ผู้เขียน หัวข้อ: ชำแรกถึงห้วงอวกาศ โดย เขมานันทะ  (อ่าน 1027 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด


ชำแรกถึงห้วงอวกาศ โดย เขมานันทะ

ช่องว่าง ระหว่างสองมือป้อง เกิดขึ้นและสิ้นสุดเมื่อลดมือลง ช่องว่างอันเกิดแต่การกำหนดสองมือเป็นเพียงการสมอ้างติดยึดในความรับรู้สิ่งที่แลเห็น เป็นการตกลงใจของผู้มอง โดยเนื้อแท้แล้วช่องว่างไม่เคยเกิดขึ้นและไม่อาจหายไปได้ นอกจากเกิดขึ้นในความรับรู้และหายไปในความรับรู้ กล่าวได้ว่าผู้มองไม่เคยเห็นและใม่อาจเห็นเนื้อที่ว่างได้จริงๆ นอกเสียจากกระทำนิมิตหมายขึ้น เพื่อรับรู้ในขอบเขตจำกัด ตามขอบเขตจำกัดของอายตนะและนิสัยเคยชิน ความรู้นั้นเป็นสิ่งจำกัด ยิ่งรู้มากเข้า การสะสมนิมิตหมายต่างๆก็มาก ดังนั้นจิตที่รู้มากก็วุ่นวายไปด้วยความรู้และทั้งคับแคบ

เนื้อที่ว่างที่อยู่เบื้องหน้าย่อมไม่อาจแลเห็น ทั้งที่เดินผ่านไปมาพร้อมทั้งคิดนึกสารพัด และทันใดที่แลเห็นด้วยความรู้สึกทั้งหมดความนึกคิดก็สิ้นสุดลง และวาระนั้นเองลมหายใจที่เคยอยู่ภายใต้ความคิดอันก่อเกิดภาวะก็ชำแรกถึงอากาสะ(space) เนื้อที่ว่างมีไว้หายใจโล่งถึงที่สุดคืออากาศธาตุ ไม่ได้มีไว้เพื่อครุ่นคิดทุรนทุรายดังนกติดแร้ว

รูปนามที่ถูกยึดครองว่า “ฉัน” นั้นไม่เคยถูกแลเห็น มันซ่อนอยู่ตรงหน้าตราบนานเท่าที่ผู้คิดคิดพะนอตน “ฉัน” เป็นเพียงการสมอ้าง เป็นคติติดยึดในความรับรู้จากนิมิตหลายด้าน ชื่อ เชื้อชาติ ตระกูล ฯลฯ อันรวบยอดเป็น”ฉัน” “ฉัน”เป็นเพียงภาพในจินตนาสำหรับไขว่คว้า ครั้นมองตรงมาที่ภาพพจน์ในจิตก็ไม่มี เมื่อมีการเห็นโดยตรงปราศจากสื่อ “ความเป็นตามสภาพเป็น” ก็แสดงบทออกมา เพราะว่าผู้มองเป็นเพียงรูปหนึ่งของความคิด เมื่อรู้สึกตัวได้โดยตรง ความคิดในการมองก็ไม่มี

การเห็นตัวเองโดยปราศจากสื่อนั้นเป็นความรู้สึกสดๆที่เป็นอยู่ของผู้หนึ่ง และผู้หนึ่งผู้ใดก็เป็นอันนั้นเช่นเดียวกัน ทุกๆผู้หนึ่งก็รวมทุกๆผู้อยู่ในความรับรู้ มองเข้ามาที่สภาพรู้ได้ ทุกชีวิตเป็นเพียงชีวิตเดียวดังหยดน้ำค้างที่สะท้อนภาพดวงอาทิตย์และทุกสิ่งรอบตัวมัน จากประสบการณ์มูลฐานเช่นนี้เอง เป็นที่มาของบทเพลง”เสียวสวาสดิ์”ของอีสานอันล้ำค่าเสมอ”เต๋าเต้กิง”

“ยังมีชายคนหนึ่งชื่อสรรพเหล่าหลาก” แก่นแท้ของปัจเจกคือความเป็นสากล เรืองราวทั้งหมดเป็นเรื่องของคนๆหนึ่ง คนๆหนึ่งที่ไร้ชื่อเช่นเดียวกับดวงดาว ผืนดินและผืนน้ำ เช่นเดียวกับฟากฟ้าและอากาศ จะว่าโดยมีอัตตาตัวตน หรือนิรัตตาไร้ตัวตน ก็เป็นเพียงวิถีทีถ้อย

ผู้หนึ่งนั้นกับการเดินทางอันไม่รู้จักจบสิ้น ทั้งโดยเรือนร่างและกระแสแห่งความคิดคำนึง

ผู้หนึ่งที่เป็นอยู่ทั้งปัจเจกและสากล เป็นทั้งหนึ่งและเป็นทั้งหมด

 

ใครจะบอกได้

 

……….ความ โน้มเอียงที่จะสมอ้างให้กับผู้อื่นหรือตนเอง ตอบสนองอารมณ์วิตถารอยากจะเห็นใครคนใดคนหนึ่งเป็นผู้วิเศษ อยากจะทุ่มตัวลงแทบเท้า อยากเป็นสาวกคนโปรด อยากเป็นศาสดาคุรุผู้วิเศษ อยากพะนอตัวเองเช่นนี้ ผู้คนจึงร้องไห้สะอึกสะอื้นเมื่อเพียงเห็นคนที่ตนศรัทธา แรงสะเทือนอารมณ์ตื้นตันใจ ยังไม่ไปพ้นความลวงล่อตน หากมองเห็นมันแล้วใจก็สงบ ก็จะรู้เองว่าไม่มีอะไรเลยที่พอจะยึดถือได้ อารมณ์ทั้งหมดไร้แก่นสารผ่านเลยไปแล้ว เพียงวูบของอารมณ์ผ่านไปก็ไร้ผล การสนองก็ไม่มี อาการคลั่งไคล้อารมณ์ก็ไม่ปรากฏ

