ได้มีผู้ร้องขอให้ผู้เขียนช่วยรวบรวมและเรียบเรียงเรื่อง “ไซอิ๋ว” จากที่ได้เคยเผยแพร่หรือแสดงความคิดเห็นไว้ในเวทีต่างๆในอดีต ประกอบกับ ประสบการณ์สำคัญๆ ที่ผู้เขียนได้ประสบมาในชีวิตหลายครั้งหลายตอน จึงบันดาลใจให้ผู้เขียนคิดที่จะรวบรวมและเรียบเรียง “ไซอิ๋ว” ฉบับเดินทางสู่พุทธภาวะ “พุทธภาวะ = สัมมาทิฏฐิ (มีปัญญาที่เห็น อย่างถูกต้องชอบธรรม)” ให้มีความสมบูรณ์มากขึ้น เพื่อให้มีการศึกษาเนื้อหาพุทธธรรมในอีกมิติหนึ่งที่เข้าใจได้ง่าย ทำให้รู้สึกว่าศาสนาพุทธไม่ได้ซับซ้อนยากที่จะเข้าใจอย่างที่คิด เพราะเนื้อเรื่องไซอิ๋วนั้นมีรายละเอียดของเรื่องราวที่กล่าวถึง พระถังซัมจั๋ง และคณะระหว่างเดินทางไปยังอินเดีย เพื่อนำพระไตรปิฎกกลับมายังเมืองจีน ในระหว่างทางได้เผชิญกับปีศาจต่างๆ มากมาย
แต่จะหามีผู้รู้หรือไม่ว่า เรื่องราวในการเดินทางและอุปสรรคต่างๆ ของพระถังซัมจั๋งนั้น ได้มีการนำมาเปรียบเทียบกับธรรมะในพุทธศาสนา เพราะเรื่อง “ไซอิ๋ว” คือ การเดินทางของจิตไปสู่การหลุดพ้น ในแต่ละขั้น แต่ละตอนนับตั้งแต่การเผชิญกิเลสตัณหาชั้นหยาบสุด ไปจนถึงชั้นที่ละเอียดสุด
เรื่อง “ไซอิ๋ว”ฉบับเดินทางสู่พุทธภาวะนี้ คือ การศึกษาธรรมะผ่านวรรณกรรมชิ้นนี้ จะพบว่าพุทธศาสนามีหลักธรรมที่ง่ายๆ ไม่สลับซับซ้อนแต่อย่างใด สามารถทำความเข้าใจได้ไม่ยากเท่าใดนัก ซึ่งคงเป็นไปตามเจตนารมณ์ ของผู้ประพันธ์วรรณกรรมที่มีมาแต่เดิม
“ไซอิ๋ว” ฉบับที่ท่านจะได้อ่านนี้ ขอทำความเข้าใจก่อนว่า เป็น “ไซอิ๋ว” ฉบับที่ท่าน อู่ เฉิงเอิน (Wu Cheng-En) ในยุคสมัยแห่งราชวงศ์หมิง (ค.ศ. ๑๕๐๐-๑๕๘๒) ได้แต่งเรื่องราวขึ้น โดยได้ซ่อนเนื้อหาธรรมไว้อย่างชาญฉลาดและแยบยล ทำให้ผู้อ่านมีความสนุกและเข้าใจ ในเนื้อหาธรรมที่แฝงอยู่ได้ง่าย จูงใจให้ผู้สนใจผู้เริ่มต้นสามารถศึกษาธรรมะ อย่างละเอียดลึกซึ้งต่อไปได้
จากเจตนาดั้งเดิมของท่าน อู่ เฉิงเอิน เข้าใจว่าคงมีเจตนาจะสอน ธรรมะในรูปแบบลักษณะของนิทานทางศาสนา แต่เมื่อกาลเวลาที่ผ่านไป แต่ละยุคแต่ละสมัยได้มีผู้ที่คัดลอก หรือแปลเรื่อง ได้เลือกเอาเฉพาะ เพียงบางตอนที่สนุกๆ (ยิ่งคัดลอก ยิ่งเลอะเลือน) โดยไม่ได้นำส่วนขยายความที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาธรรมะมาเผยแพร่ด้วย
เรื่อง “ไซอิ๋ว” ในกาลเวลาต่อมาจึงกลายเป็นเพียงเรื่องสนุกๆ เล่าขานให้ผู้ใหญ่และเด็กฟังกัน และในบางเรื่องกลับกลายเป็นความเชื่อ ความศรัทธา จนกระทั่งตัวละครต่างๆเหล่านั้น ได้กลับกลายมีตัวมีตนขึ้นมา บ้างกลายเป็นเทพต่างๆ ให้เราได้กราบไหว้บูชากันตราบเท่าทุกวันนี้
เมื่อครั้งยังเยาว์วัย ผู้เขียนได้มีโอกาสอ่านหนังสือของท่านอู่ เฉิงเอิน ซึ่งแปลโดยพระประทีป ปทีโป แห่งสวนโมกขลาราม กับนายสันต์ ทวีกิติกุล และมีการอธิบายขยายความหมายของตัวละครในเรื่อง “ไซอิ๋ว” ทำให้เกิดความเข้าใจธรรมะที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ชัดเจนขึ้น ทั้งสามารถตีความ อีกทั้งจดจำเนื้อหาธรรมได้ง่าย ทำให้การศึกษาธรรม ไม่รู้สึกเบื่อหน่าย อยากติดตามว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไร พยายามค้นหา ทำความเข้าใจว่า เหตุการณ์ต่างๆในเรื่องตรงกับธรรมในข้อใด
ครั้นเมื่ออ่านจนจบ จึงพบว่าแท้จริงแล้ว “ไซอิ๋ว” เป็นเรื่องของ การเดินทางในใจของคนเรา หาได้เป็นการเดินทางไปแสวงหาพระไตรปิฎกของพระถังซัมจั๋ง ดังที่ปรากฏเพื่อความสนุกเพียงอย่างเดียวไม่ แต่กลับเป็นเนื้อหาที่ว่าการที่พระถังซัมจั๋งได้เดินทาง เพื่อแสวงหาจนพานพบพระไตรปิฎก แล้วนำกลับมาถวายแด่พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้นั้น คือการเดินทาง ทางจิตเพื่อเข้าถึงสู่พุทธภาวะ (นิพพาน) นั่นเอง
