ผู้เขียน หัวข้อ: กายมอดไหม้ แต่หัวใจคงกระพัน ติช กว๋าง ดึ๊ก ภิกษุหัวใจโพธิสัตว์  (อ่าน 1427 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด


ทิก กว๋าง ดึ๊ก! กายมอดไหม้ แต่หัวใจคงกระพัน Ep.1

วันที่ 11 มิ.ย. 2559 วันครบรอบ 53 ปี

วันแห่งการถวายชีวิตเป็นพุทธบูชา


"ทิก กว๋าง ดึ๊ก"


พระภิกษุมหายานชาวเวียดนาม
ได้สละชีวิตด้วยการเผาตัวเองทั้งเป็น
เพื่อหยุดความเลือดเย็น และการเข่นฆ่า
ชาวพุทธอย่างอำมหิตของประธานาธิบดี
ต่างศาสนานามว่า โง ดินห์ เดียม

ยุคนั้นชาวเวียดนามนับถือ
พระพุทธศาสนากว่า 99 เปอร์เซ็นต์
ของประชากรทั้งหมด แต่พระพุทธศาสนา
ในเวียดนามใต้กลับถูกรุกรานทำลาย
อย่างหนักจากอำนาจรัฐ เนื่องจาก..

ประธานาธิบดี โง ดินห์ เดียม
เติบโตมาจากครอบครัวที่นับถือ
ศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก
อย่างเคร่งครัด บวกกับภาวสงครามเย็น
ในเวียนดนาม และการสนับสนุน
จากองค์กรศาสนาต่างชาติ



ประธานาธิบดี โง ดินห์ เดียม

ผนวกกับ โง ดินห์ เดียม เองยังมีพี่ชาย
ร่วมสายโลหิต คือ โง เดียม ถึก 
ซึ่งเป็นถึงพระสังฆราชในศาสนาคริสต์
นิกายโรมันคาทอลิก
และน้องชาย คือ โง ดิน นูห์
ก็เป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่มัวเมา
อยู่ในอำนาจแบบสุดติ่ง

ซึ่งบุคคลเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ทรงอิทธิพล
กุมอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
ที่สำคัญพวกเขาไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ
จึงได้กดขี่ข่มเหงประชาชนที่นับถือพุทธศาสนา
เหมือนเป็นคู่แค้นแสนอาฆาตข้ามชาติกันมา
นอกจากนี้ยังออกนโยบายบังคับ
ให้ประชาชนเปลี่ยนศาสนาอีกด้วย

ก่อนวันวิสาขบูชา

วันที่ 8 พฤษภาคม ปี 2506



รัฐบาลได้ออกนโยบายบังคับประชาชน
ที่นับถือพระพุทธศาสนาทุกบ้าน
ห้ามชักธงธรรมจักร ขึ้นที่หน้าบ้าน
แต่ให้เปลี่ยนเป็นธงรูปไม้กางเขนแทน

ถ้าพุทธศาสนิกชนในเมืองเว้
ยังฝ่าฝืนชักธงอันเป็นสัญลักษณ์
ทางพุทธศาสนาขึ้นหน้าบ้าน
เจ้าหน้าที่ของรัฐ ก็จะนำธงลงจากเสา
เพื่อเอาไปเผาทิ้ง แน่นอนว่า
ใครที่ยังฝ่าฝืน..
ก็จะได้รับโทษอย่างรุนแรง


แม้แต่การจัดพิธีกรรมทางศาสนา
ในเทศกาลวิสาขบูชา รัฐบาลก็ยังส่งตำรวจ
บุกเข้าไปก่อกวน กราดยิงจนเป็นเหตุ
ให้มีผู้หญิงและเด็กเสียชีวิตถึง 8 คน

เหตุการณ์นี้ได้สร้างความสะเทือนใจ
ให้เกิดขึ้นในหมู่ชาวพุทธอย่างหนักหน่วง
เกินจะรับได้ มีชาวพุทธจำนวนมาก
ออกมาเดินขบวนประท้วงเพื่อเรียกร้อง
ความเป็นธรรมและร้องขอความเท่าเทียม
รวมถึงเสรีภาพ..ในการนับถือศาสนา

แต่เสียงเรียกร้องของประชาชน

กลับถูกตอกกลับ..ด้วยเสียงปืน !






การประท้วงนอกจากจะไม่เป็นผล

ยังช่วยจุดชนวนให้รัฐบาล

ใช้วิธีปราบปรามขั้นเด็ดขาด

และทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นอีก.!


โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขับรถบรรทุก
ฝ่าเข้าไปกลางขบวนฝูงชนที่ล้วนแล้ว
แต่เป็นพระภิกษุ และแม่ชีซึ่งอยู่แถวหน้า
โดนรถทับเสียชีวิตทันที 70 รูป
ประชาชนชาวพุทธอีก 30 คน
บาดเจ็บอีกจำนวนกว่า 1 พันคน.!

ถึงจะมีการเข้าปราบปรามชาวพุทธ
ด้วยความป่าเถื่อนอย่างชัดเจนแต่
รัฐบาลประธานาธิบดี โง ดินห์ เดียม
กลับมีข้ออ้างเพื่อขโมยเอา
ความชอบธรรมมาสู่ตนเองว่า..


" มีคอมมิวนิสต์แทรกซึมปลอมตัว

เป็นพระภิกษุในศาสนาพุทธ"


จึงต้องปราบปรามให้หนักถึงขีดสุด
ทำให้พระภิกษุจำนวนมากถูกฆ่าตาย
อย่างเลือดเย็นเช่นผักปลา
วัดวาอารามถูกเผาวอดวายถ้วนทั่ว
นอกจากนี้ยังมีการออกกฎห้ามสร้าง
พระพุทธรูปเพื่อสักการะบูชา


แต่ให้นำรูปปั้นพระเยซูมาตั้งแทน
นำบาทหลวงมาอบรมข้าราชการ
และมีนโยบายเปลี่ยนแปลงคำสอน
ในพระไตรปิฎก เป็นต้น




ภาพของกลุ่มชาวพุทธที่นั่งสงบนิ่ง
เพื่อประท้วงการปราบปรามที่แสนบ้าคลั่ง
แต่กลับถูกเจ้าหน้าที่รวบตัวด้วยข้อกล่าวหา
ที่ว่า "นั่งสมาธิเพื่อด่ารัฐบาลในใจ"



วันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ.2506

วันสังเวยความอำมหิตด้วยชีวิต

ของพระภิกษุผู้ทรงศีลนามว่า..


ทิก กว๋าง ดึ๊ก

ผู้ไม่สามาถรทนเห็นความโหดเหี้ยม
ในการใช้อำนาจรัฐเข้าปราบปราม
ฆ่าฟันชาวพุทธด้วยความอำมหิต
เหมือนชาวพุทธไม่ใช่คนได้อีกต่อไป !
ท่านจึงได้ตั้งใจแน่วแน่ว่า..

จะหยุดเหตุการณ์อันแสนทารุณ
ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้..ด้วยชีวิตของท่าน.!


โดยท่านทิก กว๋าง ดึ๊ก
มุ่งเจตนาอันแน่วแน่ไปที่การเรียกร้อง
ให้รัฐบาลของประธานาธิบดี โง ดินห์ เดียม
หยุด .! การปราบปรามชาวพุทธ
และคืนความเท่าเทียมให้กับประชาชน
ที่นับถือศาสนาที่แตกต่างกัน!





วันนั้น..!
เมื่อขบวนประท้วงเดินทางมาถึง
กลางวงเวียนถนนไซง่อน
ท่านทิก กว๋าง ดึ๊ก ภิกษุวัย 73 ปี
ก้าวลงจากรถนำขบวน
ไปนั่งขัดสมาธิ  สำรวมจิต ..


ท่ามกลางพุทธบริษัท
แวดล้อมอยู่กว่า 1 พันคน
ที่ต่างก็มาร่วมกันสวดมนต์ อุทิศส่วนกุศล
ให้กับพระภิกษุ แมชี และพุทธศาสนิกชน
ที่เสียชีวิตจากการปราบปรามของรัฐบาล
ในวันที่ 8 มิถุนายน 2506

จากนั้น..
ท่านให้ภิกษุรูปหนึ่ง นำน้ำมันเบนซิน
มาราดลงบนตัวท่าน แล้วภิกษุ ทิก กว๋าง ดึ๊ก


ก็จุดไม้ขีดไฟ..เพื่อเผาร่างตัวเอง .!



แม้ไฟแผดเผา ลุกท่วม
แต่ท่าน..กลับไม่ทุรนทุราย
แม้ทุกส่วนในร่างกายเป็นเถ้าถ่าน
แต่มีสิ่งเดียวที่ไม่มอดไหม้และยังคง
สืบส่งมวลพลังศักดิ์สิทธิ์
ให้ชาวพุทธทุกคนรับรู้ถึง
ความเทิดทูนบูชา
องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
และจงหวงแหนรักษา
พระพุทธศาสนาสืบต่อไป..!


