ผู้เขียน หัวข้อ: มองโลกผ่านจอ : From Up on Poppy Hill สงคราม ความรัก และการก้าวสู่อนาคต  (อ่าน 1183 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด





          เมื่อเอ่ยถึงแอนิเมชั่นจากค่ายจิบลิ คนดูหลายคนมักจะคิดถึงความเป็นจิบลิที่คุ้นเคยอยู่สองสามอย่าง เช่น เป็นแอนิเมชั่นที่เน้นการอนุรักษ์ธรรมชาติ, มีเรื่องราวของเทพหรือภูติ รูปร่างหน้าตาประหลาดในเรื่องราวจินตนาการเหนือจริง หรือไม่ก็ผุดชื่อของ ฮายาโอะ มิยาซากิ ขึ้นมาในฐานะผู้ก่อตั้งสตูดิโอจิบลิ และเป็นเจ้าของผลงาน My Neighbor Totoro, Spirited Away, Princess Mononoke ฯลฯ

          หากให้เลือกตัวละครและฉากที่ประทับใจจากหนังจิบลิ ก็เช่นกัน เชื่อว่า คนมักจดจำเรื่องราวหนังกลุ่มที่มีความแฟนตาซี เช่น  ตัวละครโทโทโร่ จาก My Neighbor Totoro หรือ ปีศาจไร้หน้าและเรื่องราวปรัชญาซับซ้อนใน  Spirited Away ได้มากกว่า หนังกลุ่มดราม่าที่ไม่มีความแฟนตาซีเช่น Whisper of the Heart, Only Yesterday, My Neighbors the Yamadas ซึ่งอยู่ในกลุ่มหนังดีของจิบลิ ที่ไม่ค่อยถูกพูดถึงเท่าไหร่ ทั้งที่จริงแล้วจุดเด่นอีกข้อของค่ายจิบลิคือ ความละเมียด ละเอียดอ่อน  มักปรากฏชัดในกลุ่มหลังนี้



         From Up on Poppy Hill หนังจากจิบลิเรื่องล่าสุดก็อยู่ในหมวดหลัง เป็นผลงานของ โกโระ มิยาซากิ ลูกชายของ ฮายาโอะ มิยาซากิ ซึ่งเคยล้มเหลวไปกับ Tale from the Earthsea ที่รับเสียงวิจารณ์ในทางลบไปมากสุดในยุคหลังของจิบลิ แต่ครั้งนี้เป็นการแก้ตัวที่ยอดเยี่ยม เมื่อ From Up on Poppy Hill กวาดทั้งเสียงชมจากคนดูและนักวิจารณ์ พร้อม ๆ กับกวาดรายได้ไปถล่มทลาย

          หนังเริ่มด้วยการพาเราไปสังเกตกิจวัตรของ ‘ยูมิ’ ทุกเช้าก่อนไปโรงเรียน นอกจากจะทำหน้าที่จัดเตรียมอาหารเช้าให้กับพี่น้อง ยูมิจะชักธงขึ้นเสาที่หน้าบ้าน โดยไม่รู้ว่า ทุกเช้าที่กลางทะเล ‘ชุน’ เด็กหนุ่มโรงเรียนเดียวกัน ซึ่งอยู่ในเรือของพ่อมองเห็นธงของเธอเสมอและจะส่งสัญญาณตอบรับโดยที่เธอไม่เคยรู้ จนวันหนึ่งมีคนหยิบเรื่องธงของเธอไปลงหนังสือพิมพ์ของโรงเรียน ยูมิจึงรู้ว่ามีใครคนหนึ่งเฝ้ามองเธออยู่

การชักธงขึ้นเสา คือกิจกรรมที่เธอทำอยู่หลายปี โดยมีน้อยคนที่รู้ว่า กิจกรรมนี้มีพ่อของเธอเป็นคนสอนเมื่อหลายปีก่อน  เป็นธงสัญญาณที่พ่อซึ่งเป็นกะลาสีออกเดินเรือจะสามารถเห็นกลางทะเล พ่อบอกยูมิว่า มันจะนำทางให้พ่อกลับมา จนวันหนึ่ง ที่เรือของพ่อถูกยิงจมในสงครามเกาหลี แม้รู้ว่าพ่อจะเสียชีวิต แต่ยูมิก็ยังไม่เลิกที่จะทำกิจกรรมธงสัญญาณ

          ที่โรงเรียนของยูมิ กำลังเกิดเหตุไม่สงบเล็ก ๆ เมื่อนักเรียนมัธยมรุ่นพี่มีการรวมกลุ่มเพื่อประท้วงการทุบตึกละตินควอเตอร์ ตึกเก่าแก่ของโรงเรียนที่ทำหน้าที่ เป็นบ้านของชมรมหลาย ๆ ชมรม โดยชุนเป็นหนึ่งในแกนนำ และจากการประท้วงนี่เอง ที่ทำให้ชุนได้ทำความรู้จักกับยูมิ จากอุบัติเหตุขณะประท้วง

