อำนาจทิพย์สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต)คัดจากหนังสือของคุณทองทิว สุวรรณทัต
โพสท์ในเวบลานธรรม โดย คุณ: ยุ เมื่อวันที่ 12 ก.ค. 2545
www.larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/005743.htmวันนี้จะขอเล่าเรื่องเกี่ยวกับความอัศจรรย์อันเป็นผลจากการปฏิบัติธรรมให้ท่านทั้งหลายได้ฟังสักเรื่อง เพราะความมหัศจรรย์ในพระธรรมนั้นมีอเนกประการจนบางครั้งดูจะเหลือเชื่อ แต่ถ้าท่านมีประสบการณ์เกี่ยวแก่เกจิอาจารย์บางรูป แล้วจะเห็นว่า สิ่งที่ท่านไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะเป็นไปได้นั้น ยังมีอยู่!
ยกตัวอย่างสมัย สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังษี ซึ่ง มหาอำมาตย์พระยาทิพโกษา (สอน โลหะนันท์) บันทึกไว้และท่านพระครูปลัดมหาเถรานุวัตร (มหาแพ) จัดพิมพ์เป็นธรรมทานในคราวสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี มีใจความอยู่ตอนหนึ่งว่า
ปีฉลู เอกศก จุลศักราช 1191 ทูลกระหม่อมองค์ใหญ่ไม่สำราญพระหฤทัยในวัดมหาธาตุ จึงทรงกลับมาประทับ ณ พระตำหนักเดิมวัดสมอราย ในศกนี้เอง พระมหาโต มีอายุ 54 ปี พรรษา 32 อยู่วัดมหาธาตุ มีผู้มาบอกข่าวว่า โยมผู้หญิงอยู่ทางเหนือป่วยหนัก ท่านขี่เรือเสาขึ้นไป พร้อมกับนำเรือสี (เรือกัญญาหลังคาสี ที่ได้รับพระราชทาน) ไปด้วย เพื่อจะพายอวดโยมของท่าน แต่โยมถึงแก่อนิจกรรมเสียก่อน ท่านก็ทำฌาปนกิจเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงแบ่งทรัพย์มรดกของโยมแก่บรรดาญาติและหลานๆ ที่ยังเหลือเป็นเงินทองก็นำมาถึงอำเภอป่าโมก จังหวัดอ่างทอง ณ ที่วัดขุนอินทร์ประมูล ท่านก็เอาทรัพย์นั้นออกสร้างพระนอนมีลักษณะงดงามองค์หนึ่งยาวมากสร้างอยู่หลายปีจึงสำเร็จ
ต่อจากนั้นท่านก็เป็นพระสงบมีจิตแน่วแน่ต่อญาณคติมีวิถีจิตแน่วไปในโลกุตรภูมิ ไม่ฟุ้งซ่านโอ่อ่า เจียมตัวเจียมตนเทศน์ได้ปัจจัยมาสร้างพระนอนจนหมด ท่านทำซอมซ่อเงียบๆ สงบปากเสียงมา 25 ปี ตลอดรัชสมัยของแผ่นดินพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
ครั้นถึงปีกุน ยังเป็นโทศก จุลศักราช 1212 วันพุธ ขึ้น 1 ค่ำ 8 ทุ่ม 5 บาท
สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่เสด็จสวรรคต สิริพระชนมายุได้ 63 พรรษากับ 11 วัน ดำรงอยู่ในราชสมบัติ 25 ปี 7 เดือน 23 วัน พระมหาโตอายุได้ 64 ปี 42 พรรษา
