ผู้เขียน หัวข้อ: ชีวิต ณ จุดศูนย์สุข…  สุรางคณา  สุนทรพนาเวศ  (อ่าน 1257 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด


ชีวิต ณ จุดศูนย์สุข…  สุรางคณา  สุนทรพนาเวศ (1)

ในทางโลก  การได้ไปยืนอยู่ในจุดสูงสุด…รวยที่สุด  เก่งที่สุด  สวยที่สุด  หล่อที่สุด  อาจเป็นสิ่งที่หลายคนปรารถนา

แต่สำหรับบางคน  การเกิดมาในโลกนี้ก็เพื่อเรียนรู้ที่จะละทิ้งจากการยึดมั่นถือมั่น ข้าวของเงินทองก็เป็นของชั่วคราว  ความสวยงามก็ไม่ใช่สิ่งจีรังยั่งยืน  พ่อแม่พี่น้องเพื่อนสนิทมิตรสหายก็ล้วนเป็นสิ่งสมมุติ ยิ่งทำให้ตัวตนเข้าใกล้คำว่า “ศูนย์” มากเท่าไหร่  ดูเหมือน “ความสุข” ในชีวิตจะเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น  นี่คือแนวคิดในการใช้ชีวิตของ คุณตา - สุรางคณา  สุนทรพนาเวศ ผู้หญิงที่เคยได้ชื่อว่าสวยในลำดับต้น ๆ ของประเทศ  โดยมีตำแหน่งอดีตรองนางสาวไทยและอดีตรองสาวแพรวการันตี  เธอผ่านมาแล้วหลายบทบาท ทั้งนางแบบ  นักแสดง  พิธีกรไปร่ำเรียนมาแล้วหลายประเทศ  มีดีกรีปริญญาโทจากประเทศญี่ปุ่น  และปริญญาเอกจากประเทศอินเดีย

ภาพลักษณ์ภายนอกที่พูดจาฉะฉานหัวเราะเสียงดัง  ร่าเริงสดใส  อาจทำให้หลายคนคิดไม่ถึงว่า แท้ที่จริงแล้วเธอเป็นคนสนใจใฝ่ในธรรมมากว่า 20 ปีแล้ว  ชีวิตที่เป็นศูนย์ในวันนี้  ทำให้เธอเป็นสุขได้อย่างไร เราไปฟังเรื่องราวของเธอด้วยกัน

เติบโตมากับยายที่จังหวัดสุรินทร์

ตอนเด็ก ๆ ตามีชีวิตที่สนุกสนานแก่น  ซน  ฉลาดแกมโกงมาก  แล้วก็เคยพบกับเหตุการณ์ที่ทำให้เฉียดใกล้ความตายหลายครั้ง

พ่อของตาเป็นวิศวกรจากชลบุรีที่มาพบรักกับแม่ซึ่งเป็นคนสุรินทร์  แต่หลังจากแม่คลอดตาได้ไม่นานพ่อก็จากไปด้วยอุบัติเหตุ  แม่จึงหอบลูกเข้ามาเรียนและหางานทำที่กรุงเทพฯ  แม่เรียนมหาวิทยาลัยรามคำแหงไปด้วยและทำงานเป็นพนักงานบัญชีในร้านคาเฟ่แถวประตูน้ำไปด้วย  ชีวิตของแม่ตอนนั้นลำบากมาก  วันหนึ่งเมื่อยายมาเยี่ยมที่กรุงเทพฯ จึงตัดสินใจขโมยตาที่อายุได้เพียง 3 ขวบไปเลี้ยงที่จังหวัดสุรินทร์

ยายเป็นคนจีนกวางตุ้งที่มีญาติพี่น้องมากมาย  แต่ละคนก็ทำธุรกิจใหญ่โต  แต่ครอบครัวของยายมีฐานะแค่พออยู่พอกิน จังหวัดสุรินทร์ได้ชื่อว่าเป็นเมืองช้าง  ตาอาศัยอยู่ในตัวเมืองก็จริง  แต่ก็ได้เห็นช้างเดินเล่นมาตั้งแต่เด็ก

ตาเป็นเด็กช่างพูดช่างคุยและกล้าแสดงออกเกินกว่าเด็กวัยเดียวกัน  ถ้าอยากได้ตังค์ไปซื้อทอฟฟี่ก็จะเต้นให้ญาติ ๆ ดู

นอกจากนั้นยังชอบเล่นเหมือนเด็กผู้ชายชอบชวนเพื่อนจับกลุ่มกันปั่นจักรยานไปขโมยมะม่วงบ้านคนอื่น  และเป็นเด็กที่มีความคิดสร้างสรรค์  เวลาเล่นขายของก็จะตัดกระดาษทำเป็นเงินไว้เล่นกับเพื่อน  ส่วนเงินเหรียญก็ทำจากฝาเบียร์ที่นำไปวางให้รถไฟทับจนเรียบแบน  แถมยังเป็นเด็กฉลาดแกมโกง  วันหนึ่งยายใช้ให้เดินไปซื้อโอเลี้ยง  ตาก็เดินไปซื้อ  แต่ขากลับแอบดูดจนเกือบหมด  ยายถามว่าโอเลี้ยงไปไหนหมด  ตาก็ตอบว่า “มันหนัก  เลยเดินดูดมาระหว่างทางจ้ะ”

บางวันตาไปชวนเพื่อนเล่น  แต่เพื่อนออกมาเล่นไม่ได้เพราะต้องช่วยที่บ้านทำขนมขาย  ตาก็จะช่วยเพื่อนทำทั้งเม็ดขนุน ทองหยิบ  ทองหยอด  ฝอยทอง  ถือเป็นความโชคดีที่ทำให้เราเรียนรู้การทำงานมาตั้งแต่เด็ก  แม้ว่าจะทำเพราะอยากเล่นซนก็ตาม

เกือบตายเพราะ…

ทุกครั้งที่มีเหตุเภทภัยหรือความเจ็บไข้ได้ป่วยเกิดขึ้นกับตา  แม้แม่จะทำงานอยู่กรุงเทพฯ แต่ก็มักจะมีสัมผัสพิเศษบางอย่างที่ทำให้แม่รู้สึกร้อนรุ่มใจจนต้องมาเยี่ยมลูกที่สุรินทร์เสมอ

แม่เล่าให้ฟังว่า  ตอนอายุได้สามขวบ  ตาเกือบถูกรถชนตาย  เรื่องของเรื่องก็เพราะความซนของตานั่นเอง  คือที่ริมถนนหน้าบ้านของยายจะปูลาดด้วยหินกรวด  พอฝนตกก็จะมีน้ำขังเฉอะแฉะ  ตาก็จะเอาเชือกผูกกับกระป๋องนมทำเป็นเบ็ดตกปลา  เหวี่ยงลงไปในน้ำแล้วพยายามครูดหินให้ติดเข้ามาในกระป๋อง  จินตนาการว่ามีปลาติดเบ็ด

