ผู้เขียน หัวข้อ: TRUE STORY: รักแท้แพ้เมียน้อย  (อ่าน 3164 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
TRUE STORY: รักแท้แพ้เมียน้อย
« เมื่อ: ตุลาคม 03, 2016, 07:26:23 pm »


TRUE STORY: รักแท้แพ้เมียน้อย

“Lucky in Game, Lucky in Love”

หลายคนที่รู้จักชีวิตของดิฉันมักบอกว่า ดิฉันเป็นคนที่โชคดีทั้งทางด้านการทำงานและความรัก ทางด้านการงานดิฉันมีอาชีพเป็นครูสอนวิชานาฏศิลป์ซึ่งถือว่ามีชื่อเสียงอยู่พอตัว เพราะส่งเด็กไปประกวดครั้งใดมักจะได้รับรางวัลชนะเลิศอยู่เสมอ เป็นที่ชื่นชมและเคารพจากรุ่นน้องและลูกศิษย์ทั้งหลาย ผู้อำนวยการเองก็ยกย่องว่าเป็นครูผู้สร้างชื่อเสียงให้แก่โรงเรียน

ทางด้านความรัก สามีและดิฉันก็รักกันดีมาตลอด 20 ปีที่แต่งงานกัน เราสองคนทำงานที่เดียวกัน ดิฉันสอนนาฏศิลป์ เขาสอนดนตรีในห้องเรียนติดๆ กัน เรียกได้ว่า…ดิฉันมีชีวิตคู่ที่หลายคนอิจฉา

จนกระทั่งเมื่อ 4 ปีที่แล้ว…หลายสิ่งหลายอย่างได้แปรเปลี่ยนไป

ในวันที่ฟ้าใสอากาศปลอดโปร่ง ผู้อำนวยการโรงเรียนได้เรียกดิฉันเข้าไปพบในห้อง ก่อนจะบอกว่า จะมีน้องใหม่มาช่วยงาน และเสริมว่าเธอคนนี้กำลังจะได้เข้าไปเป็นสะใภ้ของผู้อำนวยการเขต ซึ่งท่านเป็นคนฝาก ผอ.ให้เข้ามาทำงานในโรงเรียนนี้

ดิฉันตอบรับอย่างเต็มใจ เพราะงานกำลังเฟื่องฟูจนทำแทบไม่ทัน ยิ่งได้คนที่จบศาสตร์เดียวกัน เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันมีประสบการณ์การทำงานพอใช้ได้อย่างน้องคนนี้ ดิฉันยิ่งยินดี

สังคมการทำงานของข้าราชการไม่ได้แปลกแตกต่างไปจากสังคมอื่น เมื่อมีใครเด่นเกินหน้าเกินตามักถูกนินทาหรือกลั่นแกล้งเล็กๆ น้อยๆ โชคดีที่ดิฉันอยู่มานาน มีผู้คนศรัทธาและนับหน้าถือตา จึงไม่มีใครกล้ามาทำอะไร ดังนั้นเมื่อคุณครูผู้ช่วยที่เพิ่งเข้ามาใหม่เริ่มโดนสังคมซุบซิบนินทา ดิฉันจึงกางแขนช่วยปกป้องและออกหน้าแทนเธออย่างเต็มที่ จนเสียงนินทาเริ่มซาลงไป

ผ่านไปหนึ่งปี ผู้ช่วยของดิฉันแต่งงานกับแฟนเรียบร้อยเข้าไปเป็นสะใภ้ของ ผอ.เขตเต็มตัว ดิฉันและคุณครูผู้ช่วยน้องใหม่ทำงานเข้าขากันได้ดีมาก ดิฉันทั้งรักและไว้ใจเธอเปรียบเสมือนน้องคนหนึ่ง

