ศุภกิจ นิมมานนรเทพ จาก “อดีตรองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ” มาถึงการฟื้นฟูสุขภาพ ด้วย “พลังลมปราณ”“ผมเป็นอดีตคนขี้โรค...”คำประกาศตนชัดเจนของสุภาพบุรุษวัย ๖๐ ปีผู้นี้มีมูลเหตุมาจากอะไร? จึงมีความมั่นใจต่อสุขภาพพลานามัยของร่างกายแม้ย่างเข้าสู่วัยเกษียณอายุราชการแล้ว...
เมื่อเอ่ยนาม
ศุภกิจ นิมมานนรเทพ ในแวดวงข้าราชการโดยเฉพาะกระทรวงพาณิชย์ย่อมรู้จักดี เพราะเคยดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมทะเบียนการค้าและรองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์มาก่อน จากนั้นก็ได้อำลาชีวิตข้าราชการก่อนเกษียณอายุเพื่อเป็นบุคคลธรรมดาคนหนึ่งที่มีสุขภาพแข็งแรงโดยการฟื้นฟูสุขภาพด้วยธรรมชาติบำบัดที่เรียกกันว่า
“พลังลมปราณ”“พลังลมปราณ” เป็นอย่างไร เปลี่ยนแปลงชีวิต “อดีตคนขี้โรค” คนหนึ่งไปได้อย่างไร ต้องติดตามจากบรรทัดต่อๆ ไป
ศุภกิจ นิมมานนรเทพ อดีตรองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศที่ฟื้นฟูสุขภาพได้ด้วยธรรมชาติบำบัดจากการฝึก“นอกจากจะเป็นอดีตรองอธิบดีสองกรมแล้ว ผมยังเป็นอดีตคนขี้โรคด้วย” ศุภกิจ นิมมานนรเทพเริ่มต้นการสนทนาอย่างอารมณ์ดี“ปัจจุบันทั้งหมดนี้ทิ้งไปแล้วทั้งตำแหน่งทางราชการและการเป็นคนขี้โรค ปัจจุบันก็ได้อาศัยพลังลมปราณมารักษาสุขภาพให้เข้มแข็ง ได้ประสบความสำเร็จจนเอามาเขียนหนังสือแนะนำใครๆ ได้บ้าง”
อดีตรองอธิบดีสองกรมผู้นี้เคยเป็นอดีตประธานชุมนุมวรรณศิลป์ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยนามของท่านยังเป็นนามปากกาของกวีและนักเขียนสารคดีที่มีผลงานเผยแพร่มาแล้วด้วย แม้ขณะที่ยังดำรงตำแหน่งทางราชการ “คุณศุภกิจ” ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้สนใจในแวดวงการอ่านการเขียนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องราวเกี่ยวกับจีนศึกษา จนกระทั่งลาออกก่อนเกษียณอายุราชการ ออกมาใช้ชีวิตเสรีอย่างเต็มตัว เมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๒ หลังจากนั้นก็ได้อุทิศเวลาเพื่อการเผยแพร่การฟื้นฟูสุขภาพด้วยพลังลมปราณจากประสบการณ์ของ “อดีตคนขี้โรค” ที่ต้องผจญกับโรคภัยมานานปี
