแต่งหน้าซากศพที่น่าอับอาย
ในขณะที่เป็นนักเชลโล เขาดูเหมือนเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเอง ปล่อยชีวิตให้ไหลเรื่อยไปอย่างไร้ทิศทางและแรงบันดาลใจ แต่เมื่อได้ค้นพบความรักในอาชีพแต่งหน้าศพที่แสนต่ำต้อยแล้ว เขากลับเต็มไปด้วยพลังเชื่อมั่นเหลือล้น เขายินดีแตกหักกับภรรยาสุดที่รัก ก็ไม่ยอมแยกทางจากงานที่รักไป
พลังของความเชื่อมั่นในบางสิ่ง ช่างยิ่งใหญ่เทียมฟ้า มันสามารถเปลี่ยนคนที่เคยต่ำต้อยที่สุด ให้ยืนหยัดขึ้นมาท้าสู้กับโลกที่ยิ่งใหญ่ใบนี้ได้ไดโกะก็เป็นเช่นนี้ จนกระทั่งภรรยาที่เดินแยกทางไปได้กลับมาขอคืนดีอีกครั้ง พร้อมกับนำข่าวดีมามอบให้ นั่นคือ เธอกำลังตั้งครรภ์ และขอให้เขาเลิกทำอาชีพที่ไร้ค่านี้ เพื่อไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ดีกว่า
ความบังเอิญได้เกิดขึ้นกับชีวิตอีกครั้ง เมื่อมีโทรศัพท์เข้ามาให้ไปช่วยแต่งหน้าศพหญิงชราเจ้าของโรงอาบน้ำที่พระเอกเคยไปใช้บริการเป็นประจำ
หากไม่ใช่เพราะภรรยาของไดโกะคุ้นเคยสนิทสนมเป็นอย่างดีกับหญิงชราเจ้าของโรงอาบน้ำ เธอก็คงต้องถึงจุดเดือดอย่างแน่นอน เพราะงานที่น่ารังเกียจนี้ได้เข้ามาขัดขวางชีวิตคู่ของเธอครั้งแล้วครั้งเล่า
แต่แล้วเมื่อเธอได้มีโอกาสเข้าร่วมพิธีกรรมแต่งหน้าศพในครั้งนี้ เธอจึงเริ่มเปิดใจ เรียนรู้ และซาบซึ้งใจไปกับอาชีพใหม่ของผู้เป็นสามี ซึ่งแน่นอนว่าหากเธอไม่มีความผูกพันกับผู้ตายมาก่อน สถานการณ์ก็คงต้องแตกต่างออกไป
ที่สุดแล้ว ความรู้สึกรักชอบโกรธเกลียดของมนุษย์ บางครั้งก็เป็นเรื่องผิวเผินอย่างยิ่ง
การที่เราเปิดใจให้บางสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเพราะความคุ้นเคยผูกพัน หรือเป็นเพียงโชคชะตาที่บังเอิญผ่านเข้ามา ก็อาจทำให้เราได้เรียนรู้คุณค่าของสิ่งนั้นในเชิงลึก จนกระทั่งกลายเป็นพลังยิ่งใหญ่ที่แปรเปลี่ยนชีวิตของเราไปตลอดกาลจุดสะเทือนใจที่สุดของเรื่อง ก็คือ การเสียชีวิตของพ่อ ที่ทอดทิ้งพระเอกไปในวัยเด็ก พ่อที่ไม่เคยเหลียวแลและโหดร้าย
หากชีวิตของไดโกะยังคงเป็นนักดนตรี เขาก็คงไม่มีวันเปิดใจยอมรับพ่อที่ทอดทิ้งเขาไปได้เลย
อย่างไรก็ตาม หลังจากชีวิตที่ผกผันหักเห ชีวิตที่ค้นพบความหมายในงานที่ทำ ชีวิตที่เริ่มบ่มเพาะความเชื่อมั่นในการเผชิญกับโลกความจริง ไม่ว่ามันจะโหดร้ายปานใด เมื่อผสมเข้ากับคำอ้อนวอนของเพื่อนร่วมงานที่เคยทิ้งลูกสาวในวัยหกขวบของเธอด้วยอารมณ์ชั่ววูบ และจนบัดนี้ก็ยังไม่กล้ากลับไปเผชิญพบกับสิ่งที่เธอกระทำไว้ ยิ่งกว่านั้น ยังมีภรรยาที่รักซึ่งคอยกระตุ้นเตือนให้พระเอกมีศรัทธาในตัวบิดาที่ทอดทิ้งไป ทั้งหมดนี้จึงทำให้พระเอกตัดสินใจไปเผชิญหน้ากับร่างกายที่เย็นชืดของบิดาเป็นครั้งสุดท้าย
ในที่สุด เขาก็ค้นพบความจริงว่า พ่อยังเป็นห่วงและรักตนเองอยู่เสมอ นั่นคือ หินก้อนหนึ่งที่กำไว้ในมือขณะเสียชีวิต หินก้อนที่ไดโกะเคยมอบให้พ่อเพื่อแทนความรู้สึกที่มีอยู่ในใจ โดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ยถ้อยคำใด
สิ่งสำคัญของเรื่อง ไม่ใช่การค้นพบหลักฐานว่าพ่อรักตนมากแค่ไหน แต่กลับเป็นการเปิดใจยอมรับพ่อ แม้ว่าจะยังไม่มีอะไรเป็นเครื่องยืนยันว่าพ่อจะรักเราอย่างที่คิด เพราะในชีวิตมนุษย์ไม่เคยมีข้อมูลที่สมบูรณ์พร้อม มนุษย์ต้องตัดสินใจเลือกท่ามกลางความรู้ที่ไม่สมบูรณ์แบบ จึงมีเพียงศรัทธาเท่านั้นที่จะนำทางเราไปสู่จุดหมายได้ ก่อนที่เราจะรู้ว่าคุณค่าที่เราตามหามีอยู่จริง
จาก
http://www.siamintelligence.com/departures-from-fail-to-success/