ผู้เขียน หัวข้อ: ไซอิ๋ว (ฉบับเดินทางสู่พุทธภาวะ) : ปริยัติเฟ้อดุจเข้าสู่ความหมองมัว  (อ่าน 1473 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด


ปริยัติเฟ้อดุจเข้าสู่ความหมองมัว

ท่ามกลางแสงจันทร์ส่องสว่างในคืนฤดูร้อน ส่วนเวลากลางวันก็มีท้องฟ้าที่แจ่มใส อาจารย์และศิษย์บรรลุถึงแม่น้ำทงทีฮ้อ (ฟ้าทะลุ) สองฝั่งกว้างไกลจนสุดวิสัยที่สายตาของเห้งเจียจะมองเห็นได้ ศิษย์และอาจารย์ปรึกษากัน แล้วตริตรองว่าควรเดินเลียบไปตามฝั่ง
 
ในที่สุดก็มาพักที่หมู่บ้านตั๊นแกจึง ได้พบตาเฒ่า ๒ พี่น้องแซ่ “ตั๊น” ซึ่งเป็นแซ่เดียวกับพระถังซัมจัง (ชื่อเดิม ตั๊นเหี้ยนจึง) คนพี่ชื่อ ตั๊นเท่ง มีธิดาชื่อ เจ๊กชิ้นกิม ส่วนตาเฒ่าผู้น้องชื่อ ตั๊นเชง บุตรชาย ชื่อ ตั๊นกวนโป๊ (สัมมัปธาน ๔  = สัมมาวายาโม)
 
ตาเฒ่าตั๊นเท่ง (สังวรปธาน) ตั๊นเซง (ภาวนาปธาน) เล่าความทุกข์ ที่มีอยู่ให้เห้งเจียและคณะฟัง คือ ถึงวาระที่จะต้องส่งบุตรชาย ตั๊นกวนโป๊ (อนุรักขนาปธาน) และธิดา เจ๊กชิ้นกิม (ปหานปธาน) ให้ปีศาจเล่งก้ำอึ้ง ที่มาแย่งปราสาทใต้น้ำของเต่าขาวเป็นที่พำนักแล้วครอบครองลำน้ำไว้ และยังแสดงอำนาจโดยให้ทุกๆปี ชาวบ้านตั๊นแกจึงต้องจัดส่งบุตรธิดา ไปไว้ที่ศาลเจ้าริมน้ำเพื่อสังเวยปีศาจร้าย
 
เห้งเจียได้ยินดังนั้นอาสาที่จะช่วย จึงชวนโป้ยก่ายไปที่ศาลเจ้า แล้วต่างแปลงกายเป็นเด็กชายและหญิง ถึงเวลาปีศาจเล่งก้ำอึ้งโผล่ขึ้นมา จากแม่น้ำตรงมายังที่ศาลเจ้า เพื่อจะกินเครื่องเซ่นพลันเหลือบเห็นหางหมูของโป้ยก่ายโผล่ถูกจับพิรุธได้ ปีศาจรู้เท่าทันจึงสู้รบกันขึ้น ปีศาจสู้เห้งเจีย และโป้ยก่ายไม่ได้ หลบหนีลงน้ำไปแล้วผูกพยาบาทคิดวางแผนที่จะจับพระถังซัมจั๋งเพื่อกินเนื้อให้ได้
 
ในตอนดึกคืนวันนั้น พระจันทร์สว่างขาวนวล เล่งก้ำอึ้งบันดาลให้มีหมอกมัวฟุ้งไปทั่วทั้งลำน้ำ อีกทั้งยังร่ายมนต์ให้ผิวน้ำจับตัวแข็ง แล้วสั่งให้สมุนแปลงกายเป็นพ่อค้าจูงลาจูงม้าข้ามไปมาบนผิวน้ำ เพื่อล่อลวงพระถังซัมจั๋ง
 
