หนทาง (วิปัสสนา)ท่านโกเอ็นก้าในวิดีโอธรรมบรรยายดูหนุ่มกว่าตัวจริงที่ข้าพเจ้าได้เห็นเมื่อปลายปีก่อน
ภาพในวิดีโอถูกบันทึกตอนท่านอายุ ๖๗ ปี เป็นการบรรยายธรรมในหลักสูตรการอบรมวิปัสสนาให้แก่ชาวอเมริกันที่แคลิฟอร์เนีย ซึ่งต่อมาถูกนำไปใช้ในการอบรมหลักสูตร ๑๐ วันในประเทศต่างๆ ทั่วโลก
เฉพาะในเมืองไทยมีศูนย์วิปัสสนา ๖ แห่ง แต่ละแห่งจัดการอบรมปีละหลายครั้ง และจำนวนผู้เข้ารับการอบรมก็เพิ่มขึ้นทุกปี ตามสถิติเฉพาะในปี ๒๕๕๕ มีจำนวน ๘,๐๐๐ กว่าราย
ปลายปีที่แล้วท่านโกเอ็นก้าเดินทางจากถิ่นพำนักปัจจุบันในประเทศอินเดียมายังพม่า ซึ่งท่านนับว่าเป็นดินแดนแห่งธรรมที่มีพระคุณต่อท่าน ลูกศิษย์จากเมืองไทยจำนวนหนึ่งเดินทางไปร่วมต้อนรับท่าน ข้าพเจ้าได้รับการชักชวนให้ร่วมทางไปด้วย
ท่านโกเอ็นก้าที่ข้าพเจ้าได้เห็นตัวจริงเมื่อเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ อยู่ในวัย ๘๘ ปี รูปร่างท้วมขึ้นกว่าเมื่อตอนที่ยังหนุ่มกว่านี้ เคลื่อนไหวเชื่องช้าตามความชรา แต่แววตายังแจ่มใส ดูเปี่ยมความเมตตา เช่นเดียวกับน้ำเสียงทุ้มเย็นที่ยังก้องกังวานอยู่ไม่เปลี่ยน
หน้าตาของท่านดูมีเค้าของชาวอินเดีย แต่ความจริงท่านเกิดในประเทศพม่า ที่เมืองมัณฑะเลย์ เมื่อปี ๒๔๖๗ มีชื่อเต็มว่า สัตยา นารายัน โกเอ็นก้า
เอกสารไม่กี่หน้าเกี่ยวกับประวัติของท่านระบุว่า เอส. เอ็น. โกเอ็นก้า เกิดในครอบครัวนักธุรกิจ และท่านเองก็เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงตั้งแต่ยังหนุ่ม ตั้งโรงงานน้ำตาล โรงงานทอผ้า โรงงานผ้าห่ม และเปิดบริษัทนำเข้า-ส่งออก โดยมีสำนักงานอยู่ทั่วโลก ได้รับเลือกให้เป็นผู้นำชุมชนชาวอินเดียในพม่า รวมทั้งเป็นประธานองค์กรต่างๆ อาทิ หอการค้ามาร์วารีแห่งพม่า สมาคมพาณิชย์และอุตสาหกรรมแห่งย่างกุ้ง
แต่พร้อมกับชื่อเสียง เกียรติยศ และความสำเร็จในชีวิตที่ได้มา ความตึงเครียดทางใจก็เพิ่มขึ้นเป็นเงา ท่านเล่าไว้ว่าทุกๆ คืนหากการเจรจาธุรกิจในวันนั้นล้มเหลว ท่านจะคิดใคร่ครวญหาข้อผิดพลาดและหนทางแก้ไข แต่ในวันที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก ท่านก็ยังนอนไม่หลับเพราะมัวแต่ชื่นชมความสำเร็จของตัวเอง
“ถึงแม้ข้าพเจ้าจะประสบกับความสำเร็จ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีความสุขสงบในใจแต่อย่างใด ข้าพเจ้าพบว่าความสงบนั้นเกี่ยวพันกับความสุขอย่างมาก แต่ข้าพเจ้าก็มักจะไม่มีทั้งสองอย่างนี้ ทั้งๆ ที่มีเงินทองและตำแหน่งผู้นำชุมชน”