ภาพการเผาตัวเองของท่าน
 ทิก กว๋าง ดึ๊ก แท้จริงแล้วจะ
เป็นเพียง..


 "บาบีคิวโชว์"
..ให้พระพวกนั้นเผาตัวเองไป
ฉันจะปรบมือให้..!


ดังคำกล่าวผรุสวาสของน้องสะใภ้
โง ดินห์ เดียม หรือจะเป็นวิบากกรรม
อันนำมาซึ่งความพินาศ
ของตระกูลอำมหิตชนิดทันตาเห็น!


โปรดติดตาม ตอนที่ 2
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด


ทิก กว๋าง ดึ๊ก ! กายมอดไหม้แต่หัวใจคงกระพัน Ep.2

ท่านให้ภิกษุรูปหนึ่ง นำน้ำมันเบนซิน

มาราดลงบนตัวท่าน แล้วภิกษุ

ทิก กว๋าง ดึ๊ก


ก็จุดไม้ขีดไฟ..เพื่อเผาร่างตัวเอง .!

ไฟลุกโชนช่วงท่วมร่าง
ของภิกษุผู้ยอมสละชีวิต!
ร่างของท่านไม่ไหวติง
ไร้อาการทุรนทุราย
จากทุกขเวทนาแห่งสังขาร
เปลวไฟร้อนระอุแผดเผาจีวร
เผาผิวหนังจนไหม้เกรียม
แต่ท่านก็ยังคงนั่งขัดสมาธินิ่ง
อยู่อย่างนั้น..จนสิ้นใจ !




ร่างภิกษุในเปลวเพลิง

ดุจดั่งองค์พระปฏิมากรรม

แห่งสันติอหิงสา ที่จะถูกจดจารึก

ไว้อย่างสง่างาม อยู่ในมโนสำนึก

ของชาวโลกตลอดกาล..



"ข้าพเจ้าไม่ได้ตายเพราะความโง่เขลา
ข้าพเจ้าไม่ได้ฆ่าตัวตายเพราะมิจฉาทิฏฐิ

ข้าพเจ้าตายเพื่อคนหูหนวกจะได้ยิน
เพื่อคนตาบอดจะได้มองเห็น
เพื่อยุติการเข่นฆ่าสายเลือดเดียวกัน !"




"ท่านทิก กว๋าง ดึ๊ก กล่าวว่า
ขอเอาชีวิตน้อยๆ ของท่าน
เป็นประทีปส่องใจอันมืดมน
ของพี่น้องชาวเวียดนาม
ข้าพเจ้าขอตายเพื่อไถ่บาป
ให้พี่น้องชาวเวียดนามทุกๆ คน
และขอให้เลิกเข่นฆ่ากัน
"




ภิกษุ ทิก กว๋าง ดึ๊ก
ได้เขียนจดหมายถึงรัฐบาล
โง ดินห์ เดียม
ว่าการที่ท่านยอมสละชีวิตตนเอง
ในครั้งนี้ก็เพื่อ..

  1. 
เพื่อป้องกันพุทธศาสนา
อันเป็นศาสนาดั้งเดิม
ของประเทศชาติ

  2. 
ขอเตือนการกระทำที่บีบคั้น
และเข่นฆ่าพระภิกษุ แม่ชี
และคนทั่วไป
ที่นับถือพระพุทธศาสนา
ในประเทศเวียดนาม

  3. 
ขอร้องให้ท่านมอบอิสรภาพ
ให้แก่ผู้นำชาวพุทธทั้งหลาย
ในคณะกรรมการป้องกัน
พระพุทธศาสนา
พระภิกษุ แม่ชี และพุทธศาสนิกชน
ที่ถูกจับขังอยู่ในขณะนี้

  4. 
ให้ยุติสถานการณ์เลวร้าย
และเลิกจับพระภิกษุ แม่ชี
และพุทธศาสนิกชนอีก

  5. 
ให้เลิกองค์การคณะสงฆ์
รวมทั้งบุคคลที่รัฐบาลตั้งขึ้นมา
หลอกลวง ปิดบังความจริง
เป็นเหตุให้ประชาชนโง่เขลา




ประธานาธิบดี โง ดินห์ เดียม (ซ้าย)

เมื่อภาพเหตการณ์พระภิกษุเผาตัวเอง
หลุดออกไปสู่สายตาชาวโลก
ทำให้ทุกคนตื่นตะลึงหันมาสนใจ
นโยบายอำมหิต ในการกำจัดประชาชน
นับถือต่างศาสนาของประธานาธิบดี
โง ดินห์ เดียม