อยู่มาวันหนึ่ง คนข้างเคียงเตือนดิฉันด้วยความห่วงใยว่า “ดูแลดีๆ นะ…สามีเธอกับเด็กคนนี้ไม่น่าไว้ใจ” ดิฉันฟังอย่างงุนงง ในใจไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพูด เพราะเด็กคนนั้นได้แต่งงานกับคนที่ดี หล่อ รวย มีอำนาจวาสนา ทั้งยังมีพ่อสามีเป็นถึงผอ.เขต จะมามองอะไรคนแก่ๆ อย่างแฟนของดิฉัน ดูจากเหตุผลแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นไปไม่ได้

ดิฉันจึงได้แต่ขอบคุณคนที่เตือน พร้อมกับเสริมว่า ดิฉันเชื่อใจรุ่นน้องคนนั้น คนอื่นๆ คงจะอิจฉาเขา เลยหาเรื่องว่าให้เสียหาย

วันเวลาผ่านไป ข่าวลือยังคงเข้าหูดิฉันอยู่เนืองๆ แต่ดิฉันไม่ใส่ใจ เพราะเชื่อในตัวของสามีที่รักกันมาถึง 20 ปี และไม่เคยมีเรื่องชู้สาวมากวนใจ

อยู่มาวันหนึ่ง ลูกสาวคนเล็กของดิฉันซึ่งกำลังเรียนอยู่ชั้น ม. 1 มารอพ่อของตัวเองอยู่ในห้องดนตรี ด้วยความที่ไม่มีอะไรทำ จึงเปิดโน้ตบุ๊กเพื่อจะเล่นเกมรอเวลา

แต่…เพียงครู่เดียว น้ำตาของเธอก็ไหลรินออกมาไม่ขาดสาย

ดิฉันซึ่งขึ้นมาเอาของในห้องซ้อมดนตรี เห็นลูกสาวร้องไห้ก็นึกแปลกใจ เดินเข้าไปถามว่า หนูไม่สบายหรือ ลูกสาวพยายามกลั้นเสียงสะอื้น ก่อนจะตอบดิฉันว่า “แม่ดูอะไรนี่”

…ราวกับโลกถล่มลงตรงหน้า…

…ภาพที่ปรากฏคือภาพเคลื่อนไหวของสามีกับครูผู้ช่วยของดิฉันคนนั้นกำลังเริงรักกันอยู่บนเตียง!!!…

“ใช่จริงๆ หรือ…”  ดิฉันถามตัวเองอย่างไม่ยอมรับความจริง ก่อนจะต้องกัดฟันตอบตัวเองทั้งน้ำตาว่า “ใช่” เพราะเครื่องแต่งกายของทั้งคู่ คือเครื่องแต่งกายที่ทั้งสองเพิ่งใส่ เมื่อสองวันที่ผ่านมานี่เอง!!!

ดิฉันรีบกล้ำกลืนน้ำตาลงไป ก่อนจะไล่ลูกไปเรียนพิเศษและบอกลูกว่า เดี๋ยวจะคุยกับพ่อเอง เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า หากเกิดเรื่องชู้สาวขึ้นมาในวงการข้าราชการ คนทั้งคู่ต้องโดนพักงานหรือให้ออกจากราชการแน่ๆ

ดิฉันช็อกมาก พยายามเก็บอารมณ์ ทั้งๆ ที่ตัวสั่นชาไปหมด คิดวนเวียนไปมาว่าจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ดี…คนหนึ่งก็พ่อของลูก อีกคนหนึ่งคือเด็กที่ดิฉันดูแลเป็นอย่างดีและไม่เคยทำให้เจ็บช้ำน้ำใจ มีแต่คอยปกป้องตลอด

…เหมือนภาพที่คนอื่นคอยย้ำเตือนเราย้อนกลับมากระแทกใจซ้ำๆ…

ภาพเด็กๆ ที่มาเล่าให้ดิฉันฟังว่า เห็นสามีกับเด็กคนนั้นกอดกันในห้องนาฏศิลป์…

ภาพเด็กๆ ที่อยากจะพูดอะไรบางอย่างกับดิฉัน พร้อมกับทำหน้าตาสงสารที่ดิฉันถูกหลอกให้  “โง่” อยู่คนเดียว