“แต่ไหนแต่ไรมาผมเป็นคนที่ขี้เกียจออกกำลังกาย เป็นคนที่ไม่สนใจเรื่องนี้เลย ก็กลายเป็นคนขี้โรคก็เพราะการไม่ออกกำลังนี่แหละ คนที่ขี้โรคมักไม่ชอบออกกำลัง คนที่ไม่ออกกำลังก็มักขี้โรค มันก็วนไปวนมา สุขภาพนี่ก็อาศัยยากิน ยาเป็นสิ่งที่ง่าย พอเจ็บป่วยก็ใช้ยา แต่มารู้ภายหลังเมื่อสุขภาพทรุดโทรมว่า ยาก็เป็นสาเหตุทำให้สุขภาพทรุดโทรมเพราะยาตามตำรับฝรั่งเป็นเคมี สารเคมีที่ผสมเข้าไป กินเข้าไปเพื่อรักษาโรคที่หนึ่งแต่ไปก่อโรคที่สองขึ้นมาหรือมีผลข้างเคียง
โรคแท้ๆ ที่ผมเป็นมาตั้งแต่เกิดคือโรคภูมิแพ้ จากภูมิแพ้ก็มาเป็นโรคหอบหืด แต่ก่อนเวลาฝนจะตก ผมก็จะหายใจไม่ค่อยออก ผมก็จะต้องมียากินหรือยาพ่นพกมาเตรียมไว้ ทีนี้โรคที่เกิดขึ้น พออักเสบ เป็นไข้ ผมก็จะกินยาอีก และเนื่องจากผมเป็นข้าราชการ ผมเบิกเงินหลวงได้ ผมจึงไม่มีความรู้สึกว่าเดือดร้อนอะไร ป่วย ผมก็ไปโรงพยาบาล ไปหาหมอ ซื้อยา นอนโรงพยาบาลผมก็กลับมาเอาใบเสร็จเบิกเงินหลวง ก็ไม่มีอะไรเดือดร้อนในเรื่องเศรษฐกิจ แต่ผลข้างเคียงที่เกิดจากการกินยาก็คือลิ้นหัวใจผมรั่ว เส้นเลือดใหญ่ตีบไปสองเส้น เส้นหนึ่งตีบไป ๘๗ เปอร์เซ็นต์ ซึ่งอันตรายอย่างที่ฝรั่งเขาเรียกว่า Sudden Death อีกเส้นหนึ่งตีบไป ๔๕ เปอร์เซ็นต์ หมอก็ส่งผมไปโรงพยาบาลโรคทรวงอกให้ทำบอลลูนเส้นที่ ๘๗ เปอร์เซ็นต์ ส่วนอีก ๔๕ เปอร์เซ็นต์นั้น หมอบอกว่าถ้ามันตีบมากขึ้นเกิน ๗๐ ก็ค่อยมาทำอีกครั้งหนึ่ง
...แต่ก่อนนี่เดินข้ามสะพานลอย ผมยังเดินไม่ไหว ต้องค่อยๆ เกาะราวสะพาน แล้วเหนี่ยวตัวขึ้นไป สะพานหน้าโรงเรียนสามเสนนี่แหละ นักเรียนจะเดินข้ามไปข้ามมา ตอนเช้าผมจะเดินข้ามสะพานไปขึ้นรถเมล์ เด็กนักเรียนมันมาไล่ผม บอก ลุง ลุง เกะกะ เดินเร็วหน่อย ผมมีความรู้สึกเจ็บปวดมาก ทำไมเราต้องเป็นคนที่น่ารังเกียจ เดินก็ช้า เด็กก็มาไล่”
ปัญหาเรื่องสุขภาพสำหรับผู้ที่มีโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียนอยู่เป็นนิจนั้นนับว่าเป็นปัญหาหนักหน่วงใหญ่หลวง แต่ทางออกจากปัญหาก็ยังมีอยู่ ดังในกรณีของคุณศุภกิจซึ่งบังเอิญได้รู้จักกับการฟื้นฟูสุขภาพด้วยวิชาพลังลมปราณในวันหนึ่ง
“มันเป็นความบังเอิญที่ว่า วันหนึ่งในปี ๒๕๔๐ เขามีการบรรยายเรื่องลัทธิเต๋า พลังลมปราณและธรรมชาติบำบัดของสำนักบู๊ตึ๊ง และมีอาจารย์จากสำนักบู๊ตึ๊งคือโปรเฟสเซอร์จางฉี เป็นอาจารย์จากมหาวิทยาลัยพลศึกษาแห่งมณฑลเหลียวหนิง ซึ่งเป็นมณฑลหนึ่งในประเทศจีนที่อยู่เหนือปักกิ่งขึ้นไป ถ้ามองแผนที่ก็คืออยู่ติดกับเกาหลีเหนือนั่นเอง สมัยโบราณเขาเรียกว่าแคว้นเหลียว ทีนี้อาจารย์จางฉีก็มาบรรยายที่ธรรมศาสตร์ แต่เนื่องจากบรรยายเป็นภาษาจีนกลาง การประชาสัมพันธ์ก็คงไม่ค่อยทั่วถึง อาจารย์นิพัทธ์ จิตประสงค์ ประธานโครงการจีนศึกษาก็เลยโทรศัพท์ให้ผมหาคนมาช่วยฟังหน่อย ทีนี้ผมเป็นที่ปรึกษาโครงการอยู่ก็เลยช่วยเอาคนจากรมการค้าต่างประเทศและ กรมทะเบียนการค้ามาช่วยฟัง ๑๐คน เป็นผู้ที่รู้ภาษาจีนกลาง