ฝ่ายพระถังซัมจั๋งผู้มีใจจดจ่อในการเดินทางไปให้ถึงไซที ตื่นขึ้นในกลางดึก เพราะได้ยินเสียงพ่อค้าจูงลาเดินข้ามมาบนผิวน้ำที่แข็งตัวได้ เมื่อเห็นดังนั้นดีใจว่าการเดินทางคงจะเร็วขึ้นกว่าการเดินเลียบไปตามฝั่ง จึงปลุกสานุศิษย์ แล้วอำลาเจ้าของบ้าน ให้เห้งเจียนำหน้า ส่วนซัวเจ๋งจูงม้า เดินไปบนผิวน้ำท่ามกลางแสงเดือนและหมอกขาว
 
ครั้นพอถึงกลางลำน้ำทงทีฮ้อ ปีศาจเล้งก้ำอึ้งก็บันดาลให้น้ำแข็งละลายทางเดินเกิดยุบฮวบลง ในที่สุดก็สามารถจับตัวพระถังซัมจั๋งไว้ได้ แล้วเอามาขังไว้ในปราสาทใต้น้ำเตรียมต้มน้ำเพื่อกินเนื้อพระถังซัมจั๋ง
 
ฝ่ายเห้งเจียเหาะขึ้นท้องฟ้าได้ทัน ส่วนโป้ยก่าย ซัวเจ๋ง และม้ามังกร มีความชำนาญทางน้ำจึงหลุดรอดมาได้ แล้วย้อนกลับมายังหมู่บ้านตั๊นแกจึงตามเดิม โป้ยก่าย ซัวเจ๋ง ลงไปรบล่อปีศาจให้ขึ้นมาเหนือน้ำ เพื่อให้เห้งเจียฆ่า แต่ไม่ว่ากี่ครั้งต่อกี่ครั้งปีศาจดำน้ำหนีหายไปทุกครั้ง เมื่อเห็นว่าไม่สำเร็จเห้งเจียจึงต้องเหาะละลิ่วไปที่เขาน่ำไฮ้ เพื่อนิมนต์พระโพธิสัตว์กวนอิมมาช่วย
 
พระโพธิสัตว์กวนอิมทราบอยู่ก่อนแล้วว่าปีศาจเล่งก้ำอึ้ง ที่แท้คือ ปลาทองของพระองค์ที่ทรงเลี้ยงไว้ดูเล่นในสระ และมันชอบโผล่ขึ้นมา แอบฟังเทศน์ทุกวันจนมีความสามารถแก่กล้า
 
วันหนึ่งน้ำเกิดท่วมท้นทำให้ปลาทองได้โอกาสหลุดออกมาจากสระ แล้วแปลงกายมาเป็นปีศาจในลำน้ำทงทีฮ้อ (ฟ้าทะลุ) ดังนั้นเมื่อไปถึงสำนักเขาน่ำไฮ้ พระโพธิสัตว์กวนอิมสานตะกร้าไม้ไผ่ (สุญญตา) เสร็จพอดี ดังนั้นทั้งสองเหาะกลับมายังแม่น้ำทงทีฮ้อ เมื่อมาถึงพระโพธิสัตว์กวนอิม ทรงขว้างตะกร้าไม้ไผ่ลงไปครอบปลากิมหลีฮื้อ (ปลาทอง) แล้วลากตัวขึ้นมานำกลับไปเลี้ยงที่ยังสระน้ำที่น่ำไฮ้ ส่วนโป้ยก่ายและซัวเจ๋ง ผู้ชำนาญทางน้ำดำลงไปช่วยพระถังซัมจั๋งขึ้นมา
 
ชาวบ้านตั๊นแกจึงรู้ข่าวว่าปีศาจถูกจับตัว ด้วยความสามารถของศิษย์พระถังซัมจั๋งให้ยินดีเป็นยิ่งนัก ต่างอาสาที่จะเอาเรือไปส่งยังฟากตรงข้ามให้
 