ผู้เขียนมีความประทับใจ ยึดเป็นแนวทางในการศึกษาธรรม ครั้นนำมาเปรียบเทียบใช้ในการดำเนินชีวิตยิ่งทำให้เข้าใจชัดเจนมากขึ้น
การเรียบเรียงครั้งนี้จึงยังคงโครงเรื่องเดิมไว้ แต่ได้เรียบเรียงใหม่ เพื่อทำความเข้าใจให้ง่ายมากยิ่งขึ้น โดยนำตัวละครและอาวุธมาเปรียบเทียบ เทียบเคียงกับธรรมะควบคู่กันไป และขยายความไว้ในตอนท้ายเรื่อง แต่ละตอนเป็นการเปรียบเทียบเพื่อให้เกิดความชัดเจนว่า ตัวละครใด สิ่งใด หมายถึงธรรมะใด ซึ่งจะช่วยให้ทำความเข้าใจในธรรมะแต่ละบทได้ง่ายขึ้น
อนึ่งในการเรียบเรียงเนื้อหาธรรมะ เป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อน ที่กระทบต่อความศรัทธาและความเชื่อถือ ดังนั้นหากการเรียบเรียงครั้งนี้ มีเนื้อหาที่คลาดเคลื่อนไป หรือกระทบต่อความเชื่อถือที่มีมาแต่เดิม ผู้เขียนหาได้อวดตนเป็นผู้รู้พุทธธรรมไม่ และไม่ได้มีเจตนาที่ทำให้พุทธธรรม มีเนื้อหาเปลี่ยนไป ซึ่งอาจเป็นด้วยความอ่อนด้อยในการประพันธ์ ผู้เขียนกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
อย่างไรก็ตามเพียงเพื่อเจตนารมณ์ที่ว่า วรรณกรรมนี้ได้ประพันธ์ไว้ในอดีตมีคุณค่ายิ่ง สมควรที่เรียบเรียงถ่ายทอดสืบต่อๆกันไป ดังนั้นหากการเรียบเรียงครั้งนี้ สร้างคุณประโยชน์ใดๆเกิดขึ้น ขอมอบสิ่งดีงามทั้งมวล ให้กับผู้ประพันธ์วรรณกรรมในอดีต ตามที่ได้เอ่ยมาข้างต้น ที่ได้บรรจงสร้าง สรรไว้...
“ไซอิ๋ว” เท่าที่เราทราบกันอยู่ในปัจจุบันเป็นเรื่องราวของพระสงฆ์ ชื่อ ถังซัมจั๋ง พร้อมด้วยศิษย์ทั้งสามคือ เห้งเจีย ตือโป้ยก่าย และซัวเจ๋ง อาสาที่จะเดินทางไปยังไซที เพื่อค้นหาพระไตรปิฎกและนำกลับมาถวายพระเจ้าถังไทจง ในระหว่างทางได้พบอุปสรรคที่ต้องเผชิญเข้าต่อสู้เอาชนะ กับปีศาจเพื่อที่จะสามารถเดินทางบรรลุถึงไซทีได้
แต่ละตอนนำความสนุกสนานเพลิดเพลินมาให้กับผู้อ่าน เพราะเนื้อเรื่องทำให้ตื่นเต้นไปกับการผจญภัยของคณะเดินทางไปไซที ที่พานพบอุปสรรคที่ต้องเผชิญกับเหล่าปีศาจในรูปแบบต่างๆ รู้สึกชื่นชมและประทับใจในความสามารถของเห้งเจีย หงุดหงิดไปกับพฤติกรรมของตือโป้ยก่าย ก่อนจะเดินทางร่วมกันไปสู่ไซที ผู้อ่านต้องมาทำความเข้าใจกับ ตัวละครใน “ไซอิ๋ว” เสียก่อน
แนะนำตัวละคร พระเจ้าถังไทจง พระถังซัมจั๋งรูปปั้นพระถังซัมจั๋ง ณ วัดห่านป่าใหญ่ เมืองซีอาน ตัวละครแรกของเรื่องนั่นคือ พระถังซัมจั๋ง (พระไตรปิฎกแห่ง พระราชวงศ์ถัง มาจากคำว่า ถัง+ซัม+จั๋ง ซึ่งมาจากคำว่า ถัง = ราชวงศ์ถัง / ซัม = สาม / จั๋ง = ตะกร้า หรือ ปิฎก) ในเรื่อง พระถังซัมจั๋ง (เปรียบดุจ ขันติ = ความอดทนเพื่อบรรลุถึงสิ่งที่ดีงาม) ขันอาสาพระเจ้าถังไทจง (เปรียบดุจศรัทธา = ความเชื่อถือ เชื่อมั่นในสิ่งที่ดีงาม) ไปเชิญพระไตรปิฎก
พระองค์ได้ทรงเกิดสุบินว่า เดินทางเข้าไปยังนรกภูมิ ได้พบ ขุมนรก ๑๘ ขุม ได้แก่
ขุมที่ ๑ ผูกก้อนหินขนาดใหญ่ทั้งมือและเท้า แล้วเอาเชือกผูกกลางตัว ดึงขึ้นไปอยู่ที่สูง ทำให้อึดอัดและเจ็บปวดได้รับความทรมานอย่างมาก
ขุมที่ ๒ ขังไว้ในที่มืดแม้มือตัวเองยังมองไม่เห็น ทำให้รู้สึกหวาดกลัว อ้างว้าง และโดดเดี่ยว
ขุมที่ ๓ ลงไปอยู่ในบ่อไฟที่ไม่มีวันดับ ทำให้เกิดความเร่าร้อนอย่าง ไม่มีวันสิ้นสุด
ขุมที่ ๑ ถึง ๓ นี้สำหรับผู้ที่ทำบาปฆ่าสัตว์ ตัดชีวิต
ขุมที่ ๔ มีหนอนมาเกาะกินที่ปาก เพื่อเป็นอาหารได้รับความทรมานอย่างยิ่ง