พวกข้าราชการได้ทูลอัญเชิญเสด็จทูลกระหม่อมพระราชาคณะวัดบวรนิเวศวรวิหาร ให้เสด็จนิวัติออกเถลิงราชย์ พระมหาโตเลยธุดงค์หนีหายไปหลายเดือน
ครั้นทรงระลึกได้จึงรับสั่งให้หาตัวมหาโตก็ไม่พบ ก็ทรงกริ้วสังฆการี รับสั่งว่า
"ท่านเหาะก็ไม่ได้ ดำดินก็ไม่ได้ แหกกำแพงจักรวาลหนีก็ยังไม่ได้" จึงรับสั่งให้พระญาณโพธิ์ออกติดตามก็ไม่พบ ก็รับสั่งว่า
"ฉันจะตามเอง"
ครั้นถึงเดือนเจ็ดปีนั้น มีกระแสรับสั่งถึงเจ้าเมืองฝ่ายใต้ ฝ่ายเหนือ ตะวันตก ตะวันออก ทั่วพระราชอาณาจักร จับพระมหาโต ส่งมายังเมืองหลวงให้ได้ ให้เจ้าคณะเหนือ กลาง ใต้ ตก ออก ออกค้นหามหาโต เลยสนุกกันใหญ่ ทั้งฝ่ายพุทธจักร อาณาจักรแม้จะมีท้องตราเร่งรัดอย่างไร ก็ยังเงียบอยู่ เจ้าเมืองเจ้าหมู่ฝ่ายพระร่วมใจกันจับพระอาคันตุกะทุกรูปส่งยังศาลากลาง
คราวนี้พระมหาโตลองวิชาเปลี่ยนหน้า ทำให้คนรู้จักกลับจำไม่ได้ เห็นเป็นพระรูปอื่น ปล่อยท่านไปก็มี (อาคมชนิดนี้พระอาจารย์เจ้าเรียกว่า นารายณ์แปลงรูป)
ต่อมาท่านพิจาณาเห็นว่านายด่านนายตำบล เจ้าเมือง กรมการ จับพระไปอดเช้าบ้าง เพลบ้าง ตากแดด ตากฝน ได้รับความลำบาก ทำทุกข์ทำยากแก่พระสงฆ์คงไม่ดีแน่ จึงแสดงตนให้กำนันบ้านไผ่รู้จัก จึงส่งตัวมายังศาลากลาง
เจ้าเมืองมีใบบอกมายังกระทรวงธรรมการ กระทรวงธรรมการบอกข่าวส่งไปยังวัดโพธิเชตุพนฯ พระญาณโพธิ์ ขึ้นไปดูตัวก็จำได้ แล้วคุมตัวลงมาเฝ้า......ฯลฯ
ถ้าจะพูดตามพระธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว สมเด็จพระพุฒาจารย์โต หาได้ใช้อาคมนารายณ์แปลงรูปไม่ แต่ท่านได้ใช้อิทธิวิธีโดย วิกุพพนาฤทธิ์ กล่าวคือ ฤทธิ์ที่ต้องทำอย่างผาดแผลงนั่นเอง เช่นเดียวกัน อภิทู พระสาวกของพระสิขีพระพุทธเจ้า ที่ชอบแปลงกายเป็นรูปต่างๆ
ทั้งนี้แสดงว่าท่านปฏิบัติธรรมอย่างเอกอุ จนได้วิชชา 8 ประดับสติปัญญาแล้ว เพราะความดังกล่าวได้บอกไว้ว่า ก่อนที่สมเด็จพระนั่งเกล้าเสด็จสวรรคต สมเด็จหลวงพ่อโตเก็บตัวแต่ในกุฏิ สงบปากคอไม่ฟุ้งซ่าน ตั้งใจปฏิบัติจนมีจิตแน่วแน่ต่อญาณคติมีวิถีจิตแน่วไปในโลกุตรภูมิซึ่งหมายถึงได้ญาณสมบัติขั้นสูงสุดทีเดียว
หรืออย่าง พระครูวิโรจน์ธรรมาจารย์ (หลวงพ่อพระมหาปิ่น ชลิโต)ซึ่งได้มรณภาพไปแล้วนั้น หลวงปู่ดูลย์ มาอาพาธอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราชหลายปีมาแล้ว หลวงพ่อมหาปิ่นทราบข่าวก็ใคร่จะไปเยี่ยมอาการ ครั้นถึงเวลาเย็นท่านก็รีบเข้ากุฏิ แล้วปิดประตูเงียบ มิได้โผล่ออกมาเลยจนพลบค่ำ ลูกศิษย์ของท่านสงสัยว่าเห็นหลวงพ่อบ่นเป็นห่วงหลวงปู่ดูลย์ ใคร่จะไปเยี่ยมแล้วมีทีท่าจะไปจริงๆ แต่แล้วเห็นปิดประตูกุฏิเงียบอยู่ จึงรอได้ถาม