ขณะที่กำลังรีรอเรือจะมารับนั้น เต่าขาว (ซื่อบริสุทธ์ = คุณธรรม อย่างง่าย) ตัวมหึมาโผล่ขึ้นมาจากน้ำ แล้วร้องขึ้นด้วยความสุภาพนอบน้อม ขออาสาที่จะพาพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ไปส่ง เพื่อเป็นการชดใช้บุญคุณ ที่คณะได้ช่วยเหลือให้ปราสาทใต้น้ำของตนพ้นจากการยึดครองของปีศาจ พระถังซัมจั๋งตัดสินใจที่จะไปกับเต่า แต่เห้งเจียยังไม่วางใจเต่าขาวนัก เมื่อขึ้นยืนบนหลังเต่าขาวแล้ว มือขวาเห้งเจียยังถือตะบองยู่อี่เตรียมที่จะทุบหัวเต่า ส่วนมือซ้ายเอาเชือกคล้องคอเต่าต่างบังเหียน
 
เต่าขาวพาศิษย์และอาจารย์ว่ายข้ามลำน้ำ เป็นเวลาหนึ่งวันเต็ม บรรลุถึงฝั่งตรงข้าม พระถังซัมจั๋งกล่าวขอบคุณพร้อมอำลาอย่างเกรงใจ ยิ่งด้วยไม่รู้ว่าจะตอบแทนคุณให้เต่าขาวอย่างไรดี
 
เต่าขาว (ซื่อบริสุทธิ์ ไร้เดียงสา) จึงบอกว่าหากท่านจะช่วยเหลือข้า ข้าเพียงขอให้ท่าน เมื่อไปถึงพระพักตร์พระยูไลแล้ว โปรดช่วยทูลถามแทนข้าด้วยว่า “เมื่อไรรูปเต่านี้จึงจะถูกถอดออกเป็นรูปมนุษย์ได้เสียที” พระถังซัมจั๋งก็รับคำ แล้วก็ลาจากกัน
 
(สังวรปธาน-เพียรสำรวมระวังไม่ให้อกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ไม่ให้เกิดขึ้น
 
ปหานปธาน-เพียรละอกุศลธรรมที่เกิดแล้ว
 
ภาวนาปธาน-เพียรสร้างกุศลที่ยังไม่เกิดให้เกิด
 
อนุลักขณาปธาน-เพียรตามรักษากุศลที่เกิดแล้วให้ดำรงอยู่
 
ความเพียรทั้ง ๔ มีแซ่เดียวกับพระถังซัมจั๋ง เพราะเป็นสัมมาวายาโม = ความเพียรชอบ เฉกเช่นครอบครัวเดียวกันกับขันติ แต่ด้วยความเพียรอาจทำให้ปริยัติเฟ้อ ทำให้ความรู้สุมท่วม ยิ่งคลุมเครือหมองมัว แต่บางครั้งเพียงอาศัยคุณธรรมง่ายๆเช่น ความซื่อบริสุทธิ์ ความไร้เดียงสา (เต่าขาว)สามารถสำเร็จมรรคผลได้เหมือนกัน แต่นักปริยัติมักจะหมิ่นคุณธรรมชั้นพื้นฐาน พิจารณาว่าความซื่อเทียบเคียงได้กับความโง่ เฉกเช่น เห้งเจียไม่วางใจเต่าขาว ด้วยคิดว่าตนนั้นมีปัญญาจะวางใจอะไรง่ายๆ พื้นๆ แบบไร้เดียงสาไม่ได้
 
เพราะมนุษย์ทั่วไปไม่ยอมรับว่า ความไร้เดียงสา บริสุทธิ์สามารถบรรลุมรรคผลได้ จำเป็นต้องคร่ำเคร่งร่ำเรียนไตรปิฎก จึงจะบรรลุธรรมได้ ดังคำกล่าวของเต่าขาวที่ว่า”เมื่อไรรูปเต่าจึงจะถูกถอดออกเป็นรูปมนุษย์ ได้เสียที”)





จาก http://www.khuncharn.com/skills?start=14

อีกอัน ไซอิ๋ว ฉบับ อาจารย์ เขมานันทะ http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=maekai&month=10-07-2008&group=15&gblog=1
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 21, 2016, 03:50:34 pm โดย มดเอ๊กซ »
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...