ขุมที่ ๕ ถูกเอาเบ็ดเกี่ยวที่ลิ้น แล้วถูกดึงลากออกมาอย่างไม่สิ้นสุด เจ็บปวดยิ่ง
ขุมที่ ๖ ถูกถลกหนังออก แล้วราดรดด้วยน้ำเกลือสุดแสนจะปวด แสบปวดร้อน
ขุมที่ ๔ ถึง ๖ นี้ สำหรับ ผู้ไม่ซื่อตรง อกตัญญู ไม่มีธรรมะอยู่ในใจ หรือปากว่านับถือ แต่ในใจสาปแช่ง เข้าข่ายเป็นคนหน้าพระแต่ใจปีศาจ ทำนองปากหวานใจคด
ขุมที่ ๗ เอาใส่ลงในที่โม่หิน แล้วโม่ให้ละเอียด
ขุมที่ ๘ เอาใส่ลงในครกหิน แล้วตำให้ละเอียด
ขุมที่ ๙ ให้เกวียนบรรทุกเหล็กเต็ม เข็นขึ้นทับ
ขุมที่ ๗ ถึง ๙ สำหรับคนที่มีแต่ความหลอกลวง แต่งฝีปาก ให้คนหลงจนต้องเสียทรัพย์และไม่มีความสุข
ขุมที่ ๑๐ เอาลงไปในน้ำเน่าที่เหม็นที่สุด มึนหัวและแสบจมูกอย่างยิ่ง
ขุมที่ ๑๑ ถูกถลกหนัง แล้วให้กาปาก เหล็กจิกกิน เจ็บปวดแสบ ไปทั่วกาย
ขุมที่ ๑๒ ลากไส้ของนักโทษออกมา เจ็บปวดทรมานอย่างยิ่ง
ขุมที่ ๑๐ ถึง ๑๒ สำหรับผู้ค้าขายฉ้อโกง มักดูถูกผู้อื่นเป็นคนโง่ ดูถูกคนจน คนต่ำต้อย
ขุมที่ ๑๓ เอาใส่หม้อต้มน้ำมันเดือด จนละลาย
ขุมที่ ๑๔ เอาเลื่อยชักกลางตัว
ขุมที่ ๑๕ เอานักโทษโยนขึ้นไปภูเขาดาบ
ขุมที่ ๑๓ ถึง ๑๕ สำหรับผู้ทำบาปมีจิตริษยา สอพลอ ใช้อำนาจ เบียดเบียนคนซื่อตรงที่อยู่ในศีลในธรรม ให้ได้รับความเดือดร้อน
ขุมที่๑๖ ให้ลงไปในบ่อเลือด เพื่อกินน้ำเลือด
ขุมที่ ๑๗ เอาใส่ลงในบ่อน้ำกรด
ขุมที่ ๑๘ เอาตาขอเกี่ยวท้องดึงขึ้น
ขุมที่ ๑๖ ถึง ๑๘ สำหรับคนบาป ล่อลวงเอาทรัพย์ผู้อื่นมาเป็นของตัว
ภายหลังจากตื่นจากสุบิน พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ (ศรัทธา = ความเชื่อมั่นในสิ่งที่ดีงาม) รู้สึกหวาดกลัวสำนึกถึงบาปบุญคุณโทษ รู้สึกผิด ชอบชั่วดี ทำให้พระองค์มีความศรัทธาเชื่อมั่นในพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก และต้องการส่งเสริมให้ประชาชนรู้จักและศึกษาพระพุทธศาสนาจึงมี พระประสงค์ที่จะอาราธนาพระไตรปิฎกมายังเมืองจีน
พระถังซัมจั๋ง (ขันติ - ความอดทนเพื่อบรรลุสิ่งที่ดีงาม) ขันอาสา ที่จะจาริกไปไซที (อินเดีย = นิพพาน) เพื่อไปเข้าเฝ้าต่อหน้าพระพักตร์ของพระยูไล (พุทธภาวะ = สัมมาทิฏฐิ) ตถาคตเจ้า ณ วัด ลุยอิมยี่ และจะได้ขออัญเชิญพระไตรปิฎกกลับมายังเมืองจีน
(ความหมายในส่วนนี้ หมายความว่า ก่อนที่จิตจะเดินทางเข้าสู่พุทธภาวะเพื่อกำหนดรู้ถึงสภาวะธรรมแห่งสัมมาทิฏฐินั้น จำต้องมี “ศรัทธา” ขึ้นก่อน และเมื่อมี “ศรัทธา” ในทางอันเป็นประเสริฐเช่นนี้แล้ว จึงจะบังเกิด ”ขันติ” ติดตามมา ในอันที่จะตั้งมั่นของจิตใน“สัจจะ” อธิษฐานที่ว่าจะทำการ หมั่นศึกษา ประพฤติ ปฏิบัติด้วยความอดทน เพื่อที่จะเดินทาง ให้บรรลุถึง สภาวะแห่งธรรม-ธรรมชาติ นั่นเอง) และทั้งหมดจึงเป็นที่มาของเรื่อง
พญามุ้ยเกาอ๋อง เห้งเจีย พญามุ้ยเกาอ๋อง หรือ ซึงหงอคง หรือ ซีเทียนใต้เซีย หรือ เห้งเจีย (ปัญญา - การหยั่งรู้ในเหตุและผลของความดี ความชั่ว) จะด้วยเจตนาของ ฟ้า ดิน (ธรรมชาติ) หรืออย่างไรไม่มีใครทราบได้ๆ สร้างลิงตนหนึ่ง (โพธิจิต-ปัญญา) ขึ้นมาจากหินก้อนหนึ่ง (ธรรมชาติไม่ได้ให้มาเพียงแต่ธาตุทั้ง ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ เท่านั้น แต่ให้ปัญญามาด้วย)