ทั้งยังส่งผลเสียหายต่อภาพลักษณ์
ขององค์กรศาสนาต่างชาติ
ที่อยู่เบื้องหลังความโหดเหี้ยมของ
รัฐบาล โง ดินห์ เดียม อีกด้วย

และแม้ว่าข้อเรียกร้องของ
ท่าน ทิก กว๋าง ดึ๊ก
จะไม่มีน้ำหนักมากพอ ที่จะทำให้รัฐบาล
โง ดินห์ เดียม เลิกล้มแผนการ
กำจัดพระพุทธศาสนาในเวียดนาม
ชนิดขุดรากถอนโคนให้สิ้นซากด้วย
วิธีการอันแสนป่าเถื่อน โดยไม่มีทีท่าว่า
จะลดทอนความดุเดือดลงแม้แต่น้อย


ไม่ว่าจะเป็นการมีการนำลวดหนาม
สิ่งกีดขวางมาปิดกั้นทางเข้าวัด
จนกลายเป็นสถานที่ต้องห้ามให้การ
ทำพิธีกรรมทางศาสนา

คนที่นุ่งห่มแบบพระ หรือคนใส่ชุดขาว
นั่นคือสัญลักษณ์ ของผู้ทำลาย
ความมั่นคงชาติ ที่ตำรวจต้องเข้าปราบปราม
หรือบุกยิงแม้ขณะกำลังนั่งสวดมนต์อยู่ในวัด

ภาพที่พระสงฆ์ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจไล่ยิง
จนมรณภาพบนบาทวิถี จึงกลายเป็น
ภาพที่ประชาชนเห็นจนเป็นปกติ!

เหตุการณ์อุทิศชีวิตของ
ท่าน ทิก กว๋าง ดึ๊ก
ทำให้นายทหารในกองทัพที่ส่วนใหญ่
เป็นชาวพุทธเสียใจ และไม่พอใจ
ต่อการกระทำป่าเถื่อนของรัฐบาล
ทหารทั้งกรม จึงพร้อมใจกัน
ผูกผ้าสีเหลืองที่คอเพื่อเป็นสัญลักษณ์
ในการสนับสนุนพระพุทธศาสนา
และไว้อาลัยให้กับพระภิกษุที่เผาตัวเอง.!






6 เดือนต่อมา..

ผู้ทำลายล้างพระพุทธศาสนา

ก็เดินทางมาถึง..จุดจบ!


โง ดินห์ เดียม ถูกรัฐประหารยึดอำนาจ
โดยกลุ่มนายพลคนสนิทที่เคย
เป็นที่ปรึกษาด้านการทหารของเขาเอง
สุดท้ายแล้ว โง ดินห์ เดียม และพี่ชาย
ถูกจับกุมได้ที่โบสถ์คาทอริกในเมืองโซลอง
และทั้งคู่ถูกยิงเสียชีวิต โดยพลขับรถเกราะ
แต่ที่น่าอเนจอนาถก็คือ..

ศพของประธานาธิบดีผู้ยิ่งใหญ่อหังการ
ถูกเอาเชือกผูกมัดศพไว้ แล้วใช้รถลาก
กลับมายังทำเนียบประธานาธิบดี.!

ส่วนตำรวจทหารที่เคยร่วมมือกัน
กับโง ดินห์ เดียม ก็ถูกกำจัด
แบบ "ล้างบาง" เช่นเดียวกัน.!

นี่คือบทพิสูจน์เรื่องราวของ..

กฎแห่งกรรม ที่ไม่มีใครหลบหนี

และหลุดพ้นได้.!




มีอีกปรากฏการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้น
หลังจากที่ท่าน ทิก กว๋าง ดึ๊ก
มรณภาพแล้วร่างที่ไหม้เกรียม
ของท่านถูกนำคลุมด้วยธงธรรมจักร

พุทธบริษัทกว่า 1 พันคน
ได้ตั้งขบวนอัญเชิญสรีระท่าน
ไปประดิษฐานไว้ ณ เจดีย์วัดซาลอย
เพื่อประกอบพิธีฌาปณกิจ..


แต่ปรากฏว่ามีอวัยวะส่วนหนึ่ง
ในร่างกายของท่านกลับ
ไม่ได้มอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน
ในกองเพลิงอย่างน่าอัศจรรย์
นั่นก็คือ ..