ในที่สุดท่านก็เป็นโรคไมเกรนชนิดรุนแรง ถึงขั้นต้องพึ่งมอร์ฟีนและมีทีท่าว่าจะต้องเพิ่มปริมาณการใช้มากขึ้นเรื่อยๆ
และในการแสดงธรรมบรรยายคืนสุดท้ายของหลักสูตรการอบรม ๑๐ วัน ท่านได้เล่าประวัติตัวเองในช่วงนี้โดยละเอียดว่า หมอที่รักษาท่านเห็นแนวโน้มการใช้มอร์ฟีนที่สูงขึ้นแล้วก็แนะนำให้ท่านลองไปเสาะหาหมอในประเทศอื่นดูบ้าง เพราะเห็นว่าท่านคงมีช่องทางและฐานะพอจะทำเช่นนั้นได้ไม่ยาก
ท่านไปรักษาตัวในหลายประเทศ ตั้งแต่สวิตเซอร์แลนด์ เยอรมนี อังกฤษ อเมริกา และในญี่ปุ่น แต่ไม่เกิดผลอย่างใด อย่าว่าแต่จะรักษาอาการปวดหัว แค่จะให้ท่านละเลิกจากการใช้มอร์ฟีน หมอทั่วโลกก็ยังหาวิธีการไม่ได้
แต่ท่านว่าทั้งหมดนั้นถือเป็นความโชคดีที่เป็นเงื่อนไขชักนำให้ท่านได้มาพบธรรมะ
หนุ่มโกเอ็นก้าในวัย ๓๒ ปี พากายที่เจ็บป่วยทรุดหนักกว่าเดิมกลับพม่า และได้ทราบเรื่องราวของท่านซายาจี อูบาขิ่น (๒๔๔๒-๒๕๑๔) ข้าราชการระดับสูงของพม่าที่เป็นนักวิปัสสนาและสอนวิธีปฏิบัติวิปัสสนา จากการแนะนำของเพื่อนคนหนึ่ง
และท่านอูบาขิ่นเองนั้นก็ได้รู้เรื่องการปฏิบัติวิปัสสนามาจากเพื่อนคนหนึ่งเช่นกัน เขามาเล่าถึงการเข้าร่วมฝึกปฏิบัติกับท่านซายาเท็ตจี (๒๔๑๖-๒๔๘๘) เรื่องการวิปัสสนาและวิธีการปฏิบัติอานาปานัสสติให้ฟัง ท่านอูบาขิ่นได้ฟังแล้วเกิดความสนใจจึงทดลองปฏิบัติ ก็พบว่าทำให้จิตมีสมาธิตั้งมั่นดี เกิดความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะเข้ารับการอบรมเต็มหลักสูตรเพื่อศึกษาการปฏิบัติวิปัสสนา
ท่านอูบาขิ่นในวัย ๓๘ ปีตัดสินใจขอลางานเสมียนที่สำนักงานกรมบัญชีกลาง มุ่งหน้าไปยังสำนักของท่านซายาเท็ตจีที่เปียวบ่วยจีในทันที
คุณของธรรมศูนย์วิปัสสนาของท่านซายาเท็ตจีที่เราได้มาเห็นใน พ.ศ. นี้ คงต่างจากเมื่อครั้งที่ท่านอูบาขิ่นมาเข้ารับการอบรมครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๐ ไม่มากนัก
จากตัวเมืองย่างกุ้ง ข้ามแม่น้ำย่างกุ้งด้วยแพขนานยนต์ขนาดใหญ่ซึ่งจอแจไปด้วยชาวเมืองและแม่ค้า ไปสู่อีกฟากฝั่งทางตะวันตก ก็เหมือนเป็นอีกโลกที่ชุมชนและผู้คนยังอยู่กันแบบพื้นบ้านดั้งเดิม