เดิมเป็นลิงสามัญ (มิจฉาปัญญา -ปัญญาที่ไม่สงบนิ่งเป็นสมาธิ เปรียบประดุจ ลิงที่ไม่สามารถนิ่งอยู่เฉยได้ ซุกซนจนเกิดความวุ่นวาย) และด้วยเจตนาของฟ้าดิน (ธรรมชาติ) อีกเช่นกัน จึงให้เจ้าลิงตนนี้ เมื่อเติบใหญ่มีอิทธิฤทธิ์กำลังกล้าแข็งขึ้น สามารถปกครองบรรดาเหล่าลิงทั้งหลาย จนลิงเหล่านั้นที่เป็นบริวารต่างพากันยกให้ลิงตนนี้ขึ้นเป็นใต้อ๋อง และฟ้า ดิน (ธรรมชาติ) ยังให้เห้งเจียตนนี้มีคุณลักษณะที่แปลกแยกออกไป จากลิงทั้งหลายคือ เป็นลิงที่มีผิวขาวเผือกผ่อง (โพธิจิตนั้นย่อมบริสุทธิ์ อยู่โดยธรรมชาติ เฉกเช่นมนุษย์ทุกผู้เกิดมา ย่อมมีจิตอันเป็นบริสุทธิ์ ครั้นเมื่อเติบใหญ่ขึ้น มักสั่งสมการเรียนรู้ทั้ง โดยสัมมาทิฏฐิ และ มิจฉาทิฏฐิ หากไม่ได้รับการอบรม ฝึกฝนบ่มเพาะ และนำไปปฏิบัติในแนวทางแห่งสัมมาทิฏฐิแล้ว การเรียนรู้ที่สั่งสมมาจะบังเกิดให้มีมิจฉาทิฏฐิรุนแรงมากขึ้น จนสัมมาทิฏฐิต้องเสื่อมถอยหายไป จิตต้องจมอยู่ในความเสื่อมของความเป็นอัตตา = ตัวกู ของกูมากขึ้นตามลำดับ)
ลิงเผือกตนนี้ หรือ พญามุ้ยเกาอ๋องปกครองลิงต่างๆเป็นปกติดีอยู่ ด้วยความเป็นลิงตามสัญชาติญาณ ที่มักไม่อยู่นิ่ง มีความทะยานอยาก ที่แสวงหาสิ่งที่อยู่สูงขึ้นไปอีก คือประสงค์ที่จะพ้นจากความชรา ต้องการความเป็นอมตะ จึงพุ่งทะยานออกจากถ้ำจุ้ยเลี่ยมต๋อง สืบหาธรรมวิเศษ เดินทางไปจนถึงไซทีแต่ไม่พบผู้ใด (ไซทีหรืออินเดีย = นิพพาน แต่เนื่องจากยังเป็นมิจฉาปัญญาอยู่ ทำให้ไม่เข้าใจในนิพพาน พบเห็นแต่เพียงว่าเป็นความว่างเปล่า = คือการไม่พบผู้ใด) จนในที่สุด ได้ไปถึงเกาะลังกาพบท่านโผเถโจ๊วซือ ( โจ๊วซือ = สังฆนายก)
เมื่อท่านโผเถโจ๊วซือถามไถ่ที่มาที่ไปของพญามุ้ยเกาอ๋องแล้ว จึงรู้ว่าลิงเผือกตนนี้ยังไม่มีชื่อ ดังนั้นท่านโผเถโจ๊วซือ จึงคิดตั้งชื่อให้ว่า “ซึงหงอคง” ซึงหงอคงได้เรียนรู้วิชาจากท่านโผเถโจ๊วซือจนสามารถ แปลงกายได้ ๗๒ อย่าง (สภาวะธรรม ๗๒ อย่าง, ส่วนโป้ยก่ายแปลงกายได้ ๓๖ อย่าง รวมกัน แปลงกายได้ ๑๐๘ อย่าง เท่ากับจำนวนตัณหา ๑๐๘ ส่วนซัวเจ๋ง อนันตริก สมาธิ นั้นแปลงกายไม่ได้เลย) และขนของซึงหงอคง ที่มีอยู่ ๘๔,๐๐๐ เส้น (ปริยัติใน ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์) ทุกเส้นแปลงเป็นลิงได้ จึงทำให้มีอิทธิฤทธิ์เพิ่มมากขึ้นด้วยสุตตพละ (กำลังความสามารถที่เกิดขึ้นจากการ ฟัง,การเรียน) ทำให้สามารถฆ่าปีศาจ (กิเลส ตัณหา) คือ ความไม่รู้ (อวิชชา) ซึ่งต่อมานับเป็นประโยชน์ยิ่งในการเดินทางไปไซที เมื่อเรียนรู้วิชาจนหมดสิ้นแล้ว จึงขอลาอาจารย์กลับมายังถ้ำจุ้ยเลี่ยมต๋อง แล้วตั้งตนเป็นใหญ่ในหมู่ปีศาจทั้งหลาย
อยู่มาได้ระยะเวลาหนึ่ง ซึงหงอคงเห็นว่าอันความสามารถของตน นั้นถ้าหากได้อาวุธวิเศษมาคู่กายน่าจะดีไม่น้อย ครั้งแรกแสวงหาอาวุธ ที่ทำด้วยเหล็กมาได้ถึง ๑๘ อย่าง ( คือ ความเข้าใจชัดถึงมูลธาตุ ๑๘ ได้แก่ อินทรีย์ ๖ ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อารมณ์ ๖ ได้แก่ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ และ วิญญาณ ๖ ได้แก่ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ และ มโนวิญญาณ)
แต่ยังรู้สึกว่าเป็นเพียงอาวุธธรรมดา หามีฤทธิ์เดชเหมาะสมกับความสามารถอย่างตนไม่ ตนนั้นสมควรที่จะมีอาวุธที่วิเศษกว่านี้ จึงดำดิ่ง ลงใต้บาดาลไปขออาวุธจากพระยาเง่าก๊วงเล่งอ๋อง (ฉันทะ) เทพผู้รักษาท้องทะเล กับน้องทั้ง ๓ คือ เง่าคำเล่งอ๋อง (วิริยะ) เง่าหยุนเล่งอ๋อง (จิตตะ) และเง่าสุนเล่งอ๋อง (วิมังสา) รวมเป็น ๔ เทพผู้รักษาท้องทะเล (ผู้เป็นใหญ่ในน้ำทั้ง ๔ หมายถึง คุณธรรมที่มีคุณสมบัติเยือกเย็น ได้แก่ อิทธิบาท ๔ = ทางแห่งความสำเร็จ ๔ ประการ ประกอบด้วย
๑. ฉันทะ-ความพอใจรักใคร่ในสิ่งนั้น
๒. วิริยะ-ความพยายามทำสิ่งนั้น
๓. จิตตะ-ความเอาใจฝักใฝ่ในสิ่งนั้น
๔. วิมังสา-การพิจารณาใคร่ครวญหาเหตุผลในสิ่งนั้น)
ซึงหงอคงแสดงอิทธิฤทธิ์ให้เทพทั้ง ๔ เห็นเป็นประจักษ์ เทพทั้ง ๔ จึงมอบอาวุธวิเศษให้มา ได้แก่ รองเท้าทำด้วยใยบัว ใส่แล้วเหาะเหิน เดินอากาศได้ เกราะทองคำ สามารถป้องกันอาวุธได้ หมวกทองคำปีกหงส์ สวมศีรษะแล้วแคล้วคลาดจากภัยทั้งปวง (โพธิจิตนั้น พลิกผันแปรเปลี่ยนได้รวดเร็ว ไม่มีใครสามารถจับได้ไล่ทัน) นอกจากนี้ ยังทำให้มีความสามารถตีลังกาได้ไกลถึง ๑๘,๐๐๐ โยชน์ เป็นระยะทางจากเมืองไต้ถังถึงไซที (โพธิจิตสามารถเข้าถึงนิพพานได้ เพียงขณะจิตเดียว) แต่ซึงหงอคงยังหาพอใจไม่ พระยาเล่งอ๋องจึงแนะว่า ให้ดำดิ่งลึกลงไปสู่สะดือทะเล แล้วจะพบอาวุธวิเศษอยู่
ณ ก้นทะเลซึงหงอคงได้พบตะบองยักษ์ฝังค้ำยันทะเลกับท้องฟ้าไว้อยู่ ซึงหงอคงตรงเข้าใช้พละกำลังโยกถอน จนสะเทือนเรือนลั่นไปทั่วทั้งท้องทะเล ใต้บาดาล ขุมนรก และสวรรค์ชั้นฟ้า ในที่สุดสามารถโยกถอนตะบองยักษ์ออกมาได้
อาวุธวิเศษนี้ คือ ตะบองวิเศษ ยู่อี่กิมซือเป๋ง (แปลว่า ตะบองปลอกทองได้ดังใจ) ที่มีน้ำหนักถึง ๑๓,๕๐๐ ชั่ง ตะบองยู่อี่นี้ใหญ่เล็กยืดได้หดได้ดังใจนึก สามารถเล็กจนเก็บเหน็บไว้ในรูหูได้ (เปรียบดังจิตมนุษย์ที่เปลี่ยนแปลงไปมาอย่างรวดเร็ว นึกคิดจะทำอะไรต่างๆ ทั้งการใหญ่และเล็กได้ดังใจนึก)
เมื่อได้อาวุธสมใจแล้ว ก็บุกตะลุยลงไปยังขุมนรก ซึ่งเป็นดินแดนของเงี่ยมฬ่ออ๋อง (มัจจุราช = กิเลสอันละเอียดที่เกิดมาพร้อมกับชีวิต แต่กบดานอยู่ภายในจิต คือโอฆะ ๔ = วังวนแห่งการเวียนว่ายตายเกิด ได้แก่
๑. กาม-ความอยาก ความใคร่
๒. ทิฏฐิ-ความเห็นผิด
๓. ภพ-ภาวะชีวิตของสัตว์ มี ๓ ภพ ได้แก่ กามภพ รูปภพ และ อรูปภพ
๔. อวิชชา-ความไม่รู้จริง มีด้วยกันทั้งสิ้น ๘ อวิชชา ได้แก่ความไม่รู้ใน ๘ เรื่อง คือ
(๑.) ทุกข์-สภาวะที่ไม่สามารถทนอยู่ในสภาพเดิมได้
(๒.) สมุหทัย-เหตุทำให้เกิดทุกข์
(๓.) นิโรจน์-การดับทุกข์
(๔.) มรรค-หนทางแห่งการดับทุกข์
(๕.) อดีต-เวลาที่ล่วงผ่านไปแล้ว
(๖.) อนาคต-เวลาที่ยังมาไม่ถึง
(๗.) ทั้งอดีตและอนาคต-เวลาที่ล่วงผ่านเลยไป และยังมาไม่ถึง
(๘.) ปฏิจจสมุปบาทสภาพแห่งทุกข์ที่เกิดขึ้น เพราะเหตุแห่งปัจจัยต่อเนื่องกันมา)
เมื่อถึงขุมนรก ซึงหงอคงตรงเข้าทำการลบบัญชีตายของตน และบริวารเสียสิ้น (หมายความว่า โพธิจิตนั้นไม่มีวันแตกดับ)
พระยาเล่งอ๋อง และพระยาเงี่ยมฬ่ออ๋อง จำต้องพากันหนีขึ้นไปบนสวรรค์ ยื่นฎีกาต่อเง็กเซียนฮ่องเต้ (ผู้เป็นใหญ่บนสวรรค์ = ปรมัตถธรรม อภิธรรม ธรรมที่ยิ่งใหญ่) พระองค์จึงมีบัญชา ให้จับตัวซึงหงอคงมาลงโทษ แต่ท่านพรหมท้ายเสียงเล่ากุน(อุเบกขา = วางใจให้เป็นกลางไม่เอนเอียงด้วยความชอบหรือชัง เป็นความรู้สึกเฉยๆไม่สุข ไม่ทุกข์) ออกอุบายว่า ซึงหงอคงนั้นมีฤทธิ์มากเพียงแต่มีความทะยานอยาก หากมอบตำแหน่งสักอย่างให้ซึงหงอคง น่าจะเป็นการเพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องสู้รบกัน อีกทั้งยังจะได้ซึงหงอคงมาอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของสวรรค์อีกด้วย เป็นการทดใช้พลังเถื่อนของโพธิ์ให้มาสู่ฝ่ายสวรรค์ (บุญ = ความประพฤติชอบ ทางกาย วาจา และใจ) จะได้ป้องกันไม่ให้โพธิจิต ไปคบหาสมาคมกับภูตผี มิฉะนั้นอาจจะเป็นภัยต่อสวรรค์ในภายหลังได้
เง็กเซียนฮ่องเต้ดำริได้จึงได้ถ่ายทอดคำสั่งแต่งตั้งให้ซึงหงอคงไปเป็นแม่กองเลี้ยงม้า “เป๊กเบ้อุน” (เลี้ยงม้า กวาดขี้ม้า) ครั้งแรกเมื่อได้ฟัง เห้งเจีย ดีใจมากที่สวรรค์มอบตำแหน่งสำคัญให้ตน ให้รู้สึกยินดียิ่งรีบรุดขึ้นสวรรค์ เพื่อไปรับตำแหน่ง
หลังจากรับตำแหน่งแล้ว อยู่ไปๆจึงเริ่มรู้นึกคิดได้ในภายหลังว่า ตำแหน่งที่ตนได้รับการแต่งตั้งนั้น เป็นเพียงแม่กองเลี้ยงม้าเท่านั้น จึงนึกรู้ได้ว่าตนโดนหลอกแล้ว คิดว่าความสามารถของตนนั้นมีมากมาย แต่กลับให้มาเลี้ยงม้า