วันนั้นเล่น ๆ อยู่ดี ๆ กระป๋องนมเกิดไปติดแหง็กอยู่กับหินก้อนใหญ่  ตาก็เลยจะเดินไปแกะกระป๋องให้หลุด  จังหวะนั้นเองรถสิบล้อที่วิ่งมาด้วยความเร็วสูงก็ผ่านมาพอดี  ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ร้องกรี๊ดด้วยความตกใจ  แม่ที่กลับมาจากซื้อส้มตำได้ยินคนแถวบ้านร้องบอกว่า

“ไอ้ไก่!  ลูกเอ็งโดนรถสิบล้อเหยียบ”เท่านั้นเองแม่ก็ทิ้งส้มตำที่อยู่ในมือ  วิ่งไปดูลูกทันที

ภาพที่ทุกคนเห็นคือ ตานั่งนิ่ง ๆ ตัวสั่นเทาด้วยความตกใจ  ส่วนคนขับก็หยุดรถแล้วเดินลงมาดู  ในใจก็คิดว่าคงเหยียบเด็กตายคาที่แน่แล้ว  แต่โชคดีที่ครั้งนั้นตาตัวเล็กเมื่อนั่งยอง ๆ ทำให้สามารถลอดท้องรถไปได้จึงรอดตายอย่างเหลือเชื่อ!

อีกครั้งหนึ่งเพื่อน ๆ ชวนกันไปเล่นน้ำที่สระน้ำข้างวัด  แม้จะว่ายน้ำไม่เป็น  แต่ตาก็ไปกับเขาด้วย  และด้วยความซนเลยไปเล่นอยู่ริมตลิ่ง  เล่นไปเล่นมาเท้าเกิดพลาดตกลงไปในน้ำแล้วจมลงไปทั้งตัว  เพื่อนที่ไปด้วยนึกว่าตกน้ำตายไปแล้ว  โชคดีมีขอนไม้ลอยมา  ตาเลยคว้าไว้ทัน  ตอนนั้นรู้สึกเหมือนตายแล้วเกิดใหม่จริง ๆ

นอกจากนั้นตาเคยเป็นไข้เลือดออกด้วย  แต่ที่หนักหนามากคือครั้งที่ป่วยเป็นโรคไวรัสขึ้นสมอง ถ้ารักษาไม่ทันก็อาจตายได้  โชคดีที่ตอนนั้นมีคุณหมอจบใหม่จากจุฬาฯไปประจำที่จังหวัด  คุณหมอก็เลยคอยดูแลอย่างใกล้ชิด นั่งเฝ้าทั้งคืน  เพราะเท่าที่ทราบ  โรคนี้ถ้าให้น้ำเกลือมากเกินไปก็อาจทำให้ปัญญาอ่อน  แต่ถ้าให้น้อยเกินไปก็อาจตายได้  ตารอดมาครั้งนั้นถือว่าเป็นบุญมาก และยังรู้สึกขอบคุณคุณหมอมาถึงทุกวันนี้

ชีวิตของตามีหลายเรื่องมากที่เหลือเชื่อด้วยความที่บ้านอยู่ใกล้วัดบูรพาราม  ทำให้มีโอกาสได้วิ่งเล่นในวัดช่วงที่ หลวงปู่ดูลย์อตุโล  ศิษย์ของหลวงปู่มั่นยังมีชีวิตอยู่

ครั้งนั้นท่านยังเคยพูดกับตาที่เป็นแค่เพียงเด็กหญิงตัวน้อย ๆ แสนซนด้วยน้ำเสียงที่มีเมตตาว่า…

จาก http://www.secret-thai.com/article/inspiration-story/12396/surangkana1/





ชีวิต ณ จุดศูนย์สุข…  สุรางคณา  สุนทรพนาเวศ (2)

ชีวิตของตาอยู่ใกล้วัดใกล้วามาตั้งแต่เด็กเพราะวิ่งเล่นอยู่ในวัดบูรพารามซึ่งอยู่ใกล้บ้าน ทำให้มีโอกาสได้เจอหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ศิษย์ของหลวงปู่มั่นที่ยังมีชีวิตอยู่ในสมัยนั้น

กว่าที่พวกเราจะเข้ามาเรียนที่ธรรมศาสตร์ได้นั้นเราต้องเหยียบย่ำคนมาตั้งเท่าไหร่…เพราะฉะนั้นอย่าคิดว่าเราเรียนเพื่อตัวเอง แต่จงเรียนเพื่อคนอื่นๆ ที่ไม่มีโอกาส และนำความรู้ที่ได้ไปช่วยพวกเขา

ตาเป็นเด็กที่ซนมาก ชอบเที่ยวเล่นไม่เคยรับรู้ว่าตัวเองเป็นผู้หญิง ต้องสำรวมระวัง ไปวัดก็ไปวิ่งเล่นโป้งแปะกับเพื่อน จำได้ว่าที่วัดบูรพารามมีต้นหูกวางเยอะและมีกุฏิพระอยู่โดยรอบ

วันนั้นตาก็ไปวิ่งเล่นกับเพื่อนเหมือนทุกวัน ขณะที่วิ่งไล่กันอยู่นั้น ตาก็วิ่งหนีไปจับชายผ้าเหลืองของพระรูปหนึ่งที่กำลังกวาดลานวัดอยู่ โดยที่ไม่ทราบเลยว่าท่านคือหลวงปู่ดูลย์ พระภิกษุผู้มีปฏิปทาสูงเป็นที่เคารพนับถือของพระบรมวงศานุวงศ์และบุคคลทั่วไป แต่หลวงปู่ดูลย์มีเมตตาสูงมาก ท่านพูดกับเด็กหญิงตาในวันนั้นว่า“เป็นผู้หญิงจับจีวรพระไม่ได้นะ”

เมื่อโตขึ้น เล่าให้ใครฟังมีแต่คนบอกว่าเป็นบุญของตา และนั่นก็คงเป็นความจริง ตาคงเคยทำบุญมาบ้าง เพราะหลังจากนั้นต่อให้ชีวิตพลิกผันไปอย่างไร ตาก็ได้ประสบแต่สิ่งที่ดี มีคนคอยอุปถัมภ์ค้ำชูเสมอมา

บ้านนอกเข้ากรุง

ตอนเด็ก ๆ ตาอยู่กับยายที่จังหวัดสุรินทร์ พอเริ่มเข้าเรียน ป.3 แม่ก็รับมาอยู่ที่กรุงเทพฯด้วยกัน แต่อยู่กับแม่ได้ไม่นาน ผู้จัดการร้านคอฟฟี่ช็อปที่แม่ทำงานอยู่ก็ขอตาไปเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม เพราะสามีภรรยาคู่นี้ไม่มีลูก ด้วยความที่เป็นเด็กต่างจังหวัด เมื่อเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ ตาก็กลายเป็นเด็กไม่มีความมั่นใจ ที่เคยกล้าพูด กล้าเล่นก็กลายเป็นเด็กขี้อาย ร้องไห้เก่ง และไม่กล้าพูด

