ผู้เขียน หัวข้อ: FEATURE : มหาเศรษฐีใจบุญระดับโลก ยิ่งให้ยิ่งรวย ยิ่งรวยยิ่งให้  (อ่าน 1441 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด


FEATURE : มหาเศรษฐีใจบุญระดับโลก ยิ่งให้ยิ่งรวย ยิ่งรวยยิ่งให้



Feature มหาเศรษฐีใจบุญระดับโลก ยิ่งให้ยิ่งรวย ยิ่งรวยยิ่งให้

เศรษฐีเหล่านี้ไม่เพียงประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจจนมีเงินทองร่ำรวยมหาศาลเท่านั้น แต่ยังได้ชื่อว่าเป็นคนใจบุญที่โลกยกย่องอีกด้วย
 

มหาเศรษฐีใจบุญระดับตำนาน



 ในอดีตมีมหาเศรษฐีใจบุญที่ได้ชื่อว่าเป็นระดับตำนานหลายคน เช่น  “แอนดรูว์ คาร์เนกี” เจ้าของบริษัทผลิตเหล็กและน้ำมันชาวอเมริกัน เขาได้ชื่อว่าเป็น “บิดาแห่งการกุศล” และเป็นนายทุนใจบุญคนแรกๆ ของโลก  เขาเคยบอกใครต่อใครว่า  “ใครก็ตามที่ตายอย่างมั่งคั่ง ตายอย่างน่าอัปยศอดสู” เพราะคาร์เนกีเชื่อว่าคนรวยทุกคนมีหน้าที่ทางศีลธรรม ที่ต้องมอบความมั่งคั่งกลับคืนสู่สังคม

แนวคิดเช่นนี้เองทำให้เขามีกิจกรรมการกุศลอุทิศมากมาย เช่น  ก่อตั้งห้องสมุดคาร์เนกีที่เก่าแก่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา (ค.ศ.1889), ก่อตั้งสถาบันคาร์เนกี สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์อิสระชั้นนำของโลก, ก่อตั้งมูลนิธิคาร์เนกีเพื่อสันติภาพระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรที่มีเครือข่ายและอิทธิพลระดับโลก, ก่อตั้งสำนักงานของมหาวิทยาลัยคาร์เนกี เมลลอน รวมถึงบริจาคเงินให้แก่องค์กรต่างๆไปแล้วกว่า ๓๕๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ (คิดเป็นมูลค่าปัจจุบันประมาณ 10,000 ล้านดอลลาร์) มีประชาชนได้รับประโยชน์จากการบริจาคของเขามากมาย



  เศรษฐีอีกคนที่ชื่อคุ้นหูกันดีคือ “จอห์น เดวิดสัน ร็อกกี้เฟลเลอร์” นักธุรกิจน้ำมันชาวอเมริกันก็เป็นนักบุญระดับตำนานที่น่าสนใจไม่แพ้กัน ร็อกกี้เฟลเลอร์ประสบความสำเร็จเป็นมหาเศรษฐีพันล้านเมื่ออายุเพียง 34 ปี ในยุคนั้นเขาได้ชื่อว่าเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก มีรายได้ทั้งหมด 318.3 พันล้านดอลล่าห์สหรัฐ

แม้ร็อกกี้เฟลเลอร์จะร่ำรวยมหาศาล แต่เขากลับไม่มีความสุข เพราะเป็นคนเคร่งเครียด จนเมื่ออายุ 53 ปี เขามีปัญหาสุขภาพอย่างรุนแรง แพทย์สรุปว่าน่าจะมาจากการทำงานหนักและเครียดมากเกินไป หากไม่ยอมเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่ เขาจะต้องป่วยหนักและตายลงในไม่ช้า  ร็อกกี้เฟลเลอร์จึงเริ่มสำนึกได้ว่าเงินทองมากมายไม่สามารถทำให้เขามีความสุขและสุขภาพดีได้ จึงเริ่มเปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่ ทำงานน้อยลง สังสรรค์มากขึ้น และหันมาทุ่มเทให้งานกุศลอย่างจริงจัง จนมีผลงานช่วยเหลือสังคมมากมาย เช่น  บริจาคเงินรายได้ 10 เปอร์เซ็นต์ให้แก่สถาบันการศึกษา สถาบันวิทยาศาสตร์ หอศิลป์ ก่อตั้งมหาวิทยาลัยร็อกกี้เฟลเลอร์ ก่อตั้งมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ที่มีเครือข่ายมากมาย เพื่อส่งเสริมด้านการแพทย์ การศึกษา การสาธารณสุข ฯลฯ