" หัวใจ "

ทำให้พุทธศาสนิกชนในเวียดนาม
ยกย่องให้ท่าน ทิก กว๋าง ดึ๊ก
เปรียบดั่งพระโพธิสัตว์
และหัวใจของท่านยังถูกเก็บรักษา
ไว้ในสถูปทองคำ วัดเทียนมู่
เมืองเว้ ประเทศเวียดนาม





ท่าน ทิก กว๋าง ดึ๊ก คือภิกษุรูปแรก
ในประวัติศาสตร์แห่งมวลมนุษยชาติ
ที่ยอมสละร่างกาย ถวายเลือดเนื้อชีวิต
กระทั่งจิตวิญญาณ เพื่อพิทักษ์รักษา
พระพุทธศาสนา และพุทธบริษัท

ดุจเดียวกับพระบรมโพธิสัตว์
ผู้ปรารถนาอย่างแรงกล้า
ที่จะก้าวเดินตามเส้นทางแห่ง
องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า.!


<a href="https://www.youtube.com/v/4T93aQPn5T0" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">https://www.youtube.com/v/4T93aQPn5T0</a>

<a href="https://www.youtube.com/v/The44WwRu-I" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">https://www.youtube.com/v/The44WwRu-I</a>



"ข้าพเจ้าไม่ได้ตายเพราะความโง่เขลา
ข้าพเจ้าไม่ได้ฆ่าตัวตายเพราะมิจฉาทิฏฐิ

ข้าพเจ้าตาย..เพื่อคนหูหนวกจะได้ยิน
เพื่อคนตาบอด..จะได้มองเห็น
เพื่อยุติการเข่นฆ่า..สายเลือดเดียวกัน "


จาก http://mynameisjawan.blogspot.com/2016/06/blog-post.html
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 10, 2016, 01:26:52 am โดย มดเอ๊กซ »
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด


เผาตัวเอง

เรื่อง: วิจักขณ์ พานิช

This time the bullet cold rocked ya

A yellow ribbon instead of a swastika

Nothin’ proper about ya propaganda

Fools follow the rules when the set commands ya

 

They said, it was blue when the blood was red

That is how you got a bullet, blasted through your head

Blasted through your head, blasted through your head

I give a shout out to the living dead

 

Bullet in Your Head

Rage Against the Machine (1992)


ภาพไฟลุกท่วมร่างพระภิกษุรูปหนึ่งในท่าขัดสมาธิกลางสี่แยกในกรุงโฮจิมินห์ซิตี้ ประเทศเวียดนาม กลายเป็นภาพประวัติศาสตร์ติดตาชวนขนลุก ปลุกการตื่นรู้ของผู้คนจำนวนมาก ในสหรัฐอเมริกา แซ็ค เดอ ลา โรชา (Zack de la Rocha) นักร้องนำของวงดนตรีร็อคชื่อดัง Rage Against the Machine ได้รับแรงบันดาลใจ จนถึงกับนำภาพดังกล่าวมาทำเป็นปกอัลบั้มของพวกเขาที่ชื่อ Rage Against the Machine ออกวางจำหน่ายในปี 1992

การเผาตัวเอง (self-immolation) เป็นที่รู้จักต่อชาวโลกครั้งแรกในช่วงสงครามเวียดนาม อิทธิพลคอมมิวนิสต์จากทางเหนือคืบคลานเข้ามา แบ่งเวียดนามออกเป็นเหนือใต้ ประชาชนถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนและพระในเวียดนามถูกลิดรอนเสรีภาพในการนับถือศาสนาอย่างรุนแรง จำนวนไม่น้อยกลายเป็นเหยื่อสงครามและความเกลียดชังกันเองของคนในชาติ แต่ละวันจะมีชาวพุทธทั้งพระและฆราวาสถูกจับกุมตัวไป เพียงเพราะพวกเขาเชื่อในเสรีภาพทางความคิด และความแตกต่างทางความเชื่อและศาสนา ซิสเตอร์จ่างคง ภิกษุณีชาวเวียดนาม สหายธรรมใกล้ชิดของ พระอาจารย์ ติช นัท ฮันห์ เล่าถึงเหตุการณ์สำคัญดังกล่าวไว้ว่า