...วันนั้นผมก็ดูไปอย่างนั้นเอง แต่เผอิญผมสนใจอ่านหนังสือและสนใจเรื่องจีน ได้ยินว่าอาจารย์มาจากมณฑลเหลียวหนิงก็สนใจมาก แต่ไม่ได้คุยกันเพราะมีคนไปรุมถามอาจารย์เยอะ ตอนแรกท่านเริ่มบรรยายท่านก็สาธิตการฟื้นฟูสุขภาพโดยการฝึกพลังลมปราณเบื้องต้นเป็นพื้นฐานสำหรับคนที่จะเข้าไปสู่สำนัก ก่อนที่จะไปเรียนวิชาเพลงดาบ เพลงมวย ต้องมาฝึกตรงนี้ก่อน เป็นท่าง่าย ๘ ท่า ใช้เวลาฝึกจริงๆ วันละ ๑๐ นาที ก็พอแล้ว แค่สองวันก็เห็นว่าได้ผลดี ถ้าฝึกให้ถูกวิธี ผมก็จำได้ทั้ง ๘ ท่า พอสักครู่หนึ่งกำลังจะสอนไทเก๊กซึ่งมันยากขึ้นไปอีก พอดีมีผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ท่านเข้ามาก็เลยต้องลุกไปต้อนรับท่าน บนเวทีผมก็เลยไม่ได้ดู เดชะบุญที่ไม่ได้ดู (เน้นเสียง) ถ้าดูแล้วผมคงท้อเพราะมันมีอีก ๑๘ ท่า ชั่วโมงกว่า (หัวเราะ) แล้วคนที่ขี้เกียจออกกำลัง เจอเข้า๑๘ ท่ามังกร โอ้โฮ เลิกเลย เห็นอะไรยากเข็ญนี่ ไม่เอาแล้ว จนกระทั่งผู้ใหญ่ท่านกลับไป บนเวที อาจารย์จางฉีก็กำลังสอนท่ากบจำศีล ใช้ประโยชน์อะไรได้ ลดความอ้วน โอ้...ลดความอ้วนนี่น่าสนใจ พอมาฟังดูก็มีประโยชน์มาก”
แม้จะเห็นว่าการฝึกพลังลมปราณเป็นเรื่องน่าสนใจ แต่คุณศุภกิจก็ไม่ได้ทดลองทำทันที จนกระทั่งมาถึงวันวิกฤติของชีวิตหรือที่คุณศุภกิจเรียกว่าเป็น “วันที่พลิกผันชีวิตผม”
“เดือนเมษายน ปี ๔๒ เป็นวันที่ผมพบวิชาพลังลมปราณ มันเป็นช่วงที่ผมกำลังเจ็บป่วยอย่างมาก ฝนมันตก ผมก็ไม่ชอบอากาศชื้น ก็เป็นหวัด พอดีกับที่ผมต้องย้ายที่ทำงานใหม่ ต้องเก็บย้ายเอกสาร เจอฝนกับเจอฝุ่นเข้า ตายเลย ผมต้องไปโรงพยาบาลอยู่สองหน หมอสั่งยาให้ กินไป ๗ วัน ก็ไม่หาย คออักเสบ หายใจไม่ออก กินยาขับเสมหะก็ไม่หาย ไปหาหมออีก หมอก็สั่งยาที่แรง ออกใบสั่งให้ ก็ไม่หาย ป่วยอยู่ ๑๒ วัน ภรรยาก็ไม่อยู่ ไปสอนหนังสือวัดไทยที่วอชิงตัน ผมอยู่คนเดียวที่บ้าน ทุกๆ ๔ ชั่วโมง ก็ต้องกินยาพาราเซตามอลสองเม็ดลดไข้ ต้องหยุดงาน