ร็อกกี้เฟลเลอร์ใช้ชีวิตที่เหลืออย่างมีความสุข จนกระทั่งเสียชีวิตในวัย 98 ปี นับว่าเขาเป็นตัวอย่างของคนที่รู้จักเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเอง จนสุขภาพดีขึ้น มีอายุยืนยาวและสามารถค้นพบความสุขจาก “การให้” ได้ในที่สุด

 

มหาเศรษฐีใจบุญยุคปัจจุบัน



หากพูดถึงเศรษฐีใจบุญของโลกในยุคปัจจุบัน หนึ่งในนั้นต้องมีชื่อของ “วอร์เรน  บัฟเฟตต์” ราชาตลาดหุ้น และ “บิล เกตส์” ผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ เป็นอันดับต้นๆ เพราะสองคนนี้สร้างชื่อเป็นมหาเศรษฐีใจบุญด้วยการจัดทำโครงการชื่อ “The Giving Pledge” (พันธสัญญาแห่งการให้) โดยเชิญชวนให้มหาเศรษฐีทั่วโลกบริจาคทรัพย์สินครึ่งหนึ่งให้แก่องค์กรการกุศล แต่เลือกได้ว่าจะบริจาคก่อนหรือหลังเสียชีวิต ซึ่งทั้งคู่ทำให้เห็นเป็นตัวอย่างด้วยการบริจาคเงินเข้ากองทุนดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว

บัฟเฟตต์เคยให้สัมภาษณ์กับบีบีซี ถึงสาเหตุที่เขาต้องการบริจาคเงินเกือบทั้งหมดเพื่อการกุศลว่า “ผมไม่สนใจที่จะให้มรดกของผมตกทอดไปถึงลูกหลานเพียงเพื่อได้ชื่อว่า ตระกูลผมจะเป็นมหาเศรษฐีต่อเนื่องไปอีกหลายชั่วอายุคน ยิ่งเมื่อผมเห็นว่าประชากรโลก 6 พันล้านคนยากจนกว่าเรามากมายหลายเท่านัก ผมจะมีความสุขมาก หากเพื่อนร่วมโลกได้ประโยชน์จากการให้ของเรา ”

ปัจจุบันโครงการ The Giving Pledge สามารถจุดประกายให้เศรษฐีทั่วโลกกว่า 137 คนร่วมบริจาคเงิน เช่น เท็ด เทอร์เนอร์ กับแบร์รี ดิลเลอร์ สองเจ้าพ่อด้านสื่อมวลชน, แลร์รี่ เอลลิสัน ผู้ร่วมก่อตั้งออราเคิล, จอร์จ ลูคัส ผู้สร้างภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จในระดับสูงอย่าง “สตาร์ วอร์” , ที.บูน พิคเกนส์ เจ้าพ่อด้านอุตสาหกรรมพลังงาน ฯลฯ



และหนึ่งในนั้นคือ มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก เจ้าของเฟซบุ๊ค ซึ่งหนังสือพิมพ์ The Chronicle of Philanthropy ยกย่องให้เป็น “มหาเศรษฐีใจบุญ” ของสหรัฐอเมริกา ประจำปี 2013 เนื่องจากเขาและภรรยาร่วมกันบริจาคหุ้น Facebook จำนวน 18 ล้านหุ้น มูลค่ากว่า 990 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเกือบ 30,000 ล้านบาท ให้แก่มูลนิธิ Silicon Valley Community ไม่เพียงเท่านั้น ซัคเคอร์เบิร์กยังบริจาคเงินช่วยเหลือโรงเรียนในสหรัฐอเมริกากว่า 7,000 ล้านบาท และบริจาคเงิน 812 ล้านบาท ช่วยเหลือการวิจัยและต่อต้านโรคอีโบลาด้วย นับเป็นตัวอย่างเศรษฐีใจบุญตั้งแต่อายุยังน้อยจริงๆ