“ท่ามกลางบรรยากาศทางการเมืองอันบีบคั้น ในวันที่ 11 มิถุนายน ค.ศ​.​1963 ติค กวาง ดุค พระภิกษุชาวเวียดนาม ตัดสินใจเผาตัวเองกลางสี่แยกแห่งหนึ่ง ฉันไม่รู้มาก่อนเลยว่าเขาจะทำเช่นนั้น บังเอิญตอนนั้นฉันกำลังขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านไปที่แยกนั้นพอดี สิ่งที่เห็นตรงหน้าคือ ติค กวาง ดุค นั่งอยู่ท่ามกลางเปลวไฟอย่างกล้าหาญและนิ่งสงบ เขานิ่งมาก อาจเรียกได้ว่าจิตรวมเป็นสมาธิจนกลายเป็นหนึ่งเดียวกับไฟที่ลุกท่วมนั้น ขณะที่ผู้คนที่ยืนมองอยู่โดยรอบ ต่างร้องไห้และทรุดตัวลงกราบ…ชั่วขณะนั้นเอง ปณิธานอันยิ่งใหญ่ก็ผุดขึ้นในใจฉัน

ชีวิตนี้ฉันขออุทิศตนเพื่อเคารพสิทธิมนุษยชน ในหนทางที่งดงามและสันติ อย่างที่ ติค กวาง ดุค ได้แสดงให้เห็นตรงหน้า”



ติค กวาง ดุค ไม่ได้ตายไปพร้อมกับร่างกายที่เผาไหม้เป็นเถ้าถ่าน แต่การสละตนอันยิ่งใหญ่ของเขายังคงอยู่ในหัวใจมนุษย์ทุกคนที่ได้รับรู้เรื่องราวและเห็นภาพเหตุการณ์ดังกล่าว ความรักและการอุทิศตนต่อสิทธิเสรีภาพและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของ ติค กวาง ดุค เกิดใหม่อีกครั้ง…และอีกครั้ง ในหัวใจของชาวเวียดนามหลายพันคน และผู้คนทั่วทั้งโลก

อาจเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจเหตุผลของการกระทำนั้น การเผาตัวเองดูเหมือนเป็นการกระทำที่รุนแรง ไม่ต่างจากการฆ่าตัวตาย แต่หากลองเอาใจเราไปใส่ใจบุคคลที่กระทำการเผาตัวเองด้วยความรักที่มีต่อเพื่อนมนุษย์และการเสียสละตนอันยิ่งใหญ่ ด้วยหัวใจที่ปรารถนาจะเห็นคนทุกคนมีสิทธิเสรีภาพและได้รับการเคารพเสมอกัน เราอาจมีมุมมองที่เปลี่ยนไป

“เพื่อที่จะสื่อสารไปยังหัวใจมนุษย์ที่แข็งกระด้างที่สุด เราจำเป็นต้องมอบของขวัญที่เปี่ยมคุณค่า ซึ่งอาจหมายถึงชีวิตของเราเอง” ภิกษุณีจ่างคงกล่าว
 

ล่วงเลยเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 ปรากฏการณ์การเผาตัวเองของชาวพุทธเป็นที่กล่าวขวัญถึงอีกครั้ง และครั้งนี้เกิดขึ้นในกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงในดินแดนทิเบต ตั้งแต่ปี 2009 จนถึงวันนี้ มีชาวทิเบตทั้งพระและฆราวาสเผาตัวเองตายไปแล้วรวมทั้งสิ้นไม่ต่ำกว่า 120 รายแล้ว การเคลื่อนไหวเรียกร้องการปกครองตนเองของทิเบตดำเนินมาอย่างยืดเยื้อยาวนาน ตั้งแต่ถูกยึดครองโดยกองทัพจีนคอมมิวนิสต์เมื่อกว่าครึ่งศตวรรษก่อน องค์ทะไลลามะ ผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวทิเบตยืนยันแนวทางการต่อสู้โดยไม่ใช้ความรุนแรงมาโดยตลอด การต่อสู้ด้วยหัวใจและความกรุณา เชื่อมั่นว่าความรุนแรงมิอาจเอาชนะได้ด้วยความรุนแรง เป็นการต่อสู้ทางจิตวิญญาณที่สอดคล้องไปกับการต่อสู้ทางการเมืองอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะไปด้วยกันได้ ทั้งโดยเป้าหมายและวิธีการแสดงออกถึงความรัก สติปัญญา และความกล้าที่จะยืนหยัดเคียงข้างมนุษยธรรม นัยยะหนึ่ง มันคือการประกาศศาสนธรรมอันยิ่งใหญ่ของหัวใจมนุษย์ที่สามารถให้อภัยและรักได้แม้ศัตรู

ทุกครั้งที่ทะไลลามะถูกถามความเห็นต่อกรณีการเผาตัวเองของชาวทิเบต แม้จะไม่สนับสนุนการประท้วงด้วยวิธีการนี้ แต่ท่านก็เคารพความกล้าหาญของพวกเขาเหล่านั้นอย่างสุดหัวใจ