คิดดังนั้นจึงโกรธทำลายสิ่งของต่างๆ แล้วเหาะกลับมายังที่อยู่ของตน ที่ถ้ำจุ้ยเลี่ยมต๋อง (โพธิจิตที่ยังเถื่อนด้วยมิจฉาทิฏฐิอยู่นั้น ย่อมหาพอใจเพียง บุญที่ไร้เกียรติไม่) ฝ่ายปีศาจตระกูลต๋อกกั๊ก ๒ ตน (ได้แก่ มานะ = การถือตน กับ อติมานะ = ถือตนจนข่มผู้อื่น ถือตัวว่าเหนือเขา) ได้ทีเข้ามาสวามิภักดิ์ แล้วยุยงซ้ำเติมอีกว่า ความสามารถอย่างท่านนั้นยิ่งใหญ่นัก สมควรจะเป็นซีเทียนไต้เซีย (แปลว่าเป็นใหญ่เสมอฟ้า) จึงจะถูกต้อง ซึงหงอคงได้ฟังเป็นที่ชอบใจในคำเรียกหานี้ยิ่งนัก
เมื่อเป็นดังนี้ ทางเง็กเซียนฮ่องเต้จอมสวรรค์ เห็นซึงหงอคงบังอาจที่ไม่แยแสต่อตำแหน่งที่สวรรค์แต่งตั้งให้ แถมทำลายข้าวของ แล้วยังไปสมคบกับปีศาจอีก อีกทั้งยังตั้งตนเองเป็นซีเทียนใต้เซียอีกด้วย จึงสั่งถักทะลีทีอ๋อง (กุศล = ผลบุญจากการทำความดี สภาวะจิตที่ดีขึ้น สูงขึ้น) แม่ทัพสวรรค์พร้อมโลเฉีย (เจตสิก = ธรรมที่ประกอบกับและปรุงแต่งจิต) ลงไปปราบซึงหงอคง (ใช้พลังของ บุญกุศลไปน้อมนำให้โพธิจิตเข้าใจในความดี การทำดี) ซึงหงอคงบอกว่า ตนจะยอมสวามิภักดิ์ต่อสวรรค์ก็ได้ ถ้าหากแต่งตั้งให้ตนเป็น ซีเทียนไต้เซีย (ใหญ่เสมอฟ้า)
โลเฉีย (เจตสิก = ธรรมประกอบและปรุงแต่งให้กับจิต) ได้ฟังแล้วโกรธ จึงเข้าสู้รบแต่จะแสดงอิทธิฤทธิ์ใดๆ ซึงหงอคงสามารถแปลงกาย ในรูปแบบต่างๆสู้ได้หมด หนำซ้ำยังตลุยรุกไล่จนสามารถตีกองทัพสวรรค์พ่ายแพ้กลับไป ซึ่งหงอคงหรือซีเทียนไต้เซีย (มิจฉาปัญญา) ได้ใจในชัยชนะ จัดงานเฉลิมฉลองกันเป็นการใหญ่ ทั้งลิง (โพธิจิต หรือ ปัญญา การหยั่งรู้ในเหตุและผลของความดี ความชั่ว) และผี (กิเลส ความชั่ว ที่แฝงอยู่ในจิต) จึงคบหากันสนิทสนมแนบแน่นยิ่งขึ้น
ทางสวรรค์ต้องการทดใช้พลังของโพธิจิต ให้ไปสู่หนทางบุญให้ได้ ในที่สุดจึงยอมแต่งตั้งซึงหงอคงให้เป็นซีเทียนไต้เซียตามที่ต้องการ แต่ไม่มอบกิจธุระใดๆให้กระทำ เพียงให้แต่ตำแหน่งเท่านั้น เพื่อให้เป็นไปตามอัสมิมานะ(การถือตน) ของซึงหงอคง (มิจฉาปัญญา) และยังให้สร้างหอขึ้น ๒ หอ คือ หอเย็นระงับใจ และ หอเก็บรักษาอารมณ์
นอกจากนั้นยังประทานสุราที่บรรดาเซียนดื่มกินให้ ๒ คนโท (คือ ปิติ = ความอิ่มใจที่เกิดขึ้นจากการระงับใจ และ สุข = ความสำราญในการเก็บรักษาอารมณ์) พร้อมด้วย ดอกไม้ทองคำสิบกิ่ง (หมายถึง กุศลกรรม ๑๐ บท คือ การกระทำความดี ๑๐ อย่างได้แก่ กายกรรม (กาย) ๓ อย่าง วจีกรรม (วาจา) ๔ อย่าง มโนกรรม (ใจ) ๓ อย่าง
กายกรรม ๓ อย่างได้แก่
๑.ปาณาติปาตาเวรมณี - เว้นจากการทำลายชีวิต
๒. อทินนาทานา เวรมณี - เว้นจากการถือเอาของที่เขามิได้ให้
๓. กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี - เว้นจากการประพฤติผิดในกาม
วจีกรรม ๔ อย่างได้แก่
๔. มุสาวาทา เวรมณี - เว้นจากการพูดเท็จ
๕. ปิสุณาย วาจาย เวรมณี - เว้นจากการพูดส่อเสียด
๖. ผรุสาย วาจาย เวรมณี - เว้นจากการพูดคำหยาบ
๗. สัมผัปปลาปา เวรมณี - เว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ
มโนกรรม ๓ อย่างได้แก่
๘. อนภิชฌา - ไม่โลภคอยจ้องอยากได้ของเขา
๙. อพยาบาท - ไม่คิดเบียดเบียนเขา
๑๐.สัมมาทิฏฐิ - ความเห็นชอบ ตามทำนองคลองธรรม )