จำได้ว่า สมัยเด็ก ๆ ตาเกลียดวิชาภาษาอังกฤษมาก เพราะเรียนไม่ทันเพื่อน ด้วยความที่เป็นเด็กบ้านนอก เขียนได้แค่เอบีซี แต่วันแรกที่เข้ามาเรียนกรุงเทพฯครูสั่งให้เขียนชื่อวันทั้งเจ็ดเป็นภาษาอังกฤษ ตาเขียนไม่ได้เลยถูกทำโทษ พอกลับบ้านไปเล่าให้แม่ฟัง แม่ก็เลยช่วยสอนภาษาอังกฤษให้ พอถึงชั้น ป.6 จากเด็กเรียบร้อยที่โดนเพื่อนผู้ชายแกล้งเป็นประจำ ตาก็ลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเองด้วยการเลือกเรียนวิชาเนตรนารี และสมัครเป็นสารวัตรนักเรียน เป็นจราจรโรงเรียน คอยดูแลให้คนข้ามถนน  ซึ่งช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเองมากขึ้ นอกจากนั้นว่าง ๆ ยังไปเตะบอลกับเพื่อนผู้ชายด้วยเพราะไม่อยากให้เขามาแกล้งเราอีก

หลังจากจบ ป.6 ตาก็เข้าเรียนต่อที่โรงเรียนสายน้ำผึ้ง เป็นโรงเรียนหญิงล้วนที่มีชื่อเสียง อยู่แถวสุขุมวิท 22 สมัยก่อนสุขุมวิทไม่เจริญเหมือนทุกวันนี้ สองข้างทางยังเป็นทุ่งนาเล้าหมู เวลาจะไปเรียนก็ต้องนั่งรถสองแถวจากปากซอยเข้าไป

ชีวิตวัยเรียนของตาค่อนข้างสนุกสนานตาเป็นคนเรียนระดับปานกลาง แต่ชอบทำกิจกรรม เป็นทั้งนักวิ่ง นักยิมนาสติกแต่พอขึ้น ม.4 ชีวิตก็ต้องพบกับจุดเปลี่ยนอีกครั้ง

ตามสูตรสู่ดวงดาว

วันหนึ่งตาไปเดินเล่นแถวสยามฯแล้วไปเจอโมเดลลิ่ง ตามสูตรของการเป็นดารายุคนั้นเป๊ะ หลังจากนั้นก็มีงานถ่ายแบบถ่ายโฆษณาตามมามากมาย งานแรกได้ถ่ายโฆษณาน้ำอัดลม ตามด้วยโฆษณาฟิล์มถ่ายรูป และด้วยความที่มือสวย ฟันสวย ตาก็ได้งานโฆษณาแบบที่ใช้มือของเราไปจับหน้าคนอื่น ได้ถ่ายโฆษณายาสีฟันที่เป็นภาพยิ้มเห็นฟันอยู่ข้างกล่อง

เมื่อเข้าวงการก็เริ่มมีเงินจ่ายค่าเทอมของตัวเอง งานแรกได้เงินถึง 20,000 บาท หลังจากนั้นเมื่ออายุ 18 ปีก็ได้รับเลือกให้เป็นอิมเมจเกิร์ลของผลิตภัณฑ์น้ำมันเครื่องจากประเทศฝรั่งเศสยี่ห้อหนึ่ง ทำหน้าที่เป็นพรีเซ็นเตอร์ เวลามีการแข่งรถต้องไปยืนถือร่มที่สนามแข่ง เซ็นสัญญาทำงานหนึ่งปี ได้รับเงินเดือนเดือนละ 20,000 บาท

นอกจากนั้นตอนอยู่ ม.6 บังเอิญมีพี่เลี้ยงนางงามชวนไปประกวดนางนพมาศที่สมุทรปราการ พอได้ตำแหน่งก็ไปประกวดนางสงกรานต์วิสุทธิกษัตริย์ ซึ่งเป็นงานประกวดนางสงกรานต์ที่ดังมาก แล้วไปจบด้วยการประกวดนางสาวไทย

ความจริงตามีแววด้านนี้มาตั้งแต่เด็ก ๆเพราะตาชอบถือไม้กวาดอยู่หน้ากระจกแล้วพูดว่า “สุรางคณา คัมฟรอมไทยแลนด์”

ตอนอายุ 14 กลับไปเยี่ยมยายที่จังหวัดสุรินทร์ท่านก็ให้เป็นนางเทียน ใส่ชุดไทยนั่งบนรถแห่เทียนพรรษาของวัด เรียกว่าก่อนประกวดนางสาวไทยตาผ่านมาหลายเวทีมาก แม้กระทั่งสาวแพรวก็เคยประกวดมาแล้ว เป็นรุ่นเดียวกับ คุณหน่อย - บุษกร วงศ์พัวพันธ์ปีนั้นพี่หน่อยได้ตำแหน่ง ส่วนตาได้เป็นรองสาวแพรว

แม้ว่าจะทำกิจกรรมมากมาย แต่ตาก็ยังเป็นคนที่รักเรียน จบ ม.6 แล้วก็สอบเข้าเรียนต่อที่คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้สมความตั้งใจและชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยก็ให้อะไรตามากมายจนถึงทุกวันนี้

คำสอนของธรรมศาสตร์ 

สมัยก่อนการประกวดนางสาวไทยได้รับความสนใจมาก แต่แทบจะไม่มีนักศึกษามหาวิทยาลัยปิดเข้าประกวดเพราะต้องใส่ชุดว่ายน้ำ จึงเสี่ยงกับการถูกไล่ออก ตาน่าจะเป็นผู้เข้าประกวดที่มาจากมหาวิทยาลัยปิดยุคแรก ๆ ก็ว่าได้

ตอนนั้นเป็นช่วงปิดเทอม ตาไม่มีอะไรทำเลยลองเข้าประกวดดูเล่น ๆ แอบไปโดยไม่บอกเพื่อน ไม่บอกแฟน กะว่าถ้าตกรอบจะได้ไม่ต้องอายใคร แล้วสมัยก่อนคนเข้าประกวดนางงามต้องทำผมทรงฟาร์ราห์แต่ตากลับตัดผมสั้น โอกาสเข้ารอบน้อยมาก เรียกว่าเป็นม้ามืดเลยทีเดียว ยิ่งรอบที่ให้แสดงความสามารถพิเศษ ตาก็ไม่มีอะไรไปโชว์เลยสักอย่าง คนอื่นรำไทย เล่นเปียโน เต้นบัลเลต์ ตาทำได้อยู่อย่างเดียวคือ พูดเก่ง เลยขอเป็นพิธีกรคู่กับเพื่อนอีกคนในเวทีประกวดนางสาวไทย