          เมื่อยูมิอาสามาเป็นช่วยงานชมรมวรรณกรรม ร่วมประท้วงการทุบตึก ความรู้สึกของทั้งคู่ที่มีต่อกันก็ชัดเจนขึ้น ในขณะที่ความสัมพันธ์พัฒนาไปด้วยดี ชุนก็มารู้ความจริงจากภาพถ่ายพ่อของยูมิว่า เขาและเธอมีพ่อคนเดียวกัน นั่นแปลว่า ทั้งคู่เป็นพี่น้องกันแล้วมีเหตุที่พลัดพรากมาตั้งแต่ยังเล็ก



        กลิ่นของความน้ำเน่าฟุ้งมาแต่ไกล เมื่ออุปสรรคของทั้งสองคนเหมือนละครยุคโบราณที่ไม่อาจรักกันได้เพราะความเป็นพี่น้อง แต่จิบลิ ก็ไม่ได้ทำให้ From Up on Poppy Hill มีค่าเพียงการ์ตูนรักเชย ๆ แถมในส่วนของ ความรัก ที่อาจจะเป็นพี่ - น้อง ในตอนที่ยังไม่เฉลยแน่ชัด หนังก็ยังให้ตัวละครยืนยันความรู้สึกที่หนักแน่นของตัวเอง คล้ายกับจะบอกว่า แม้ไม่อาจใช้ชีวิตร่วมกัน แต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นไม่ใช่สิ่งผิด เพราะพวกเขาไม่ได้รู้อดีตของกันและกันมาก่อน การเลือกช่วงเวลาปี 1963 แฝงความหมายที่หนังต้องการสื่อนอกเหนือไปจากแง่มุมความรัก คือการพูดถึงการก้าวไปข้างหน้าของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งบังเอิญก็เป็นช่วงเวลาก่อนหน้าเหตุการณ์ในหนัง Always: Sunset on Third Street '64 ที่เข้าฉายไล่เลี่ยกัน และมีความหมายที่แฝงไว้คล้ายกัน

          เพราะปี 1964 คือหลักไมล์สำคัญของญี่ปุ่นเมื่อพวกเขากำลังจะรับผิดชอบเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิคเป็นครั้งแรกที่กรุงโตเกียว เป็นงานใหญ่ระดับโลกหลังจากที่เพิ่งพ่ายสงครามและประเทศอยู่ในช่วงฟื้นฟู

          สายตาของคนทำหนัง From Up on Poppy Hill  ค่อนไปทางอนุรักษนิยม ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาโดยเน้นรักษารากเหง้าดั้งเดิม โดยใช้การอนุรักษ์ตึกของฝ่ายพระเอกเป็นสัญลักษณ์ ซึ่งไม่ว่าคนดูจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ตาม แต่มันก็ชวนให้เราฉุกคิดถึงมูลค่าของการเปลี่ยนแปลง ในช่วงเวลาที่เราอาศัยในโลกยุคที่ทุกอย่างถูกผลักดันด้วยทุนและหมุนเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

         จุดสมดุลระหว่าง การรักษารากเหง้า และการเดินหน้าเพื่อให้ทันคนอื่น อยู่ตรงไหน? เราจะใช้อะไรเป็นตัวชี้วัดว่าอะไรควรอนุรักษ์ อะไรควรถูกเปลี่ยนแปลงและทดแทนด้วยสิ่งใหม่?

          สิ่งของหรือสถานที่ทุกอย่างล้วนมีมูลค่า แต่มูลค่าแค่ไหนที่ควรปกป้อง เช่น ตึกใน From Up on Poppy Hill ที่ฝ่ายอนุรักษ์พยายามเก็บรักษาไว้ด้วยเหตุผลว่า หากคนรุ่นก่อน ๆ ได้มาเห็น พวกเขาจะยังสามารถระลึกถึงได้ เพราะเป็นสถานที่เต็มไปด้วยความทรงจำ

          คำถามที่น่าคิดคือ มูลค่าในแง่ความรู้สึกหรือความทรงจำมีค่ามากแค่ไหนที่เราจะปกป้องไม่ให้ทำลายของเก่าเพื่อสร้างของใหม่ วัดกันที่จำนวนคนที่ผูกพัน หรือวัดที่ความเหนียวแน่นที่ผู้คนมีให้ ฯลฯ

          เพราะหากใช้เกณฑ์แค่ว่า เราไม่ควรทุบเพราะมีความทรงจำ ก็เท่ากับว่า เราไม่สามารถพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หรือสร้างสิ่งใหม่ ๆ ได้เลย เนื่องจากทุกสถานที่ล้วนมีความทรงจำของคนมาเกี่ยวข้องไม่มากก็น้อย (ตึกเก่า ๆ ที่ทรุดโทรม อาจเป็นความหลังของคุณปู่ที่เคยมาพลอดรักกับย่า, สนามร้าง อาจเป็นความหลังของทีมนักฟุตบอลโรงเรียนหลายปีก่อน ฯลฯ)