“สิ่งที่ชาวโลกพึงตระหนักคือ ‘การฆ่าล้างทางวัฒนธรรม’ เป็นสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้ชาวทิเบตเหล่านั้นเลือกการเผาตัวเองเป็นหนทางการแสดงออกครั้งสุดท้าย”

เกือบ 60 ปีของการต่อสู้แบบสันติวิธีที่ดูจะไม่ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองให้กับทิเบตอย่างเป็นรูปธรรม ณ จุดแห่งความเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด สิ้นหวังอย่างถึงที่สุด ณ จุดแห่งความพ่ายแพ้ ศิโรราบต่อโชคชะตาอย่างถึงที่สุด พวกเขาเลือกที่จะต่อสู้โดยไม่ยอมปิดหัวใจที่รู้สึกรู้สาของตนเอง ตรงกันข้าม พวกเขากลับปลุกเร้าโพธิจิตในตนให้สว่างไสวโชติช่วงเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อประกาศให้โลกรู้ว่า แม้การกดขี่บีฑาหรือกระทั่งความตายก็ไม่อาจลดทอนหัวใจและจิตวิญญาณความเป็นมนุษย์อันเสรีของพวกเขาได้
 

เสรีภาพอาจดูเป็นคำที่ไม่มีความสำคัญอะไรกับพุทธศาสนิกในประเทศที่ถูกกล่อมเกลาให้มองเสรีภาพเป็นความบ้าบอป่าเถื่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสิ่งที่ปิดกั้นเสรีภาพมาจากกรอบความดีและศีลธรรมทางศาสนาเสียเอง สำหรับคนไทย เสรีภาพในการนับถือศาสนามักถูกมองว่าไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร ตราบใดที่ประเทศยังมีศาสนาประจำชาติเป็นศาสนาพุทธก็พอ ยิ่งเสรีภาพทางความคิดด้วยแล้ว ยิ่งเป็นเรื่องต้องปล่อยวางบนเส้นทางแห่งการหลุดพ้นจากการยึดมั่นถือมั่นทางการเมือง

ศาสนาพุทธในสังคมไทยจึงกลายเป็นศาสนาของระบอบเผด็จการที่ไม่เคยเข้าใจความทุกข์ยากของผู้ถูกกดขี่ ไม่เคยอยู่ร่วมในขบวนการต่อสู้เพื่อการปลดปล่อย ไม่เคยอยู่ข้างมนุษยธรรมที่ถูกลิดรอน และที่เจ็บปวดที่สุดก็คือ ศาสนธรรมไม่เคยกระทั่งอยู่ข้างสามัญชนคนเล็กคนน้อยเลยด้วยซ้ำ จึงไม่น่าแปลกใจหากชาวพุทธไทยจะเข้าใจความทุกข์แสนสาหัสของชาวทิเบตและรู้สึกร่วมกับพวกเขาน้อยเต็มที

เป็นเรื่องแปลกแต่จริง ที่จนถึงทุกวันนี้ทะไลลามะก็ยังไม่ได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้า ‘ประเทศพุทธศาสนา’ อย่างประเทศไทย ความอ้ำๆ อึ้งๆ ที่จะยื่นมือช่วยเหลือ ความสงสารที่ไม่นานก็กลายเป็นความนิ่งเฉยและเงียบงัน การกลืนกินชาติทิเบตโดยจีนแผ่นดินใหญ่ถาโถมเข้าไปราวกับสึนามิ ความพยายามในการขัดขืนทุกวิถีทางสูญเปล่า พวกเขากำลังต่อสู้กับความเป็นจริงอันแสนเจ็บปวด ความทุกข์ที่ไม่มีทางปฏิเสธ ต่อต้าน หรือขัดขืน พวกเขากำลังจนมุมกับความป่าเถื่อนและไม่เป็นธรรม