ผลปรากฏว่า ปีนั้น คุณยลดา รองหานาม ได้เป็นนางสาวไทย และตาได้เป็นรองนางสาวไทยอันดับ 4 แบบที่ไม่มีใครคาดหมาย เพราะเป็นรองนางสาวไทยที่ตัดผมสั้น คุยเก่ง ไม่ได้มีบุคลิกเรียบร้อยอย่างรุ่นก่อน ๆ เลยแม้แต่น้อย

พอได้รับตำแหน่งก็กลายเป็นที่รู้จักของเพื่อนในมหาวิทยาลัย แต่ตาก็ยังใช้ชีวิตเหมือนเดิม เพราะธรรมศาสตร์สอนให้ทุกคนมีความเท่าเทียมกัน ไม่ได้แบ่งรวยจน ทุกคนเป็นเพื่อนกันได้หมด ตาได้รับคำสอนดี ๆ จากธรรมศาสตร์ที่นำมาใช้ในทุกวันนี้หลาย ๆ เรื่องโดยเฉพาะการทำอะไรเพื่อคนอื่น

เทอมแรกของการเรียน รุ่นพี่พาตาและเพื่อน ๆ ไปทำกิจกรรม “รับเพื่อนใหม่”ที่หาดแม่รำพึง การรับน้องที่นี่ไม่โหด เราเน้นทำกิจกรรมที่สนุกสนานและผูกสัมพันธ์มากกว่า จำได้ว่า เย็นวันนั้นหลังจากที่พี่ ๆ แกล้งให้น้องทำนั่นทำนี่จนเหนื่อยแล้ว พวกเขาก็มานอนเรียงคว่ำหน้าอยู่บนชายหาดแล้วให้น้องเดินเหยียบหลังข้ามไป พี่ ๆถามพวกเราว่า รู้ไหม ทำไมถึงให้ทำอย่างนี้ส่วนใหญ่เราจะตอบว่า เพราะพี่ ๆ อยากบอกว่าธรรมศาสตร์สอนให้เราทุกคนมีความเท่าเทียมกัน แต่ความจริงแล้วไม่ใช่

พี่ที่เป็นหัวหน้าบอกกับพวกเราว่ากว่าที่พวกเราจะเข้ามาเรียนที่ธรรมศาสตร์ได้นั้น เราต้องเหยียบย่ำคนมาตั้งเท่าไหร่ หนึ่งต่อหนึ่งพันคน หนึ่งต่อหนึ่งหมื่นคน มีลูกตาสีตาสาลูกชาวไร่ชาวนาอีกมากมายที่เขาอยากมาเรียนที่นี่ แต่ไม่มีโอกาส แล้วเงินที่เราใช้เรียนก็มาจากภาษีของประชาชนเพราะฉะนั้นอย่าคิดว่าเราเรียนเพื่อตัวเองแต่จงเรียนเพื่อคนอื่น ๆ ที่ไม่มีโอกาส และนำความรู้ที่ได้ไปช่วยพวกเขา ตาประทับใจคำสอนของธรรมศาสตร์มาก และใช้เป็นหลักในการดำเนินชีวิตมาจนถึงปัจจุบัน

หลังจากประกวดนางสาวไทยแล้วตาก็เข้าสู่วงการบันเทิง เป็นพิธีกร เล่นละคร และที่ดังเป็นพลุแตกก็ตอนรับบทเป็นผู้หญิงขายตัวในละครเรื่อง คุณหญิงนอกทำเนียบ ที่มี นุสบา ปุณณกันต์เป็นนางเอก คุณแดง - สุรางค์ เปรมปรีดิ์จับพลิกบทบาทแบบสุดขั้ว จากนางงามมาเป็นนางร้ายปากจัดจนคนอินกันทั่วบ้านทั่วเมือง

แต่ดังเป็นพลุแตกได้ไม่นาน ตาก็ทิ้งชื่อเสียงเงินทองในฐานะดาราไปเรียนต่อที่ประเทศญี่ปุ่น ทำไมจึงเป็นประเทศนี้ เดี๋ยวตาจะเล่าให้ฟัง…

(โปรดติดตามตอนต่อไป)


จาก http://www.secret-thai.com/article/inspiration-story/12399/surangkana2/


" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด


ชีวิต ณ จุดศูนย์สุข…  สุรางคณา  สุนทรพนาเวศ (3)


หลังเรียนจบปริญญาตรีจากธรรมศาสตร์  ตา (สุรางคณา สุนทรพนาเวศ) มีชื่อเสียงโด่งดังแบบสุดๆ มีงานเยอะไม่เว้นแต่ละวัน  แต่ก็ตัดสินใจทิ้งทุกอย่างเพื่อไปเรียนต่อปริญญาโทที่ประเทศญี่ปุ่น

ตาเป็นคนที่คิดอะไร  ทำอะไรไม่เหมือนคนอื่น  ตอนนั้นภาษาอังกฤษยังไม่ค่อยดีมาก  เลยคิดว่าน่าจะไปเรียนภาษาญี่ปุ่น  เพราะคิดว่าชาวต่างชาติคนอื่นที่มาเรียนที่นี่ก็ต้องเริ่มจากศูนย์เหมือนกัน  เราจะได้สู้คนอื่นได้  ก่อนไปหลายคนอาจไม่ทราบว่าตาเกือบจะได้เป็นนักร้อง  เพราะไปซุ่มร้องเพลงอยู่ในค่ายมูเซอของ พี่จิก -ประภาส  ชลศรานนท์  แต่สอบติดที่ญี่ปุ่นก่อนเดินสายทัวร์คอนเสิร์ต  เลยตัดสินใจทิ้งงานแสดงและนักร้องไปเป็นนักศึกษาอีกครั้ง

ตอนนั้นพี่จิกเพิ่งเปิดบริษัทเวิร์คพอยท์กับ พี่ตา - ปัญญา  นิรันดร์กุล  ตามีโอกาสได้ไปช่วยร้องเพลงช่วงคำถามในรายการว่า“ยังจำได้ไหม  จำได้หรือเปล่า…ยังจำได้ไหมจำได้หรือเปล่า”  ช่วงแรก ๆ เป็นเสียงร้องของตา  ก่อนที่จะมีผู้หญิงสองคนออกมาร้องและเต้นอย่างปัจจุบัน

เมื่อสอบเข้าเรียนต่อที่ประเทศญี่ปุ่นได้ตาก็ตัดสินใจว่า ในเมื่อสอบได้แล้ว  เราก็ต้องคว้าเอาไว้

 

ชีวิตนักศึกษาในญี่ปุ่น

ปีแรกของการไปเรียนด้านเศรษฐศาสตร์ที่ มหาวิทยาลัยโตเกียวอินเตอร์เนชั่นแนล(Tokyo International University)  ตาต้องจ่ายค่าเทอมเอง  แต่พอเข้าปีที่สองตาก็สอบชิงทุนของรัฐบาลญี่ปุ่นได้  แถมยังสอบได้ถึงสองทุน คือ ทุนโรตารีและทุนมอนบูโช(Monbusho)  แต่ตาเลือกทุนมอนบูโชเพราะให้ทุนการศึกษามากกว่า  ด้วยความที่เป็นคนคุยเก่งและตั้งใจเรียน  ทำให้ตาเรียนรู้ภาษาญี่ปุ่นได้เร็ว สามารถข้ามชั้นของการเรียนภาษาไปในระดับที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ

ครึ่งปีแรกของการเรียน  ตาสามารถพูดภาษาญี่ปุ่นที่ใช้ในชีวิตประจำวันได้  ครึ่งปีหลังตาต้องนั่งท่องคำศัพท์ทางด้านเศรษฐศาสตร์ที่ต้องใช้ในการเรียนเป็นภาษาญี่ปุ่นและเขียนวิทยานิพนธ์

3 ปีในญี่ปุ่นให้ประสบการณ์ชีวิตที่ดีมาก  สอนให้ตารู้จักมีระเบียบวินัยและรู้คุณค่าของเวลา  ที่ญี่ปุ่นมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากับที่อื่น ๆ ในโลกก็จริงแต่คนที่นี่ใช้เวลาอย่างคุ้มค่ามาก เมื่อก่อนตาเป็นคนเรื่อย ๆ  กินข้าวช้า  เดินช้า  พอไปใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่นก็ต้องปรับให้เร็วขึ้น  นอกจากนั้นสังเกตว่า  ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน  จะเห็นคนญี่ปุ่นมีหนังสือติดมือตลอดเวลาแม้แต่ตอนที่รถไฟแน่น ๆ  มือหนึ่งโหนรถอีกมือก็อ่านหนังสือได้หน้าตาเฉย

ที่สำคัญ  คนที่นี่ยังรักษาประเพณีที่ดีงามไปพร้อม ๆ กับการเจริญเติบโตของเทคโนโลยี  สาว ๆ สามารถใส่ชุดกิโมโนปั่นจักรยานไปไหนมาไหนได้เป็นเรื่องปกติ  ตาเห็นแล้วก็ชื่นชม  และที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ  ความละเอียดอ่อนและใส่ใจกับสิ่งต่าง ๆทั้งอาหารการกิน  ข้าวของเครื่องใช้

ช่วงแรกของการเรียนที่นี่ผ่านไปด้วยดีจนกระทั่งถึงช่วงทำวิทยานิพนธ์  นอกจากจะยากเพราะต้องใช้ภาษาญี่ปุ่น  ตายังทะเลาะกับโปรเฟสเซอร์  ทำให้รู้สึกท้อแท้ใจจนไม่อยากเรียนต่อให้จบ  แต่โชคดีที่โทร.คุยระบายกับเพื่อนที่เคยเรียนธรรมศาสตร์มาด้วยกัน  เขาพูดกับตาว่า

“จำได้ไหมว่าเราเรียนเพื่ออะไร  เราเรียนเพื่อคนอื่นอีกมากมายที่ไม่มีโอกาส คนไทยสักกี่คนที่จะได้มาเรียนที่ประเทศญี่ปุ่น  อย่าคิดถึงแต่ตัวเอง  ให้คิดถึงคนอื่นด้วย”

ตาได้ฟังเพื่อนพูดแล้วก็ฮึดสู้จนเรียนจบในที่สุด  เป็นการเรียนที่ต้องใช้ใจต่อสู้เป็นอย่างมาก  แต่เมื่อกลับมาประเทศไทยกลับมีคนนินทาว่าตาไปขายตัวที่ประเทศญี่ปุ่นและไม่ได้ไปเรียนอย่างที่บอกใคร ๆ  เพราะสมัยนั้นผู้หญิงไทยที่ไปญี่ปุ่นเป็นแบบนั้นเยอะมาก  แต่เมื่อหลายคนได้เห็นใบปริญญาบัตรของตา ก็ไม่มีอะไรให้ต้องสงสัยอีกต่อไป

หลังจากเรียนจบใหม่ ๆ  ตาก็ลองสอบเข้าทำงานที่บริษัทในประเทศญี่ปุ่น  เพราะอยากวัดความรู้ความสามารถของตัวเองปรากฏว่า  สอบได้บริษัทยักษ์ใหญ่ที่ผลิตจอแอลซีดี  แต่ทำได้แค่เดือนเดียวก็ลาออกเพราะอยากไปเรียนต่อปริญญาโทด้านเศรษฐศาสตร์ที่ประเทศอังกฤษ  ตอนแรกก็ไปเรียนภาษาที่ UCL College ก่อนหลังจากนั้นก็สมัครเรียนต่อที่ London School of Economics (LSE)  แต่ยังไม่ได้เข้าเรียน  ปรากฏว่า ประเทศไทยประสบกับภาวะต้มยำกุ้งเสียก่อน  ตาเลยตัดสินใจกลับมาทำงานในวงการบันเทิงอีกครั้ง

เมื่อกลับมาจากญี่ปุ่นใหม่ ๆ  รายการต่างๆเชิญไปเป็นแขกรับเชิญเยอะมากเพราะแทบจะไม่มีดาราคนไหนที่เป็นรองนางสาวไทยแล้วไปเรียนต่อจนจบปริญญาโทจากประเทศญี่ปุ่น  นอกจากนั้นยังได้รับงานพิธีกรของบริษัทญี่ปุ่นในประเทศไทย  ทั้งพิธีกรเปิดโรงงาน  พิธีกรฉลองครบรอบ10 ปี  ฯลฯ  เรียกว่างานเข้าเยอะมาก

 

ความเจ็บป่วยทำให้รู้จักธรรมะ

ตาอยู่วงการบันเทิงก็ใช้ชีวิตเหมือนคนในวงการทั่วไป  เหล้าก็ดื่ม  บุหรี่ก็สูบแต่ตาชอบเล่นกีฬามาก  ทั้งตีกอล์ฟ ดำน้ำจนถึงขั้นเปิดร้านสอนดำน้ำด้วยตัวเอง  ฟิตขนาดนี้ตาเลยไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเจ็บป่วยเป็นโรคร้ายแม้แต่น้อย

จนวันหนึ่งไปตรวจสุขภาพประจำปีคุณหมอพบว่า  ท่อน้ำดีโตกว่าปกติ  ท่อน้ำดีของคนอื่นอาจจะกว้างแค่ 3 มิลลิเมตร  แต่ของตากว้างถึง 6 เซนติเมตร…ใหญ่มากจนคุณหมอตกใจ  ต้องขอตัดมาตรวจว่าเป็นเนื้อร้ายหรือไม่

โรคท่อน้ำดีโตผิดปกติเป็นโรคที่พบน้อยมาก  มันจะโตตามวัยของเราไปเรื่อย ๆ ตอนเด็ก ๆ ตาคิดว่าตัวเองอาจเป็นโรคบิดเพราะมักจะปวดท้อง  อาเจียนมีน้ำเหลือง ๆขม ๆ ออกมา  แต่ความจริงมันคืออาการของโรคนี้นั่นเอง