พอวันที่ ๒๔ เมษายน วันนั้นเป็นวันที่พลิกผันชีวิตผม เพราะวันนั้นผมรับไปบรรยายพิเศษเรื่องไซอิ๋วภาคพิสดาร ผมรับเชิญไว้ตั้ง ๒ เดือนมาแล้ว คนสนใจมาก ครูอาจารย์ นักหนังสือพิมพ์ต่างๆ จองเข้าฟังเกือบ ๒๐๐ คน ผมเองก็ไม่สบาย วันที่ ๒๓ เที่ยงคืนผมยังป่วยอยู่เลย ตื่นมา ๖ โมงเช้า ก็ยังมีไข้อยู่ ก็เลยเอายาพาราเซตามอลขึ้นมาจะกิน ก็มาคิดว่ากินไปจะมีประโยชน์อะไร เพราะกินไปตั้ง ๑๐ กว่าเม็ดแล้ว ก็เอาวางไว้ พอดีผมจะไปพูดเรื่องไซอิ๋ว ในสมองมันก็คิดแต่เรื่องจีน ก็คิดวนไปถึงอาจารย์จางฉี อ้อ อาจารย์สอนวิชาลมปราณว่าฟื้นฟูสุขภาพได้ ผมไม่มีทางเลือกแล้ว ผมก็วางยาไว้ เดี๋ยวค่อยกิน แล้วก็ขึ้นมาทบทวนท่าฝึก ฝึกไปประมาณ ๕-๑๐ นาที เหงื่อโทรมเลย เอาปรอทมาวัดไข้ เหลือ ๙๘ ผมเกือบจะปกติแล้วนี่ แล้วผมก็วางปรอท ฝึกต่อไป ๑๐ นาทีต่อมา มีเหงื่อตั้งแต่กลางศีรษะลงไปถึงเท้าเลย ในชีวิตนี้ไม่มีวันไหนที่เหงื่อออกมากที่สุดอย่างนี้ ไม่มีอาการหรือความรู้สึกว่าเจ็บป่วยมาเลยครับ เกิดความปีติ หายใจเต็มปอด เหงื่อแห้งก็อาบน้ำแล้วกินอาหาร ยาก็ไม่กินแล้ว เลิกเลย บ่ายสองโมงผมขึ้นเวทีพูดถึง ๔ โมงเย็นรวดเดียว ไม่เหน็ดไม่เหนื่อย นับตั้งแต่วันนั้นมาผมก็ฝึกทุกวัน วันหนึ่งอย่างน้อยก็ ๑๐ นาที ในชีวิตนี้ต้องถือว่าวันที่ ๒๔ เมษายน เป็นวันเริ่มต้นชีวิตใหม่ จากคนขี้โรคกลายเป็นอดีตไปแล้ว”
จากวันที่ได้เริ่มต้นชีวิตใหม่เป็นต้นมา มีความเปลี่ยนแปลงมากมายเกิดขึ้นซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นผลในทางบวกทั้งสิ้น ชีวิตของอดีตคนขี้โรคมาสู่ความเป็นผู้มีสุขภาพนั้นเหมือนอย่างที่เรียกว่าพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือทีเดียว
“ก่อนนั้นผมมีความเชื่อว่าจะตายก่อนอายุ ๖๐ ตอนนี้ผม ๖๐ แล้ว แต่ผมรู้สึกว่าผมจะต้องอยู่ไปอีกหลายปี แม่บ้านก็เริ่มเป็นห่วงว่าถ้าอายุยืนเกินไปเดี๋ยวบำนาญจะไม่พอใช้ จะบังคับให้ผมเก็บเงินเพื่อเอาไปเลี้ยงชีวิตในอนาคตข้างหน้า ต้องเก็บสะสมเดือนละหมื่นบาท ผมก็มีความทุกข์อย่างใหม่เกิดขึ้นนะ (หัวเราะ)
...หลังจากฝึกพลังลมปราณ ลิ้นหัวใจที่รั่วก็รั่วน้อยลงทั้งๆ ที่ผมไม่ได้ทำอะไรกับมันเลย แล้วเส้นเลือดตีบ ๔๕ เปอร์เซ็นต์ ก็หายไปแล้ว ส่วนการเดินข้ามสะพานลอยนั้น เดี๋ยวนี้เด็กนักเรียนเดินยังไง เราก็เดินอย่างนั้น ไม่ต้องเดินไปเกาะราวไปอีกแล้ว ผลดีอย่างอื่นก็มี พอฝึกเสร็จเราเอาสันมือมาถูกัน มันก็จะเกิดกระแสไฟฟ้า เอาไปลูบลบรอยตีนกา แล้วผิวที่เหี่ยวก็จะเกลี้ยงขึ้น ที่ดีมากอีกอย่างหนึ่งคือขาที่โดนหมากัดพุพอง พอฝึกพลังลมปราณปรากฏว่ามันเลือนไปโดยที่ไม่ได้ทำอะไร เพราะการที่เราฝึกจนกระทั่งเหงื่อออก มันทำให้ผิวที่เหี่ยวมันหลุดไปเหมือนลอกคราบ เหงื่อที่ออกมามันจะทำให้รูขุมขนขยายและขับเอาสิ่งที่อุดตันอยู่ตามขุมขนออกไปด้วย หน้าตามีสีเลือด หลังก็หายโกง ไม่ปวดหลังหรือปวดคอ แต่ก่อนผมเคยนอนตกหมอน ต้องซื้อยามากิน ๒ ปี มานี้ไม่เป็นไรแล้ว เข้าใจว่าคงจะเกิดจากเลือดลมเดินดี แล้วก็กินอาหารน้อยลง ในปรัชญาจีนเขาเรียกว่าเสพลมปราณเลี้ยงชีพ หลังจากที่ฝึกแล้วความอยากอาหารจะหายไป หรือถ้ามีปัญหานอนไม่หลับหรือปวดหัว ลองฝึกดู ก็จะเกิดสมาธิ ความเครียดจะหายไป”
ขณะที่ฝึกพลังลมปราณ คุณศุภกิจก็ได้ศึกษาและทำความเข้าใจกับการฟื้นฟูสุขภาพด้วยพลังลมปราณว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร ทั้งนี้วิชาพลังลมปราณเป็นวิชาที่กระทรวงสาธารณสุขได้ยอมรับอย่างเป็นทางการว่าเป็นวิชาหนึ่งในการบำบัดรักษาโดยการใช้ธรรมชาติบำบัดเพื่อฟื้นฟูสุขภาพโดยสำนักแพทย์แผนจีนเมื่อปีที่ผ่านมา
“วิชาโยคะเป็นต้นกำเนิดของการฝึกพลังลมปราณแต่ฝึกยากกว่ามาก ตั๊กม้อเป็นผู้นำไปเผยแพร่ในจีน การฝึกพลังลมปราณไม่ได้ทำให้เกิดอันตรายอะไรเพราะเราไม่เน้นการเกร็งกำลังหรือฝืนกำลัง ทำตามอายุและสภาวะของเรา จะไม่ทำร้ายตัวเราเอง ถ้าการฝึกโดยใช้เครื่องมือ เช่นยกตุ้มน้ำหนัก ถ้ายกขึ้นมาระดับหนึ่ง เกิดเราล้าก็จะทำให้บาดเจ็บได้ แต่ไม่เคยปรากฏว่าผู้ฝึกพลังลมปราณด้วยวิธีที่ถูกต้องตามหลักจะเป็นอันตราย
หลักการที่ถูกต้องของการฝึกคือ หนึ่งหายใจให้ถูกต้องตามหลักที่กำหนดไว้ สอง เคลื่อนไหวช้าๆ ไม่เน้นการเกร็งกำลัง และสาม คือ ฝึกจนกว่าเหงื่อจะออก ทีนี้ถ้าคนฝึกแล้วรู้สึกผิดปกติ นั่นเป็นเพราะว่าฝึกไม่ถูกต้อง เช่นหายใจไม่ถูกจังหวะ หรือเกร็งมากจนกระทั่งฝืนสังขาร ฝึกวันสองวันแรกก็จะเอาให้เหมือนที่สาธิต ก็เกิดเมื่อยล้าหรือเจ็บ แล้วก็เลิก เหงื่อยังไม่ทันออก ข้างในก็จะระอุร้อน พอร้อนเกิดไปอาบน้ำ เอาน้ำเย็นราด ก็อาจทำให้เป็นหวัด อาจจะปอดบวมตายไปเลยอย่างที่ทางจีนเขาเรียกว่าธาตุไฟเข้าแทรก”
นับตั้งแต่ค้นพบคุณประโยชน์ของการฝึกพลังลมปราณที่สามารถช่วยฟื้นฟูสุขภาพได้อย่างเห็นผล ทำให้คุณศุภกิจเห็นว่าควรเผยแพร่ความรู้ดังกล่าวแก่ผู้สนใจให้มากที่สุดเพื่อเป็นวิทยาทาน ปัจจุบันได้มีการจัดพิมพ์หนังสือการฝึกพลังลมปราณ ซึ่งเป็นประสบการณ์ตรงของคุณศุภกิจและแจกจ่ายแก่ผู้สนใจจำนวนมากแล้ว