ณ จุดที่สูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่ชาติของฉัน บ้านเมืองของฉัน ถิ่นกำเนิดของฉัน ครอบครัวของฉัน ศาสนาของฉัน หรือวัฒนธรรมของฉัน พวกเขาหมิ่นเหม่จะสูญเสียสิ่งสุดท้าย นั่นก็คือ การสูญเสียศรัทธาในความเป็นมนุษย์ ภาพครูบาอาจารย์ถูกยิงตายต่อหน้าต่อตา กัลยาณมิตรทางจิตวิญญาณถูกทำร้ายหรือข่มขืน พุทธศาสนาถูกห้ามนับถือศรัทธา วัดวาอารามถูกเผาทำลายไม่เหลือซาก ความสูญเสียครั้งแล้วครั้งเล่าและการต่อสู้ที่ไร้ผล พาพวกเขาจมดิ่งไปสู่ความหวาดกลัว พวกเขาสิ้นหวังกับชีวิต สิ้นหวังกับโลกใบนี้ สิ้นหวังกับความช่วยเหลือจากนานาชาติ และสุดท้ายพวกเขากำลังจะสิ้นหวังกับตัวเอง มันคือความทุกข์แสนสาหัสที่เกิดขึ้นกับปัจเจกบุคคลและความทุกข์ร่วมของสังคมในขณะเดียวกัน ความไม่เป็นธรรมปลุกเร้าพลังแห่งพุทธธรรมในการเผชิญกับสถานการณ์บีบคั้นตรงหน้า และในวินาทีนั้นเองที่หัวใจแห่งโพธิจิตได้จุดตัวเองเป็นไฟแห่งการตระหนักรู้อันร้อนแรงโชติช่วง
 

30 กันยายน 2549 หลังการยึดอำนาจโดยคณะรัฐประหารได้เพียงอาทิตย์เศษ นวมทอง ไพรวัลย์ ขับรถแท็กซี่พุ่งเข้าชนรถถัง จนได้รับบาดเจ็บสาหัส ต่อมาในคืนวันที่ 31 ตุลาคม หลังจากออกจากโรงพยาบาลได้ไม่นาน นวมทองในเสื้อยืดสีดำด้านหลังสกรีนบทกวีของศรีบูรพา ตัดสินใจผูกคอตายกับราวสะพานลอย เพื่อต้องการลบคำสบประมาทของรองโฆษกคณะรัฐประหารที่ว่า ‘ไม่มีใครมีอุดมการณ์มากขนาดยอมพลีชีพได้’

หากนึกถึง ติค กวาง ดุค และเหล่านักรบทางจิตวิญญาณอีกนับไม่ถ้วน ผู้จุดตัวเองเป็นไฟแห่งมโนธรรมสำนึก ภายใต้บรรยากาศอันมืดมิดแห่งการลิดรอนสิทธิเสรีภาพและลดทอนความเป็นมนุษย์ นวมทอง ไพรวัลย์ คือหนึ่งในบุคคลซึ่งควรถูกจดจำไว้ในประวัติศาสตร์ของการต่อสู้ทางการเมืองของไทย โลกทัศน์แบบทำไปไม่หวังผลในชาตินี้เช่นนี้คือวิถีแห่งโพธิสัตว์ หนทางแห่งนักรบอันสะท้อนความมั่นคงทางจิตวิญญาณและความไม่สะทกสะท้านสั่นคลอนไปกับพายุแห่งโลกธรรม ยิ่งความทุกข์บีบคั้น หนทางตีบตันมืดมน หัวใจอริยปุถุชนยิ่งส่องสว่างงดงาม

การกระทำอันดูโง่เขลาของพวกเขาสื่อสารคุณค่าบางอย่างที่ไปพ้นจากการเอาตัวรอดของตนเอง สะท้อนอุดมคติแห่งการปลดปล่อยเพื่อนมนุษย์และสรรพสัตว์อันข้ามพ้นความกลัว หากการพลีตนเพื่อเสรีภาพและภราดรภาพของมนุษยชาติถูกตัดสินว่าเป็นการ ‘คิดสั้น’ หรือการยึดมั่นถือมั่นทางความคิด แล้วการเอาตัวรอด เห็นแก่ตัว เพิกเฉย หรือสยบยอมต่ออำนาจเผด็จการ ควรถูกมองว่าเป็นวิสัยทัศน์อันยิ่งใหญ่ หรือการรู้จักฝึกจิตวางใจให้เป็นสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นอย่างนั้นล่ะหรือ?

 

ไฟที่ลุกท่วมตัวพวกเขาคือสิ่งที่ควรค่าแก่การเคารพ…

 
“ชีวิตนี้ฉันขออุทิศตนเพื่อเคารพสิทธิมนุษยชน

เชื่อมั่นในเสรีภาพ ความเป็นคนเท่ากัน ในหนทางที่งดงามและสันติ

อย่างที่พวกเขาได้แสดงให้เห็นตรงหน้า”


 

**********************************************************************

(หมายเหตุ : ตีพิมพ์ครั้งแรกในคอลัมน์ ดูจิตจิต นิตยสาร WAY ฉบับที่ 75)

จาก http://waymagazine.org/immolation/
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...