ภาพเพื่อนๆ ที่พร่ำเตือนอยู่เสมอถึงความไม่น่าไว้ใจของทั้งสองคนหลายครา

…แต่ดิฉันไม่เคยเชื่อว่าคนที่ดิฉันรักทั้งคู่จะมาหักหลังกันได้แบบนี้…

หลังจากรวบรวมสติตัวเองกลับมาได้แล้ว ดิฉันใช้ให้เด็กนักเรียนไปตามครูผู้ช่วยของดิฉันมา เธอเดินเข้ามาด้วยหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสราวกับไม่เคยทำผิดอะไร จนดิฉันอยากเข้าไปเขย่าตัวเธอเพื่อถามว่า  “เธอทำแบบนี้ได้ยังไงๆ!!!”

ดิฉันเรียกเธอเข้ามาใกล้ๆ ก่อนจะบอกคนที่ดิฉันเคยรักประหนึ่งน้องสาวที่คลานตามกันมาว่า “เธอดูอะไรนี่สิ…พี่ดูจบแล้ว” และกดหยุดภาพใบหน้าของทั้งคู่เอาไว้

ดิฉันกัดฟันถามเธอดีๆ ทั้งน้ำตาว่า  “เธอจะบอกพี่ว่ายังไง…ทำไมถึงทำกับพี่แบบนี้” เด็กตรงหน้าดิฉันนั่งร้องไห้ฟูมฟาย ก้มศีรษะลงซบเข่า ไม่มีเสียงตอบกลับมานอกจากเสียงสะอื้นไห้ ก่อนจะพยายามคลานเข่ามากอดดิฉัน

“พี่ไม่เคยเชื่อในสิ่งที่คนอื่นพูด เพราะคิดว่าเขาอิจฉาที่เธอเด่น…ทำไมถึงทำกับพี่แบบนี้…” มีเพียงความเงียบงันที่ตอบกลับมา

ดิฉันโทรศัพท์เรียกสามีมาที่ห้องดนตรีเพื่อให้ขึ้นมาดู “อะไร” หน่อย เมื่อดิฉันเปิดคลิป หน้าของผู้ชายตรงหน้าก็ซีดเผือด เสียงผู้ช่วยดิฉันดังขึ้นมาว่า “ไหนว่าพี่ลบแล้วไง แล้วทำไมมันยังอยู่” ฝ่ายชายรีบปฏิเสธ บอกว่าลบแล้วจริงๆ

“รู้หรือเปล่าว่าคนที่เปิดเจอน่ะ…ลูกสาวเธอนะ ลูกกำลังจะโตด้วย ต้องมาเจอคลิปแบบนี้ โดยมีนายแบบเป็นพ่อตัวเอง คิดไหมว่าลูกจะรู้สึกยังไง”  ดิฉันพูดแทรกขึ้นมา

ผู้ช่วยของดิฉันร้องไห้โฮ พยายามวิ่งหนีออกไปจากห้องดนตรีเหมือนคนสติแตกสามีดิฉันก็หน้าเสีย รีบเข้าไปคว้าตัวเธอมากอด พยายามปลอบประโลมให้หยุดร้องไห้ ดูรักกันมาก จนดิฉันพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ยืนน้ำตาไหลพราก อึ้งอยู่ตรงนั้น เด็กสาวคนนั้นสะบัดตัวออกจากอ้อมแขนสามีดิฉัน แล้ววิ่งขึ้นรถขับออกไป

สามีดิฉันหันหน้ามาทางดิฉัน พร้อมกับตะโกนใส่หน้าว่า “เธอทำแบบนี้ได้ยังไง ดูสิน้องเขาจะเป็นอะไรหรือเปล่าก็ไม่รู้” ก่อนจะวิ่งตามผู้ช่วยของดิฉันออกไปด้วยท่าทางหัวเสีย