เพื่อเป็นการระงับไม่ให้ซีเทียนไต้เซียทำชั่ว เมื่อซีเทียนไต้เซียได้ตำแหน่งมีที่อยู่ใหม่และยังมีคนคอยปรนนิบัติให้อย่างดี รู้สึกชอบใจยิ่ง แต่เมื่อเวลาผ่านไปได้สักระยะหนึ่ง เริ่มรู้สึกว่าตนไม่มีกิจใดๆ มีเพียงแต่ชื่อ ตำแหน่งหามีการงานที่แท้จริงใดไม่ (เพราะความสุขจากการทำบุญที่แท้จริงนั้น เพียงเป็นความอิ่มเอมใจที่ได้รับจากการทำบุญ ทำความดี นับว่าเป็นกุศล (สภาวะของจิตที่ดีขึ้น สูงขึ้น) แต่หาใช่ความสุขจากการทำบุญความดี แล้วได้รับการสรรเสริญเยินยอ หรือได้รับตำแหน่ง หรือ ได้รับชื่อเสียง เป็นการตอบแทน หากยึดถือเช่นนี้แล้ว เมื่อไม่ได้รับสิ่งตอบแทนดังกล่าวจะกลับกลายเป็นความร้อนรุ่ม ซึ่งถือเป็นอกุศล หาใช่กุศลไม่) ซึงหงอคง คิดว่าช่างน่าเบื่อเสียนี่กระไร จำต้องแสวงหาว่าบนสวรรค์มีอะไรที่ดีกว่านี้อีกหรือไม่ (โพธิจิตที่ยังเถื่อน หรือยังเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่ จึงคอยแต่จะแสวงหาว่า น่าจะมีสิ่งที่สูงค่ามากกว่าบุญกุศลเสมอ)
ดังนั้นจึงตีลังกาเข้าพบเง็กเซียนฮ่องเต้ เพื่อขอให้มอบงานให้ทำบ้าง เง็กเซียนฮ่องเต้จึงมอบให้ซีเทียนไต้เซีย ใช้เวลาว่างในการตรวจตรารักษา สวนชมพู่ ๓ สวน (ไตรปิฎก) โดยมีนางฟ้า ๗ องค์ เป็นพนักงานเก็บชมพู่ (พระอภิธรรมปิฎก มีด้วยกัน ๗ คัมภีร์ ได้แก่ ๑ธัมมสังคณี ๒วิภังค์ ๓ธาตุกถา ๔ ปุคคลบัญญัติ ๕กถาวัตถุ ๖ยมก ๗ปัฏฐาน) เมื่อได้งานเฝ้าสวนชมพู่ไม่นาน ซีเทียนไต้เซียลอบเข้าไปในสวนแอบกินชมพู่ทุกวัน
ซีเทียนไต้เซียแอบกินชมพู่ที่มีอยู่จนหมด แล้วอยู่มาวันหนึ่ง มีการเตรียมงานเลี้ยงของบรรดาเซียน ซีเทียนไต้เซียเห็นว่านางฟ้า กำลังเตรียมอาหารทิพย์ สุราทิพย์ (สุขในบุญ ชวนให้มึนเมา) ให้บรรดาเซียนได้ดื่มกิน จึงเสกให้นางฟ้า ทั้ง ๗ ให้ไม่รู้สึกตัว แล้วแอบเข้าไปกินอาหารทิพย์ สุราทิพย์ในงานเลี้ยงจนมึนเมา หลงพลัดเข้าไปในเขตของท่านพรหมท้ายเสียงเล่ากุน(อุเบกขา) พบเห็นของวิเศษมากมาย เลยเแอบขโมยกินยา อายุวัฒนะ และยาวิเศษต่างๆ ที่อยู่ในคนโททั้ง ๕ ใบ (๑.วิตก = การคิด ปักจิต ลงสู่อารมณ์ ๒. วิจาร = การตรอง พิจารณาอารมณ์ ๓. ปิติ = ความอิ่มใจ ๔. สุข = ความสำราญใจ ๕. เอกัคคตา = จิตแน่วแน่อยู่ในอารมณ์เดียว หรือสมาธิ ซึ่งเป็นองค์แห่งปฐมฌาน) ซีเทียนไต้เซียรู้ตัวว่าได้ทำความผิด จึงเหาะหนีลงมาอยู่ที่ถ้ำจุ้ยเลี่ยมต๋องตามเดิม
เง็กเซียนฮ่องเต้ทรงทราบ จึงสั่งให้ทัพสวรรค์โดยถักทะลีทีอ๋อง (กุศล ความดีงาม) แม่ทัพสวรรค์ พร้อมโลเฉีย (เจตสิก ธรรมปรุงแต่ง ประกอบจิต) ปุดเฉีย(ทาน การให้) ท้าวกิมกัง จัตรุโลกบาล (กัลยาณมิตร ๔) ทัพดาวยี่สิบแปดดวง (รูป ๒๘ = สภาวะที่เปลี่ยนไปด้วยเหตุแห่งปัจจัย ต่างๆ) ดาวทั้งเก้า (สัตตาวาส ๙ = ภพที่อยู่ของสัตว์) สิบสองง่วนสิน (สันโดษ ๑๒ = ความยินดีของตนที่ได้มาด้วยความเพียร ๑๒ ประการ) ในขณะ เดียวกัน ทางซีเทียนไต้เซีย มีปีศาจต๊อกกั๊กกุยอ๋อง (มานะ = ถือตน, อติมานะ = ถือตนจนข่มผู้อื่น) เป็นทัพหน้า ปรากฏว่าทัพสวรรค์พ่ายแพ้ยับเยิน ย่อมแสดงให้เห็นได้ว่า ขณะนี้ซีเทียนไต้เซียมีความสามารถแข็งกล้ามากขึ้น เพราะได้กินชมพู่จากสวนชมพู่ ๓ สวน (ไตรปิฎก) สะกดนางฟ้าทั้ง ๗ (อภิธรรม ๗ คัมภีร์) ชมพู่ทิพย์ ๓๖๐๐ต้น (พระสูตร) อายุวัฒนะ ในคนโททั้ง ๕ (ปฐมฌาน ได้แก่ วิตก วิจาร ปิติ สุข และ เอกัคคตา) ยากที่ผู้ใดจะปราบได้อีกแล้ว
พระโพธิสัตว์กวนอิม (เมตตา = ความปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข) จึงได้เชิญยี่หนึงจินกุน พระนัดดาของเง็กเซียนฮ่องเต้ ร่วมกับพี่น้องทั้ง ๖ (สัมมาทิฏฐิ ๗) นำอาวุธวิเศษของพรหมท้ายเสียงเล่ากุน (สมถะ = ฝึกจิต ให้สงบเป็นสมาธิ) ขว้างลงบนหัวของซีเทียนไต้เซียทำให้อ่อนแรงลง จึง สามารถที่จะจับตัวของซีเทียนไต้เซีย(โพธิจิตเถื่อน = มิจฉาปัญญา)ได้