โชคดีว่าชิ้นเนื้อที่นำไปตรวจ  คุณหมอไม่พบว่าเป็นเนื้อร้าย  แต่ท่านแนะนำว่าถ้าทิ้งไว้อาจจะมีโอกาสเป็นมะเร็ง  ตาเลยตัดสินใจตัดออก  ความเจ็บป่วยในครั้งนี้ทำให้ตารู้ซึ้งกับคำว่า “อนิจจัง  ทุกขัง อนัตตา” มาก  จากที่เมื่อก่อนรู้สึกต่อต้านกับคำสอนภาษาบาลี  ไม่เข้าใจว่าต้องพูดคำยาก ๆ ทำไม  เพื่อนเคยให้หนังสือ “คู่มือมนุษย์” ของท่านพุทธทาสมาอ่านตอนอกหักก็หันไปด่าเพื่อนว่า  “มึงเห็นกูไม่เป็นมนุษย์เหรอ”  แต่ในวันที่เจ็บป่วย  ตาก็เริ่มเข้าใจแล้วว่า ทำไมเราจึงต้องเรียนรู้เรื่องความไม่เที่ยง

จากคนที่เคยร่างกายแข็งแรง  บ้าพลังทำงานวันหนึ่งประมาณ 16 ชั่วโมง  แต่หลังผ่าตัด  คุณหมอให้นอนพักผ่อนสิบกว่าวัน  นอกจากจะรู้สึกเบื่อมากแล้ว  เวลาหายใจเข้าก็จะรู้สึกปวดแผลมาก  เพราะแผลผ่าตัดค่อนข้างใหญ่  พอยาชาหมดฤทธิ์ ตาปวดเหมือนจะตายให้ได้  รู้สึกเลยว่าหายใจออกเหมือนสวรรค์หายใจเข้าเหมือนนรกสลับกันไปมาอยู่อย่างนี้

นั่นเป็นครั้งแรกที่เกิดปัญญาเห็นธรรม“เออหนอ…ร่างกายนี้เป็นทุกข์”  เวลาร่างนี้เป็นทุกข์  พ่อแม่พี่น้องก็ไม่สามารถมาทุกข์แทนเราได้  “ฉันเจ็บก็เจ็บคนเดียว  ฉันทุกข์ก็ทุกข์คนเดียว  ฉันตายก็ตายคนเดียว”เมื่อเห็นอย่างนี้ตาเลยเกิดความคิดว่า  เราไม่อยากเกิดอีกแล้ว  คิดว่าทำไมการเกิดเป็นมนุษย์มีแต่ทุกข์  มีหนทางไหนที่เราจะพ้นทุกข์บ้างไหม

ในวันนั้นตาหยิบหนังสือของท่านพุทธทาสมาอ่าน  เข้าใจบ้าง  ไม่เข้าใจบ้างแต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ศึกษาธรรมะอย่างจริงจัง  ตาเริ่มด้วยการเลิกสูบบุหรี่อย่างเด็ดขาด  เพราะไม่อยากทำร้ายร่างกายตัวเอง  และใช้ชีวิตด้วยการทำงานครึ่งเดือน ไปศึกษาธรรมะที่วัดอีกครึ่งเดือน  แรก ๆ ก็ไปสวดมนต์ที่วัดสุทัศน์ตอนหนึ่งทุ่มทุกเย็นตั้งจิตอธิษฐานว่า  “ไม่ว่าฝนจะตก  แดดจะออก  หรือเกิดอะไรขึ้น ฉันก็จะมาสวดมนต์ให้ได้ทุกวันให้ครบ 3 เดือน”  และแค่การไปสวดมนต์อย่างเดียวก็ทำให้ตารู้ว่า  ตัวเองได้ปฏิบัติบารมีหลายข้อมาก  ทั้งวิริยะบารมีขันติบารมี  สัจจะบารมี  และนี่ก็น่าจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ตาเลิกบุหรี่ได้สำเร็จเพราะเรามีจิตใจที่เข้มแข็งมากขึ้นเรื่อย ๆในการต่อสู้กับกิเลส

หลังจากนั้นตาก็เริ่มฟังธรรมมากขึ้นและครั้งหนึ่งก็เคยไปบวชชีที่วัดเขาสมโภชน์ จังหวัดลพบุรี  ได้กลับไปเป็นนักเรียนอีกครั้ง  ได้เรียนพระอภิธรรมอย่างลึกซึ้ง ตอนนั้นเพื่อน ๆ ในวงการไม่ค่อยมีใครรู้เพราะสมัยก่อนการปฏิบัติธรรมยังอยู่ในวงจำกัด  แต่บวชได้ 15 วันตาก็กลับมาใส่วิกเล่นละครต่อ  ในช่วงเวลานี้เองที่ตาเริ่มได้เป็นพิธีกรงานที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาได้ช่วยเหลืองานของมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยและมหามกุฏราชวิทยาลัย  ได้มีโอกาสพบเจอกับพระอาจารย์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมากมาย  รวมถึงได้รับโอกาสให้ไปบรรยายธรรมในทัณฑสถานหญิง  ซึ่งทำให้ตาได้พบกับเพื่อนคนหนึ่งที่เคยประกวดนางงามมาด้วยกัน

เพื่อนคนนี้เป็นคนสวย  แถมยังนิสัยดี  แต่เมื่อมองที่ข้อเท้า  ตาก็ถึงกับตะลึง!…

จาก http://www.secret-thai.com/article/inspiration-story/12405/surangkana3/




ชีวิต ณ จุดศูนย์สุข…  สุรางคณา  สุนทรพนาเวศ (จบ)

“คบคนพาล  พาลพาไปหาผิด  คบบัณฑิต  บัณฑิตพาไปหาผล”

เป็นคำกล่าวที่เราได้ยินมาช้านาน  แต่เป็นจริงทุกยุคสมัย  ในภาษาธรรมเราเรียกเพื่อนที่ชักนำไปในทางที่ดีงามและทางที่เจริญว่า “กัลยาณมิตร”  แต่น่าเสียดายที่กว่าเพื่อนคนหนึ่งของตา (สุรางคณา ทรพนาเวศ)จะซึ้งใจในคำกล่าวนี้ก็ต้องเข้าไปอยู่ในคุก

ด้วยความที่ตาสนใจธรรมะ  พากเพียรเรียนจนจบนักธรรมเอก  ก็เลยได้รับคำเชิญให้ไปบรรยายธรรมในเรือนจำกลางคลองเปรมให้นักโทษหญิงฟัง  ครั้งแรกที่ไปเห็นว่านักโทษที่นี่ต้องอยู่กันอย่างแออัดต้องใช้ชีวิตอยู่ในกรงแคบ ๆ  แม้กระทั่งห้องสมุดก็ยังเป็นกรง  กว่าตาจะเข้าไปถึงชั้นในได้ต้องผ่านประตูถึง 3 ชั้น