ราวกับดิฉันโดนมีดแทงเข้ามาที่หัวใจครั้งแล้วครั้งเล่า สามีที่รักกันมาถึง 20 ปีไม่ปริปากถามดิฉันเลยว่า เจ็บปวดแค่ไหน เป็นอะไรหรือเปล่า…แม้แต่คำว่า “ขอโทษ” ยังไม่มีให้

หลังจากนั้นดิฉันมีอาการช็อก ร้องไห้อย่างเดียว พูดไม่ได้เลย ครูในโรงเรียนถึงกับต้องนำส่งโรงพยาบาลโดยที่ไม่มีใครรู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น ดิฉันเองก็ไม่กล้าปริปากบอกใคร ทั้งที่คลิปซึ่งเป็นหลักฐานชิ้นใหญ่ก็ยังอยู่ในมือ ดิฉันกลัวสามีต้องออกจากราชการ กลัวอนาคตของทั้งคู่ดับ แต่ที่กลัวที่สุดคือ กลัวลูกจะไม่มีพ่อ…

เมื่อหมออนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาล ดิฉันมาโรงเรียนแบบคนไม่มีจิตวิญญาณจนต้องไปนอนโรงพยาบาลอีกครั้ง ทั้งที่งานแสดงก็ยังค้างคา ผู้ช่วยของดิฉันเข้ามาคุมการแสดงแทน และเพื่อไม่ให้สังคมในโรงเรียนรู้ ผู้หญิงคนนั้นยังคงเทียวไปเทียวมาเฝ้าดิฉันราวกับเป็นห่วงเป็นใย ตามประกบดิฉันไม่ให้พูดเรื่องของพวกเขา และบอกคนอื่นๆ ว่า “พี่ป่วย หนูก็ต้องมาดูแล” ทุกคนที่ได้ยินต่างชื่นชม ในขณะที่ดิฉันต้องกล้ำกลืนความขมขื่นไว้ในอก ทุกครั้งที่ลืมตาตื่น น้ำตาจะไหลตลอดเวลา มีเพียงเวลาเดียวที่ไม่เสียน้ำตา คือเวลาที่กำลังหลับเท่านั้น

แล้วจู่ๆ วันหนึ่งสามีดิฉันก็เดินเข้ามาพร้อมกับผู้หญิงคนนั้น ดิฉันซึ่งนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยจึงตัดสินใจถามเขาว่า “ตกลงจะทำยังไง ผู้หญิงคนนี้ก็มีสามีอยู่แล้วนะจะเป็นชู้กันอยู่แบบนี้หรือ”

ฝ่ายหญิงรีบบอกว่า “ถึงหนูจะมีแฟนแล้ว แต่พี่เขาบอกว่าเขารักหนู”…ส่วนสามีดิฉันตอบว่า เขาไม่อยากเลิกกับน้องคนนี้ เขารักผู้หญิงคนนี้ตั้งแต่แรกเห็น ก่อนจะบอกว่า “ยี่สิบปีที่ผ่านมา…ฉันไม่เคยรักเธอเลย…แค่อดทนอยู่ด้วยเท่านั้น”

พูดจบทั้งคู่ก็กกกอดกันต่อหน้าดิฉัน ดิฉันเสียใจจนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่นั่งร้องไห้อยู่บนเตียง สามีดิฉันหันมาดุว่า “แก่แล้วร้องไห้ทำไม ดูทุเรศทุรัง” ราวกับถูกน้ำร้อนราดรดลงบนหัวใจ ดิฉันบันดาลโทสะ ดึงสายน้ำเกลือออกจากแขน แล้วกระโดดถีบทั้งคู่ที่ยืนกอดกันอยู่ข้างเตียงอย่างแรง!