“ตอนนี้ผมมีความปีติที่ได้นำสิ่งที่เราค้นพบมาช่วยเพื่อนมนุษย์ ผมไม่สนใจจะแสวงหาโภคทรัพย์รายได้อะไรอีกแล้ว แม้ว่าจะมีคนชวนไปทำธุรกิจ ไปเป็นที่ปรึกษาต่างๆ ผมเคยเป็นรองอธิบดีมาสองกรม ก็พอมีประสบการณ์และบารมีอยู่บ้าง จะแสวงหาผลประโยชน์ก็พอได้ แต่ว่าผมไม่สนใจแล้ว เราอยากใช้ชีวิตบั้นปลายที่ไม่รู้จะเหลืออีกเท่าไรให้มีประโยชน์ ผมพยายามชักชวนคนให้หันมาฝึกพลังลมปราณ เพราะผมมุ่งหวังในทางเศรษฐกิจมากกว่าอย่างอื่นนะครับ ศ.นพ.ประเวศ วะสี พูดที่พัทยาเมื่อ ๒-๓ ปีที่แล้วว่าคนไทยเป็นทาสของการใช้ยา เวชภัณฑ์ อาหารเสริม เครื่องดื่มบำรุงกำลัง และเป็นทาสของการโฆษณาด้วย พอเห็นโฆษณายาบำรุงกำลังก็แห่กันซื้อ ก็เป็นที่น่าสนใจว่าคนไทยใช้เงินทั้งภาครัฐและเอกชนรวมกันปีหนึ่งถึงสองแสนห้าหมื่นล้านบาท เพื่อของพวกนี้ เมื่อเทียบกับงบประมาณแผ่นดินปี ๔๔ แปดแสนแปดหมื่นล้านบาท คิดเป็นเปอร์เซ็นต์เกือบหนึ่งในสามของงบประมาณแผ่นดิน
ถ้าเราลดการใช้ยา หันมาใช้ธรรมชาติบำบัดรักษาโรคบางอย่างด้วยตนเอง เราก็จะได้ลดค่าใช้จ่ายบางส่วนของครอบครัว ในเวลาที่ผมเจ็บป่วยผมใช้เงินหลวงรักษาตัวแต่ผมไม่เดือดร้อนเพราะผมเบิกได้ แม้เดี๋ยวนี้ผมก็เบิกได้ แต่ถ้าเราไม่เบิก งบตรงนี้มันก็จะได้เป็นงบพัฒนาประเทศชาติ ถ้าคนจำนวนมากๆ ในวงราชการไม่ต้องเบิกเงินค่ารักษาพยาบาล คนจำนวนมากในประเทศไทยไม่ต้องกินยาแม้แค่ ๑๐ เปอร์เซ็นต์ ก็เถอะ มันก็เป็นเงินสองหมื่นห้าพันล้านแล้วนะครับ
ทุกวันนี้ผมเดินสายไปบรรยายฟรีๆ เพราะผมอยากให้เราดึงเอาสุขภาพของประชาชนไทยกลับคืนมาโดยไม่ต้องใช้เงิน สองคือดึงเอาเศรษฐกิจบางส่วนที่เราเป็นหนี้ต่างชาติให้ชะลอลง ในอนาคตผมก็จะสอนการฝึกพลังลมปราณไปเรื่อยๆ ที่ผ่านมาผมเอาเงินขวัญถุงของผมที่ได้มาจากราชการ ๓๐๐,๐๐๐ บาทมาพิมพ์หนังสือแจกหมด แต่ว่าได้ประโยชน์ ได้ผลมากตรงที่ว่าหลายคนที่เขาฝึก ได้รับผลดี รักษาโรคหาย เขาก็มาช่วย แต่ถ้าช่วยส่วนตัวผมไม่รับ แต่ถ้าเป็นลักษณะบริษัทเอกชนมาร่วมใช้ประโยชน์ตรงนี้เช่นโฆษณาหลังปก อันนี้ก็เท่ากับทำกุศลไปด้วย ถ้าพิมพ์ ๑ หมื่นเล่ม จะตกเล่มละ ๓ บาท ถือว่าเป็นการทำกุศลและเป็นวิทยาทาน”
อาจเป็นเพราะความตั้งใจดีของคุณศุภกิจในการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่เจ็บป่วยด้วยโรคภัยรุมเร้า ก็ได้จึงเป็นอานิสงส์ที่ทำให้ปีที่ ๖๐ ของ “อดีตคนขี้โรค” กลายเป็นปีที่ ๖๐ ของสุภาพบุรุษที่มีสุขภาพแข็งแรง เป็นผู้ชนะโรคภัยที่เคยเบียดเบียนมาเกือบตลอดชีวิต โดยมีอาวุธประจำกายที่สำคัญยิ่งคือ
“วิชาพลังลมปราณ” นั่นเอง
จาก
https://sites.google.com/a/cas.mfu.ac.th/lmpran-pheux-sukhphaph/withyakr