………คนส่วนใหญ่ชอบคลั่งไคล้ ทั้งนี้เพราะแรงเสียดทานในตนอันเนื่องแต่สภาพแวดล้อมทางสังคมเร่งเร้าให้ความรู้สึกคลั่งไคล้แสวงหาทางออก โดยรู้สึกว่าเป็นการปลอดภัยถ้ามอบความวางใจให้กับผู้วิเศษสักคนหนึ่ง จะได้วางใจลงไม่ต้องรับผิดชอบกับการรู้เห็นสิ่งจริงที่ตนไม่ปรารถนา

………ทุกวันนี้ลัทธิคลั่งไคล้ก่อหวอดขึ้นในทุกประเทศ ผู้สมอ้างว่าตนเป็นผู้วิเศษก็มีมาก หัวใจจะสงบสุขไม่ได้หากยังคลั่งไคล้ใหลหลงสิ่งใดอยู่ หัวใจจะสงบสุขได้ก็ต่อเมื่อสภาพคลั่งไคล้ได้หมดไปแล้ว เดินไปตามทางที่ตัวเป็นโดยปรกติ

………ทางของใครของมัน วิถีทางของแต่ละบุคคลไม่อาจนำเอาประสบการณ์ของผู้อื่นเข้ามาจับ ไม่อาจสะสมความรู้จากผู้อื่นมาเป็นของตัว ความเป็นตัวของตัวเองอย่างสมบูรณ์ การหยั่งรู้ถึงรากเหง้าของธรรมชาติแห่งตนเอง ความคลี่คลายหมดจดของธรรมชาติแห่งชีวิตเอง อะไรเหล่านี้จะเรียนรู้จากคำบอกเล่าของผู้อื่นไม่ได้เลย คำบอกเล่าล้วนแล้วแต่เป็นอุปสรรคต่อการรู้ประจักษ์ธรรมชาติแท้แห่งตน

………อย่าให้ใครมาบอกเล่าอย่างใดๆเกี่ยวกับธรรมชาติแท้ๆของตน คำบอกเล่าช่วยได้บ้างก็เพียงให้รู้ว่า ตนต้องรู้จักตัวเองด้วยตัวเองของตัวเองเท่านั้น

 

โฉมหน้าแห่งชีวิต
 

………ความ แก่เฒ่านั้นมีความหมายอะไร ธารน้ำและภูผาทั้งดวงดาวในท้องฟ้ามีความแก่เฒ่าด้วยหรือ? เราเป็นอะไร? เราต่างอะไรจากธารน้ำภูผาดวงดาวหรือว่าน้ำค้าง เราคือวิญญาณ หากแต่วิญญาณมีความหมายอะไรที่ผิดแผกไปจาก ดิน น้ำ ลม ไฟ และอวกาศ

………มีเพียงกิริยาอาการเท่านั้นที่ห่างหายไปในอวกาศอันยืนยง แสงสว่างแลบแปลบที่ขอบฟ้าเกิดชั่วพริบตา แต่ฟ้านั้นยืนยง

………เราต่างมาหาอะไรในชาติกำเนิดนี้? เราได้พกพาอะไรติดตัวมาและเราจะพกพาอะไรจากโลกแห่งปรากฏการณ์ทางอินทรีย์ประสาทนี้ไปโลกหน้า มาเปล่าไปเปล่า สิ่งที่ไปๆมาๆนั้นเพียงอาการผ่านแผ่ว เพียงได้รู้เห็น

………ถิ่นที่ที่ดวงอาทิตย์และเพ็ญจันทร์ไม่ปรากฏ ที่ที่เหนือแรงเคลื่อนไหวของหยิงและหยาง ณ ที่ที่ดวงตาแห่งดวงใจมองดูทุกสิ่งได้โดยรอบอย่างง่ายดายและเสรี ที่ที่สำรวจสภาวะอย่างอิสระ การเรียกร้องต้องการจบลงอย่างสิ้นเชิง ทุกสิ่งเดินทางกลับ มณฑลแห่งจักรวาลชีวิตถูกดูดกลับสู่ห้วงภวังค์เหนือกาลเวลา

………ความจำใหม่ของดวงอาทิตย์ ดวงดาว และพื้นโลก น้ำ ฟ้า และทุกสิ่ง ล้วนเป็นการสำแดงออกของสิ่งจริง ความจำที่ไร้ข้อมูลทางสมอง ความรู้แจ้งที่ไม่ข้องกับการขบคิด

………ความแก่เฒ่านั้นไม่มีความหมายอะไร ธารน้ำและภูผา ดวงดาวในท้องฟ้าหรือว่าน้ำค้าง อวกาศอันใหญ่กว้างไร้ขอบเขต ก็คือโฉมหน้าของชีวิต

สนใจปฏิบัติธรรม ติดต่อ

สำนักสงฆ์ถ้ำเขาพระ กระบี่
http://thamkhowpra.blogspot.com/p/blog-page_6784.html

วัดแพร่แสงเทียน แพร่
http://www.buddhayanando.com/category/งานอบรม/

วัดสนามใน
http://www.watsanamnai.org/index.php?lay=show&ac=article&Ntype=4

วัดป่าสุคะโต ชัยภูมิ
http://www.pasukato.org/practice_sukato.html

จาก http://totalawake.com/blog/?p=62

http://totalawake.com/blog/?cat=14&paged=4
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...