น่าเสียดายที่ก่อนจะได้ลงไปกระทืบซ้ำ พยาบาลประจำห้องเดินเข้ามาก่อน ทั้งคู่จึงฟ้องพยาบาลว่า คนไข้เครียดหนัก อาละวาด สติฟั่นเฟือน ให้ฉีดยานอนหลับให้ด้วย

หลังจากนั้นดิฉันก็กลายเป็นเหมือนคนวิปริต สติฟั่นเฟือนในสายตาคนอื่นเพราะมีน้ำตาไหลอาบแก้มตลอดเวลา เวลาที่ไปสอนหนังสือก็พยายามแต่งหน้าแต่งตากลบเกลื่อนไม่ให้เด็กรู้ ทว่าน้ำตาเจ้ากรรมกลับชอบไหลออกมาเวลาที่สอนนักเรียน จนเครื่องสำอางเลอะเปรอะเปื้อนดูน่าสมเพชสิ้นดี! เมื่อเครียดจนถึงที่สุด ดิฉันก็จะล้มตัวลงนอนทั้งๆ ที่อยู่ในห้องเรียนจนเด็กๆ หาว่าบ้าและกลัวจนไม่เข้าเรียน

ข่าวลือเริ่มหนาหูว่าดิฉันกลายเป็นคนบ้า เห็นภาพหลอนว่าสามีตัวเองมีชู้ วันหนึ่งดิฉันจึงตัดสินใจเรียกร้องความยุติรรม โดยนำหลักฐานไปให้ครูคนหนึ่งดู ครูคนนั้นจึงนำคลิปฉาวไปให้ผู้บริหารดู และยืนยันว่าดิฉันไม่ได้บ้าหรือเลอะเลือน

สุดท้ายผู้บริหารก็ไม่กล้าทำอะไรผู้หญิงคนนั้น เพราะเกรงใจ ผอ.เขต สิ่งเดียวที่ทำได้คือ ขอให้เธอย้ายออกไป ซึ่งล่าสุดได้ยินข่าวลือลอยลมมาว่า แม้จะย้ายโรงเรียนไปแล้ว เธอก็ยังทำตัวเช่นเดิม…คือไปแย่งสามีของคนที่แต่งงานแล้ว…ส่วนดิฉันตัดสินใจลาออกจากโรงเรียน และขอหย่ากับสามีเพื่อนำชีวิตอันสงบสุขของตัวเองกลับคืนมา

…ทุกวันนี้ดิฉันมีความสุขกับงานสอนนอกโรงเรียนที่นับวันยิ่งมีเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ…สุขจากการเลี้ยงลูกด้วยตัวคนเดียวให้กลายเป็นคนดีของสังคม และสุขอย่างมากมายจากการไปปฏิบัติธรรมอย่างสม่ำเสมอเพื่อเรียนรู้ความจริงของชีวิต   



คำแนะนำจากพระอาจารย์นวลจันทร์ กิตติปัญโญ

…บางสิ่งไม่ควรจำ ถ้าความจำนั้นทำให้เจ็บ บางสิ่งก็ควรเจ็บ ถ้าความเจ็บทำให้จำ…

หากใครเจอเหตุการณ์แบบนี้ ขอแนะนำให้ร่วมกันสร้างสรรค์สังคมด้วยการทำทุกอย่างตามกฎหมายตั้งแต่แรก อย่าปล่อยให้คนชั่วลอยนวล อย่าปกปิดความผิดของใคร แม้ว่าคนคนนั้นจะเป็นสามี ลูก หรือใครก็ตามที่เรารัก หากเขาถามว่าไม่รักเขาหรือ ก็จงตอบว่า เพราะรักจึง “ทำ” ตาม “ธรรม” ใครทำกรรมใดไว้ย่อมได้รับผลของกรรมนั้น


เรียบเรียงโดย ณัฐนภ ตระกลธนภาส  ภาพ สรยุทธ พุ่มภักดี

จาก http://www.secret-thai.com/article/3463/91258/
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...