ส่วนมหาเศรษฐีรายอื่นที่ติดอันดับเศรษฐีผู้ใจบุญมากที่สุดในสหรัฐฯ รองจากมาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก คือ “ฟิล ไนท์” ผู้บริหารไนกี้ บริจาค 1.5 หมื่นล้านบาท ให้แก่สถาบันวิทยาศาสตร์และสุขภาพโอริกอน, “ไมเคิล บลูมเบิร์ก” นักธุรกิจอดีตนายกเทศมนตรีนิวยอร์ก บริจาคเงิน  1 หมื่นล้านให้แก่มหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์

“จอห์น พอลสัน”  มหาเศรษฐีชาวนิวยอร์ก เจ้าของบริษัทพอลสัน แอนด์ โค บริษัทกองทุนประกันความเสี่ยงรายใหญ่ของสหรัฐฯ  เคยสร้างชื่อเสียงลือลั่นด้วยการบริจาคเงินกว่า 3,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนาสวนสาธารณะเซ็นทรัล พาร์ค ให้สวยงามยิ่งขึ้นกว่าเดิม ว่ากันว่าเป็นจำนวนเงินที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์ นับตั้งแต่ที่เคยมีภาคเอกชนบริจาคให้แก่สวนสาธารณะดังกล่าวเลยทีเดียว เนื่องจากนายพอลสันเห็นว่าสวนสาธารณะเซ็นทรัล พาร์ค คือมรดกทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดของนครนิวยอร์ก การบริจาคครั้งนี้จึงเป็นการให้เพื่อประโยชน์แก่ชาวนิวยอร์กทุกคน

            ไม่เพียงเท่านั้นเขายังบริจาคเงิน 400 ล้านดอลลาร์หรือราว 13,200 ล้านบาทให้แก่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ซึ่งเขาเคยเป็นศิษย์เก่าด้วย ทำให้มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดใช้ชื่อของเขาเป็นชื่อคณะกันเลยทีเดียว นั่นคือ  ฮาร์วาร์ด จอห์น เอ.พอลสัน คณะวิศวกรรมศาสตร์และวิทยาศาสตร์ประยุกต์

มหาเศรษฐีใจบุญด้านไอทีอีกคน คือ  “ทิม คุก” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท แอปเปิ้ล ผู้ครอบครองหลักทรัพย์ของแอปเปิ้ลมูลค่ากว่า 3,900 ล้านบาท และยังถือหุ้นอื่น ๆ คิดเป็นมูลค่ากว่า 21,000 ล้านบาท ประกาศไว้เมื่อต้นปี 2558 ว่าเขาจะบริจาคทรัพย์สินส่วนใหญ่ของเขามูลค่ากว่า 26,000 ล้านบาท ให้แก่การกุศลก่อนที่เขาจะเสียชีวิต และหลังจากส่งเสียหลานชายวัย 10 ปีเข้าเรียนจนจบมหาวิทยาลัยแล้ว
 

มหาเศรษฐีใจบุญชาวเอเชีย



มาดูมหาเศรษฐีใจบุญของเอเชียกันบ้าง  คนแรกคือ “นายอาซิม เปรมจี”  ประธานบริษัทไวโปร ผู้ส่งออกบริการซอฟท์แวร์รายใหญ่อันดับสามของประเทศอินเดีย มีทรัพย์สินรวมมูลค่ากว่า 12,600 ล้านปอนด์ และเป็นผู้บริจาคเงินเพื่อการกุศลมากที่สุดของอินเดีย ทั้งยังเป็นสมาชิกโครงการ The Giving Pledge ด้วย

เขาเป็นผู้เริ่มต้นสร้างกระแสคนรวยช่วยคนในประเทศ โดยบริจาคเงินให้มูลนิธิเพื่อพัฒนาด้านการศึกษาซึ่งเขาก่อตั้งขึ้นประมาณ 60,000 ล้านบาท รวมทั้งก่อตั้งมหาวิทยาลัย Azim Premji ที่เมืองบังกาลอร์ ด้วย