…ตาเข้าไปแล้วยังเดินออกมาได้  แต่ผู้หญิงอีกหลายคนที่เข้าไปอยู่ในนั้น บางคนต้องโทษประหารชีวิต  บางคนต้องโทษจำคุกตลอดชีวิต  ไม่มีโอกาสที่จะได้สัมผัสอากาศบริสุทธิ์ข้างนอกอีกเลย…

 

บรรยายธรรมในเรือนจำ

วันที่ตาไปบรรยาย  มีนักโทษหญิงราว 100 คนที่ผ่านการคัดเลือกแล้วมานั่งฟัง บางคนเป็นยายแก่ ๆ หน้าตาไม่น่าจะเป็นนักโทษเลยสักนิด  วันนั้นหลังบรรยายธรรมเสร็จแล้ว  ตาก็แจกขนมให้นักโทษหญิงเหล่านั้น  แจกไปเรื่อย ๆ จนมาถึงผู้หญิงคนหนึ่งที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับตา  เห็นหน้าแล้วก็รู้สึกเอะใจว่า

“ทำไมหน้าตาคล้ายเพื่อนเราจัง  แต่คงไม่ใช่หรอก  เพราะเพื่อนเราทั้งสวย ทั้งรวย  ทั้งเก่ง  เรียนจบปริญญาโทจากเมืองนอก  ไม่น่าจะมาอยู่ในนี้”

เมื่อคิดอย่างนั้น ตาก็เลยเดินผ่านเธอไป  แต่ไม่รู้ว่าอะไรมาดลใจ  ตาย้อนกลับมายืนดูเขาอีกครั้งจากทางด้านหลัง  คิดในใจว่า “ถ้าคนนี้ใช่เพื่อนเรา  เธอจะต้องมีรอยสักที่ข้อเท้าซ้าย”  และแล้วตาก็แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง  หัวใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่มเมื่อเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นมีรอยสักที่ข้อเท้าลายเดียวกับเพื่อนของตาจริง ๆ  ยิ่งเมื่อเรียกชื่อแล้วเธอหันมา  ตาก็ยิ่งสลดหดหู่กับความจริงที่ได้เจอ

เพื่อนวิ่งเข้ามากอดตาแล้วร้องไห้คาดว่าเธอคงรู้ว่าวันนี้ตาจะมาบรรยาย  แต่ด้วยความอายจึงไม่อยากให้ตาเห็น  ความจริงเพื่อนคนนี้เป็นคนดี  ตอนที่ประเทศไทยเกิดสึนามิ  เราเคยขึ้นเครื่องบินของกองทัพอากาศไปเก็บศพ  ไปสร้างบ้านให้ผู้ประสบภัยด้วยกันแต่หลายปีหลังจากนั้นตาก็ไม่เคยเจอเธออีกเลย

เพื่อนพูดด้วยน้ำเสียงเศร้า ๆ ว่า  ถ้าก่อนหน้านี้ได้มาเดินบนเส้นทางธรรมเหมือนตา  ชีวิตก็คงไม่ต้องมาพบเจอกับเรื่องราวเลวร้ายแบบนี้  แต่นี่เธอกลับไปคบเพื่อนที่เสพยา  ค้ายา  สุดท้ายตัวเธอเองก็ถูกจับที่คอนโดพร้อมยาเสพติดจำนวนมาก  ทำให้ถูกตัดสินจำคุกถึง 50 ปี

ชีวิตของเพื่อนเป็นอุทาหรณ์อย่างดีที่ตามักจะเล่าให้ลูกศิษย์ฟังตอนเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยว่า  กัลยาณมิตรเป็นสิ่งสำคัญในชีวิต  การคบเพื่อนไม่ดีแม้เพียงแค่คนเดียว ก็อาจทำให้ชีวิตพบกับหายนะโดยที่เราคาดไม่ถึง  แต่การคบเพื่อนดีแม้มีน้อย  แต่คอยชักนำเราไปในทางที่ดี ช่วยกันยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น  ชีวิตของเราก็จะพบเจอแต่คนดี ๆ  เรื่องราวดี ๆ  และแม้มีเหตุเภทภัยอะไร  เพื่อนที่เป็นกัลยาณมิตรก็พร้อมที่จะช่วยเหลือเราเสมอ

 

“สั่งคัต” ตัวเองจากความยึดมั่น

หลังจากเรียนจบจากประเทศญี่ปุ่น  ตาก็มีโอกาสได้เป็นอาจารย์สอนภาษาญี่ปุ่นที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิตศูนย์หัวหิน  ตามด้วยการเป็นอาจารย์สอนวิชาเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่อีก1 ปี  ช่วงนี้ตามีโอกาสปฏิบัติธรรมและเรียนรู้ธรรมะจากครูบาอาจารย์มากมาย  ทั้งจาก หลวงปู่เปลี่ยน  ปัญญาปทีโป,  หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร,  หลวงปู่ตื้อ  อจลธัมโม,  หลวงปู่สังข์  สังกิจโจ  ทุกวันอาทิตย์ตาก็จะนำของไปถวายพระ  ไปฟังธรรมะจากท่าน  ซึ่งก่อนหน้านั้นตาก็ไปปฏิบัติธรรมตามแนวทางต่าง ๆ  เช่น แนว ท่านโกเอ็นก้า ตามศูนย์ต่าง ๆ  รวมถึง คุณแม่สิริ  กรินชัย ที่วัดผาณิตาราม  พระอภิเชษฐ์ ที่จังหวัดลำปาง พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชโช,  อดีตพระมิตซูโอะ  คเวสโก  รวมถึง พระอาจารย์นวลจันทร์  กิตติปัญโญ  ฯลฯ

ตาเป็นคนที่ทำอะไรทำจริง  ทำแล้วก็จะทำให้ถึงที่สุด  และไม่หวั่นเกรงกับอะไรหลายคนอาจบอกว่า นักแสดงปฏิบัติธรรมไม่ได้  เพราะอาชีพนี้มีแต่สร้างกิเลส  ปรุงแต่ง

การเป็นนักแสดงทำให้เราสามารถพิจารณาธรรมได้มากกว่าคนอื่นได้เห็นภพชาติจากการรับบทบาทต่างๆเป็นพี่  เป็นแม่  เป็นภรรยาได้เห็นการเกิด-ดับ  การพบเจอการจากลา  การพลัดพราก จิตให้หัวเราะ  ร้องไห้ไปตามอารมณ์  แต่สำหรับตากลับค้นพบว่า  การเป็นนักแสดงทำให้เราสามารถพิจารณาธรรมได้มากกว่าคนอื่น  ได้เห็นภพชาติจากการรับบทบาทต่าง ๆ เป็นพี่  เป็นแม่  เป็นภรรยา  ได้เห็นการเกิด - ดับ  การพบเจอ  การจากลา  การพลัดพราก  เห็นชัดมากจนทำให้รู้สึกเบื่อกับการเวียนว่ายตายเกิด  นอกจากนั้นการเป็นนักแสดงยังทำให้ตา “สั่งคัต” ตัวเองจากอารมณ์ต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น