เมื่อจับได้แล้ว ยี่หนึงจินกุนกับพี่น้องทั้ง ๖ (สัมมาทิฏฐิ ๗ = ความเห็นว่าเที่ยง) ตรงเข้า ไปเอาอาวุธไปข่มขู่ไว้ (ข่ม) จากนั้นเอาเชือกวิเศษมาผูก(ผูก) แล้วเอามีดวิเศษมาเสียบเข้าที่กระดูกสันหลัง (เสียบ) จึงจะสามารถมัดตัวนำไปถวาย ต่อเง็กเซียนฮ่องเต้ได้ ( ข่ม ผูก เสียบ เป็นเคล็ดในการฝึกจิต)
เง็กเซียนฮ่องเต้รับสั่งให้ นำซีเทียนไต้เซียไปประหารชีวิต ปรากฏว่าไม่ว่าจะทำด้วยวิธีใด จะใช้ดาบฟัน เผาด้วยไฟ ใช้สายฟ้าฟาด ก็ไม่สามารถทำให้ซีเทียนไต้เซียตายได้ เพราะว่าซีเทียนไต้เซียได้ลบชื่อตัวเองออกจากบัญชีตายของพญาเงี่ยมฬ่ออ๋อง แล้วยังมีพลังสวรรค์จากการได้กิน ชมพู่ทิพย์ (ไตรปิฎก) นอกจากนั้นยังได้กินสุราทิพย์และยาอายุวัฒนะของพรหมเสียงเล่ากุน (อุเบกขา) อีกด้วย
เมื่อเป็นเช่นนี้ เง็กเซียนฮ่องเต้ จึงรับสั่งมอบซีเทียนไต้เซีย (โพธิ์ที่ยังเถื่อนอยู่) ให้พรหมท้ายเสียงเล่ากุนนำไปหลอมในเบ้าหลอมวิเศษ เพื่อจะได้หลอมตัวซีเทียนไต้เซียที่มียาวิเศษในตัว ทำเป็นยาอายุวัฒนะ ขึ้นมาใหม่
แต่แล้วซีเทียนไต้เซียกลับถีบเบ้าหลอมพังพินาศ เอาตะบองยู่อี่ไล่ตี หมู่เทพยดาจนหนีเตลิดเปิดเปิงไปสิ้น แล้วยังบุกเข้าไปยังที่ประทับของเง็กเซียนฮ่องเต้ หมู่ทหารเทพต่างเข้าล้อมไว้และคุมเชิงกัน หารบพุ่งอะไรกันไม่เพียงล้อมเอาไว้ เง็กเซียนฮ่องเต้เล็งเห็นว่าความสามารถของ ซีเทียนไต้เซีย ขณะนี้ไม่มีผู้ใดทานได้ ดำริได้ ดังนั้นจึงแจ้งให้เทพบุตร ไปนิมนต์พระเซ็กเกียมองนี่ฮุดโจ๊ (พระยูไล - พระพุทธเจ้า หรือ พุทธภาวะ) ณ วัดลุยอิมยี่เขตเมืองโซจ๋อก (โลกุตระ = เขตพ้นวิสัยความสุขทางโลก) ประเทศไซที (นิพพาน = การดับสิ้นของกิเลส ตัณหา) ให้เสด็จมาช่วยห้ามศึกบนสวรรค์
ครั้นเมื่อพระพุทธเจ้า (พุทธภาวะ) ทรงเสด็จมาถึงซีเทียนไต้เซีย (มิจฉาปัญญา) กำเริบเสิบสานจาบจ้วงเย้ยหยันอวดศักดา ว่าตนนั่นแหละ สมควรเป็นจอมสวรรค์แทนเง็กเซียนฮ่องเต้ (นี่แหละ มิจฉาปัญญา ความอหังการของโพธิจิตที่ยังเถื่อนอยู่) เพราะตนนั้นมีความสามารถมากทำอะไรได้ทุกอย่าง มีชีวิตเป็นอมตะ แม้แต่ตีลังกาครั้งหนึ่งได้ระยะทางถึง ๑๘,๐๐๐ โยชน์ (ระยะทางจากเมืองไต้ถัง ถึง ไซที หมายความว่า โพธิจิต สามารถบรรลุนิพพานได้ในพริบตาเดียว) พระยูไล (พุทธภาวะ) จึงต่อรองขอให้ซีเทียนไต้เซีย (โพธิจิตที่ยังเถื่อน หรือปัญญาที่ยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ) ให้แสดง อิทธิฤทธิ์ โดยให้เหาะหนีพ้นอุ้งมือของพระองค์ให้ได้ก่อน หากทำได้จึงจะมอบตำแหน่งจอมสวรรค์ให้ ซีเทียนไต้เซียคิดว่าได้ทีรีบรับคำท้าพลัน กระโดดขึ้นไปอยู่บนอุ้งมือของพระยูไล จากนั้นเริ่มกระโดดตีลังกาเหาะไปจนสุดแรง
ผ่านไปครู่หนึ่ง คิดว่าตนคงมาไกลพอสมควร ครั้นมองไปข้างหน้าพบเสาหิน ๕ ต้น (ขันธ์ ๕) ซีเทียนไต้เซียเข้าใจว่าคงเป็นรากของฟ้า คิดว่าตนคงจะมาสุดขอบฟ้าแล้วกระมัง จึงได้หยุดลงพร้อมเซ็นชื่อและปัสสาวะ ทิ้งไว้เป็นหลักฐาน ณ เสาหินนั้น จะได้กลับไปยืนยันกับพระยูไลว่าเหาะมาไกลสุดขอบฟ้า พร้อมได้ทิ้งหลักฐานเพื่อพิสูจน์ไว้แล้ว จากนั้นตีลังกากลับไปหาพระยูไล
เมื่อมาถึงยังหน้าพระพักตร์ของพระยูไล แจ้งความสิ่งที่ตนเองได้กระทำมา พระยูไลไม่ว่ากระไร เพียงแต่ขอให้หันหน้ากลับไปเหลียวมอง ดูที่นิ้วของพระองค์ แล้วซีเทียนไต้เซียจึงพบว่า ตนเองหาได้พ้นจากอุ้งมือของพระยูไลไม่ เพราะเสาหิน ๕ ต้น (ขันธ์ ๕ ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) นั้นเป็นนิ้วมือของพระยูไลนั่นเอง เพราะลายมือและปัสสาวะของซีเทียนไต้เซีย ยังปรากฏให้เห็นเป็นหลักฐานอยู่ที่นิ้วทั้ง ๕ ของพระยูไล