ส่วนมหาเศรษฐีใจบุญของจีนที่มีชื่อเสียงคือ “นายแจ็ค หม่า” อภิมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของจีน เจ้าของ “อาลีบาบา”  บริษัทอีคอมเมิร์ชรายใหญ่ที่มีทรัพย์สินกว่า 25,000 ล้านดอลลาร์ แม้เขาไม่ได้เป็นหนึ่งในเศรษฐีจีนที่บริจาคเงินให้โครงการ Giving Pledge แต่ก็บริจาคหุ้นของเขาให้แก่การกุศลมากถึง 2,400 ล้านดอลลาร์

แจ็ค หม่า เคยกล่าวไว้ว่าเขาต้องการเป็นนักธุรกิจที่น่าเคารพนับถือ และตั้งใจจะมอบความสุขคืนให้แก่ประชาชนจีนภายใน 10 ปีข้างหน้านี้



และที่น่าชื่นชมไม่แพ้กัน คือ  “นายเฉิน กวงเปียว” เศรษฐีชาวจีนจากเมืองนานจิง   เจ้าของธุรกิจรีไซเคิลรายใหญ่ของจีน เขาเป็นเศรษฐีจีนรายแรกที่เข้าร่วม “โครงการ Giving Pledge”  นอกจากนั้นยังประกาศจะบริจาคทรัพย์สินทั้งหมดหลังจากที่เขาเสียชีวิตลงจำนวนกว่า 50,000 ล้านหยวนให้แก่การกุศล

ถ้าไปดูพื้นเพครอบครัวของนายเฉิน ครอบครัวของเขาเคยยากจนถึงขนาดต้องสูญเสียพี่น้องไปเพราะความอดอยาก แต่ถึงกระนั้นพ่อแม่เขาก็ไม่เคยสอนลูกให้เป็นคนเห็นแก่ตัว  ตรงกันข้ามกลับสอนเขาว่าคนดี คือคนที่รู้จักอดทน และมีน้ำใจ ดังนั้นหลังจากที่เขาทำธุรกิจจนประสบความสำเร็จ เขาจึงชอบทำบุญเป็นชีวิตจิตใจ เขากล่าวไว้อย่างน่าประทับใจว่า
“พ่อแม่ไม่ได้ทิ้งอะไรไว้ให้ผมและผมก็ไม่ปรารถนาที่จะทิ้งอะไรไว้ให้ลูกๆ นอกจากความมั่งคั่งทางจิตวิญญาณ ซึ่งได้มาจากการทำงานการกุศล”

สำหรับผู้ชายคนสุดท้ายที่จะพูดถึง ชื่อ หม่า หยง ชาวเมืองเวยไห่ ประกอบอาชีพเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัย ทุกเดือนเขาบริจาคเงิน 3 ใน 4 ของเงินเดือน หรือราว 9,000 บาท ให้แก่เด็กนักเรียนที่ยากจนจำนวน 17 คน มาเป็นเวลานานกว่า 19 ปี รวมแล้วเป็นเงินถึง 470,000 หยวน หรือกว่า 2 ล้านบาท แม้ครอบครัวจะคัดค้านและพยายามให้เขาเลิกบริจาคเพื่อให้เก็บเงินไว้ใช้เองบ้าง แต่หม่าบอกว่า

“แค่ผมมีอาหารกินอิ่มท้อง มีเสื้อผ้าอุ่นๆ ใส่ ก็มีความสุขมากพอแล้ว”

ไม่ว่าจะรวยหรือจน ทุกคนสามารถเป็นคนใจบุญได้เช่นกัน

ขอบคุณรูปภาพจาก :

www.en.wikipedia.org

www.entrepreneur.com

www.collegebasketballtalk.nbcsports.com

www.stillinvarsity.wordpress.com

www.wikipedia.com

www.businessinsider.com

www.huffingtonpost.com

www.theworldofchinese.com

www.chadingraham.com

 จาก http://www.secret-thai.com/article/13088/featurebillionaire05082016/
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...