ในละคร ผู้ชายคนนี้อาจเป็นสามีของเรา แต่พอผู้กำกับสั่งคัตปุ๊บ เขาก็กลายเป็นคนอื่น ในชีวิตจริงตาคิดว่า ถ้าเรารู้จัก “สั่งคัต” ตัวเองจากความยึดมั่นถือมั่นต่าง ๆ เราจะมีความสุขได้ง่ายขึ้น  ทุกวันนี้ตายังไม่มีครอบครัว  แต่ก็ไม่คิดว่าปฏิบัติธรรมแล้วจะต้องไม่มีครอบครัว  คิดว่าแล้วแต่ธรรมะจัดสรร  ถ้าวันหนึ่งจะมีก็มี  ถ้าไม่มีก็มีความสุขกับการเป็นโสด  เพราะเห็นว่าตัวเองยังทำประโยชน์ให้สังคมได้โดยไม่มีภาระ

ตาเชื่อว่าคนเราไม่ได้ทุกข์เพราะใครแต่ทุกข์เพราะตัวเองนั่นแหละ  กายนี้  ใจนี้คือทุกข์  มีกายนี้ก็ต้องหิว  ต้องป่วย  พลัดพรากจากสิ่งที่รักก็ทุกข์  ไม่ต้องไปโทษใครอื่น  เราทั้งนั้นที่ทำตัวเอง  น้ำตาไหลเมื่อได้ไปสักการะสังเวชนียสถาน

ก่อนจะไปเรียนปริญญาเอกด้านเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยจาวาฮาร์ลาล  เนห์รู (Jawaharlal  Nehru University)  ประเทศอินเดีย  ตาเคยไปสักการะสังเวชนียสถานมาแล้ว 8 ครั้ง  และไม่มีครั้งไหนที่น้ำตาไม่ไหล

ก่อนไปได้ยินมาว่าเพื่อนบางคนร้องไห้ด้วยความปีติ  ตาคิดว่าตัวเองคงไม่เป็นอย่างนั้นแน่นอน  เพราะ “ฉันเป็นดารา ฉันสั่งตัวเองให้ร้องไห้หรือหยุดร้องไห้ได้”  แต่ความจริงกลับตรงกันข้าม  และมีเรื่องราวอัศจรรย์เกิดขึ้นกับตาตั้งแต่วันแรก ๆ ที่ไปถึง

ตอนนั้นตาเชื่อว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ดี  แต่ไม่แน่ใจว่าพระพุทธเจ้ามีจริงหรือเปล่า  ตามประสาคนเชื่อยากชอบพิสูจน์ เมื่อไปถึงอินเดียครั้งแรกและได้นั่งใต้ต้นโพธิ์ที่วัดพุทธคยา  สถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ตาก็อธิษฐานจิตว่า  ถ้าชาตินี้จะมีโอกาสได้เผยแผ่ธรรมะ  ก็ขอให้ใบโพธิ์ซึ่งตอนนั้นยังมีใบเขียวเต็มต้นร่วงลงมา

อธิษฐานยังไม่ทันขาดคำ  ใบโพธิ์ก็ร่วงลงมากลางมือ  ตาน้ำตาร่วง  ขนลุกซู่ไม่อยากจะเชื่อว่าสิ่งที่เราสงสัยนั้น “สิ้นสงสัยแล้ว”  ยิ่งเมื่อเดินทางไปยังกุสินาราวิหารปรินิพพานซึ่งภายในเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางปรินิพพาน  ตาก็น้ำตาร่วงเผาะ ๆ เป็นสายหยุดไม่ได้  เกิดความรู้สึกปีติระคนกับความสลดโศกาว่า  “พระพุทธเจ้าได้หลุดพ้นจากสังสารวัฏนี้ไปนานแล้ว  แต่เรายังว่ายวนอยู่ที่นี่  เราจะอยู่ไปจนถึงเมื่อไหร่…”  ตาร้องไห้แบบไม่หยุดทุกครั้งที่ไปยังสถานที่แห่งนี้  ยิ่งเมื่อสวดมนต์บทสวดสรภัญญะ  “องค์ใดพระสัมพุทธ สุวิสุทธสันดาน…” ไปด้วย  น้ำตาก็จะไหลเหมือนท่อน้ำตาแตก  สั่งให้หยุดก็ไม่ได้ต้องปล่อยไปอย่างนั้น ตาเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้สัมผัสได้เฉพาะตน  อาจไม่เกิดกับคนอื่นแต่เกิดขึ้นกับตาแล้วจริง ๆ  และทำให้ความเชื่อมั่นศรัทธาในพระพุทธศาสนาของตามีความมั่นคงแข็งแรงยิ่งขึ้น

ปัจจุบันตากำลังศึกษาปริญญาเอกที่ประเทศอินเดีย  สองปีที่อยู่ที่นี่ได้ฝึกตัวเองในหลายเรื่อง  ก่อนไปเรียนตาขายรถขายบ้าน ทิ้งทุกอย่างแล้วกลับไปเป็นนักศึกษาธรรมดา ๆ อีกครั้ง  ไปอยู่ที่โน่นได้ใช้ชีวิตในหอพัก  เป็นหอรวม  ห้องน้ำรวม  ต้องซักผ้าด้วยตัวเอง  กินข้าวหอกินโรตีจาปาตีแทนข้าว  ถ้าเบื่อก็กินมาม่าชีวิตในแต่ละวันเหมือนได้ปฏิบัติธรรม  ได้เห็นตัวเองชัด ๆ อีกครั้งว่า  “ตา - สุรางคณา”ที่ไม่ได้เป็นคนมีชื่อเสียง  มีคนรู้จัก  สามารถใช้ชีวิตให้มีความสุขได้อย่างไร

ตาเชื่อว่ายิ่งเราไม่สะสม  ตัวเราก็จะยิ่งเบา  ทุกวันนี้ตามีแค่กระเป๋าใบเดียวแต่ไปได้ทั่วโลกโดยไม่มีอะไรต้องกังวล  ตาคิดว่าคนเราทุกคนมีหน้าที่ “เรียนรู้ตัวเอง”สร้างประโยชน์ให้ตนเอง  สร้างประโยชน์ให้ผู้อื่น  ไม่เบียดเบียนตัวเอง  และไม่เบียดเบียนผู้อื่น…

ถ้าทำได้  ถึงจะอยู่ที่ไหน  เราก็สุขใจแน่นอนค่ะ

———————————————————

(เรื่อง สุรางคณา  สุนทรพนาเวศ  เรียบเรียง เสาวลักษณ์  ศรีสุวรรณ  ภาพ สรยุทธ  พุ่มภักดี)

จาก http://www.secret-thai.com/article/inspiration-story/12408/surangkana4/
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...