ครั้นหลวงพ่อมหาปิ่นเปิดประตูกุฏิออกมาอีกครั้ง ลูกศิษย์ ก็รีบถามว่าไม่ไปเยี่ยมหลวงปู่ดูลย์แล้วหรือ ท่านก็บอกหน้าตาเฉยว่า "ไปเยี่ยมมาแล้ว เพิ่งจะกลับเมื่อครู่นี้"
ลูกศิษย์ได้ฟังดังนั้นก็เอะใจ เพราะตั้งแต่หลวงพ่อมหาปิ่นบอกแก่เขาว่าจะไปเยี่ยมหลวงปู่ดูลย์นั้นเขาก็รออยู่ด้วย เผื่อท่านจะเรียกใช้ให้ไปตามแท็กซี่ แต่ก็รอจนนานแสนนาน หลวงพ่อหายเข้าไปในกุฏิแล้วเงียบฉี่ พอเปิดกุฏิออกมาอีกครั้งบอกว่าไปเยี่ยมแล้วเช่นนี้ ดู ๆออกจะแปลกประหลาดอยู่
แต่เขาก็ทำเฉยเสีย
พอหลวงพ่อมหาปิ่นลงทำวัตรเย็น เขาก็จับแท๊กซี่บึ่งไปโรงพยาบาลทันที พอไปถึงก็เข้าไปกราบนมัสการหลวงปู่ดูลย์เรียนถามท่านว่า หลวงพ่อมหาปิ่นมาเยี่ยมอาการท่านบ้างหรือเปล่า
หลวงปู่ดูลย์ฟังแล้วยิ้ม บอกแก่เขาว่า หลวงพ่อมหาปิ่นมาเยี่ยมตอนเย็น ได้พูดคุยกันอยู่นาน เพื่งจะกลับไปเมื่อครู่นี่เอง
เขารีบกลับมาที่วัด เห็นหลวงพ่อมหาปิ่นยืนอยู่หน้ากุฏิพอพบหน้า ท่านก็ยิ้มแล้วทักว่า
"ไปโรงพยาบาลมาหรือ"
เรื่องของหลวงพ่อพระมหาปิ่นนี้ท่านใช้อธิษฐานฤทธิ์โดยติโรภาพหรือ กำบัง-หายตัวนั่นเอง
ถ้าจะพูดไปแล้วผู้เขียนก็ใคร่สารภาพว่า แต่เดิมมาผู้เขียนหาได้เชื่อถือในความมหัศจรรย์ของพระธรรมไม่ หากทว่าในปี พ.ศ. 2495-2496 เมื่อครั้งผู้เขียนยังเดินป่าอยู่กับพี่พวง (นายพวง นาไทย บ้านอยู่ อ.วัดโบสถ์ พิษณุโลก) นั้น เผอิญรถตายกลางทางจนจะค่ำมืด แล้วไปพบพระธุดงค์รูปหนึ่งซึ่งปักกลดอยู่กลางป่า พระรูปนั้นเมื่อทราบว่ารถเราเสียก็บอกหน้าตาเฉยว่า
"ไม่เป็นไรดอกโยม พอกลับไปรถก็ดีเหมือนเดิม"
ครั้นเรากราบลาท่านออกมาแล้วรีบจ้ำยังรถยนต์ที่จอดตายอยู่ พอเลี้ยวโค้งก็เห็นคนขับขึ้นนั่งบนรถลองสต๊าร์ทดู
ปรากฏว่าเครื่องติดทันที !
ผู้เขียนมาทราบภายหลังว่า พระธุดงค์รูปนั้นเขาเรียกกันว่า "ท่านพ่อลี" ซึ่งภายหลังมาอยู่วัดอโศการาม แถวๆ ปากน้ำ แต่ผู้เขียนไม่มีโอกาสไปนมัสการจนท่านมรณภาพ และมารู้เพราะศึกษาธรรมว่า ท่านมีเจโตปริยญาณ (รู้ใจคนอื่น) อันเป็นคุณวิเศษจากการปฏิบัติธรรมนั่นเอง !
เรื่องที่เล่ามาในวันนี้ยังเป็นส่วนน้อย วันหลังมีโอกาสจะนำมาเล่าให้ฟังอีก
จาก
http://www.dharma-gateway.com/misc/misc-thongtue/misc-thong-tue-index-page.htm