          ใน From Up on Poppy Hill น้ำหนักของฝ่ายอนุรักษ์อาจจะเหนือกว่า เพราะแนวคิดของคนมาใหม่ที่ต้องการพัฒนาฟังแล้วยังอ่อนเหตุผลด้านการใช้งาน (สร้างตึกใหม่แทนตึกเก่า เพียงเพื่อให้ดูดีสำหรับการก้าวสู่ยุคใหม่) ดังนั้นแนวทางที่ฝ่ายอนุรักษ์เลือกทำคือ บูรณะตึกให้ดูดี ย่อมน่าสนับสนุนมากกว่า



          แต่หากวันหนึ่ง โครงการตึกใหม่สามารถสร้างประโยชน์ที่มากกว่าให้กับคนรุ่นถัด ๆ ไป มันคือโจทย์ที่น่าขบคิดว่า เราควรจะยืนหยัดปกป้องการทุบทิ้งเพื่อความทรงจำอยู่อีกหรือไม่ แลกกับโอกาสที่คนรุ่นใหม่จะได้อะไรจากสิ่งที่พัฒนา

          และก็เป็นเช่นอีกหลายเรื่องของจิบลิ ที่แนวคิดต่อต้านสงครามจะถูกสอดแทรกมา เพียงแต่ไม่ได้เป็นฉากหลังที่เด่นชัดเจนแบบใน สุสานหิ่งห้อย (Grave of the Fireflies) แต่ก็มีบทบาทสำคัญแทรกอยู่ตั้งแต่ตอนต้น เพราะในความน่าสงสารที่เรามีให้ยูมิล้วนเป็นผลมาจากสงคราม

          การที่เธอยังคงชักธงสัญญาณขึ้นเสา ไม่ใช่การหลอกตัวเองว่าพ่อยังมีชีวิตอยู่ แต่เป็นกิจกรรมเดียวที่ยังทำให้เธอรู้สึกว่าพ่อยังอยู่กับเธอ ส่งสัญญาณให้พ่อที่ไม่มีวันกลับมา หากยังมีโอกาสรับรู้ ได้รู้ว่าเธอยังคงคิดถึงพ่ออยู่เสมอ
          ความโหดร้ายของสงครามถูกย้ำอีกครั้งในช่วงท้าย เมื่อเราได้รับรู้มิต
รภาพของคนรุ่นพ่อแม่ เรื่องของสามเพื่อนสนิทที่น่าจะมีโอกาสใช้ชีวิตพาลูก ๆ มาเล่นด้วยกัน น่าจะได้ใช้ชีวิตบั้นปลายสังสรรค์เฮฮากัน แต่สงครามทำให้พวกเขาต้องพบหลายอย่างที่ไม่สามารถควบคุมได้ ความตายทำให้ลูกของพวกเขาไม่มีพ่อ มิตรภาพที่เหนียวแน่นส่งต่อการรับผิดชอบในฐานะ ’พ่อ’ ไปยังอีกคน

          สามส่วนประกอบในหนังผสมผสานเดินหน้าไปด้วยกันอย่างลงตัว (ความรักหนุ่มสาว, การพัฒนาชาติให้ทันสมัยแต่พยายามรักษารากเหง้า และความโหดร้ายของสงคราม) และประสบความสำเร็จในการเล่นกับอารมณ์คนดู ด้วยความเรียบง่ายแต่กินใจ หลายฉากแทบจะไม่ได้มีรายละเอียดอะไรมาก เช่น ฉากขี่จักรยานไปซื้อของของพระเอกนางเอกที่แทบจะไม่ได้มีเรื่องราวอะไร แต่กลับทำให้คนดูยิ้มและมีความสุข ราวเวลารอบตัวหยุดเดินไปพร้อมกับทั้งคู่

          บทเพลงที่เลือกมาในแต่ละช่วง ทั้งเพิ่มความงดงามและเติมความเศร้าให้กับหนัง โดยเฉพาะเพลงสุดท้ายช่วงหนังจบ ราวกับเป็นเวทมนตร์ของจิบลิ ที่สามารถเล่นงานต่อมน้ำตาคนดูได้อย่างเด็ดขาด เหมือนที่เคยทำมาแล้วตอนฉากจบใน Only Yesterday ด้วยหลายเหตุผลที่ยกมา From Up on Poppy Hill จึงเป็นหนังอีกเรื่องจากจิบลิ ที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง

จาก http://www.all-magazine.com/ColumnDetail/allColumDetail/tabid/106/articleType/ArticleView/articleId/2699/-From-Up-on-Poppy-Hill--.aspx




<a href="https://www.youtube.com/v/k-vfzhfq5JA" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">https://www.youtube.com/v/k-vfzhfq5JA</a>


<a href="https://www.youtube.com/v/hHJXf7iLQOI" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">https://www.youtube.com/v/hHJXf7iLQOI</a>


<a href="https://www.youtube.com/v/q8tMwUD7g18" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">https://www.youtube.com/v/q8tMwUD7g18</a>

" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...