ถนนสายเล็กผิวขรุขระทอดออกจากท่าเรือ ฝ่าไปกลางท้องทุ่งกสิกรรมที่ยังคงทำการเพาะปลูกแบบเดิมๆ สภาพพื้นที่อันเอื้ออำนวยไม่จำเป็นต้องพึ่งระบบชลประทานหรือปรับพื้นที่จนเกลี้ยงเกลา ไม้ท้องถิ่นอย่าง เตย สาคู และไม้ใหญ่ยืนต้นทั้งหลายยังเหลือรอดได้แทรกตัวเป็นกลุ่มเป็นกออยู่ตรงนั้นตรงนี้ ชาวนาใช้เครื่องจักรทุ่นแรงกันน้อย สังเกตจากร่องรอยการเก็บเกี่ยวและฟางข้าวก็พอดูออกว่าเป็นงานที่ทำมาด้วยแรงคนและวัวควายที่เคลื่อนฝูงคลาคล่ำกันอยู่ในท้องทุ่ง
ตามเส้นทางมีรถน้อย ที่เห็นวิ่งสวนกันอยู่บ้างเป็นรถโดยสารประจำทาง หรือไม่ก็รถของกลุ่มนักท่องเที่ยว ชาวถิ่นตามชุมชน ๒ ข้างทางยังคงใช้เกวียนกันเป็นหลัก
จากบ่ายแก่ๆ จนเย็นย่ำ คณะศิษย์ท่านโกเอ็นก้าจากเมืองไทยจึงผ่านระยะทางจากฝั่งแม่น้ำย่างกุ้งไปถึงศูนย์วิปัสสนาของท่านซายาเท็ตจีที่เปียวบ่วยจี แต่ก็นับว่ายังลำบากน้อยกว่าในยุคท่านอูบาขิ่นที่ต้องเดินเท้ามาท้องนาก่อนฤดูเก็บเกี่ยวซึ่งยังชุ่มน้ำ ท่านต้องย่ำโคลนตมถึงน่องถึงเข่ากว่าจะฝ่ามาถึงสำนักของท่านอาจารย์เท็ต
อาคารไม้ขนาดย่อม ๓-๔ หลังตั้งอยู่บนที่ราบกว้างก้นซอยซึ่งแยกมาจากทางสายหลักกลางชุมชนยังคงมีผู้มาฝึกวิปัสสนากันอยู่ไม่ขาด พวกเราไปถึงในยามเย็นที่แดดสีทองกำลังส่องทาบอยู่บนทิวใบมะพร้าวและหลังคาอาคารบ้านเรือน เป็นบรรยากาศที่ชวนให้นึกไปถึงเย็นวันแรกที่ท่านอูบาขิ่นเดินทางมาถึง
คืนนั้นท่านซายาเท็ตจีได้สอนวิธีการปฏิบัติอานาปานัสสติให้แก่ท่านอูบาขิ่นและชาวพม่าอีกคน ซึ่งผู้ปฏิบัติใหม่ทั้งสองก็ปฏิบัติได้ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งท่านซายาเท็ตจีตัดสินใจสอนวิปัสสนาให้ในวันถัดมา แม้จะเป็นการฝึกปฏิบัติหลักสูตร ๑๐ วันครั้งแรกของท่านอูบาขิ่น แต่ท่านก็ปฏิบัติได้ผลดียิ่ง หลังจากนั้นท่านก็เดินทางมาฝึกปฏิบัติที่สำนักของท่านซายาเท็ตจีบ่อยครั้ง
ต้นปี ๒๔๘๔ ท่านอูบาขิ่นได้พบกับท่านเวบู ซายาดอว์ พระภิกษุที่ชาวพม่าให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างยิ่ง หลังจากได้สนทนาด้วยอัธยาศัยที่ต้องกันและนั่งปฏิบัติร่วมกัน ท่านเวบู ซายาดอว์ ก็ได้กล่าวกับท่านอูบาขิ่นว่า ถึงเวลาที่ท่านอูบาขิ่นจะต้องลงมือสอนธรรมะให้แก่ผู้คนทั้งหลายแล้ว อย่าปล่อยให้ผู้ที่ได้พบกับท่านพลาดโอกาสที่จะได้รับธรรมะอีกเลย ท่านอูบาขิ่นจึงได้เริ่มต้นเป็นอาจารย์สอนวิปัสสนาซึ่งท่านซายาเท็ตจีให้การสนับสนุน
เริ่มจากการตั้งชมรมปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานขึ้นภายในสำนักงานกรมบัญชีกลาง ให้ข้าราชการในกรมฯ ได้ฝึกปฏิบัติ ซึ่งท่านอูบาขิ่นดำรงตำแหน่งเป็นอธิบดีกรมบัญชีกลางมาตั้งแต่ปี ๒๔๙๑ ที่ประเทศพม่าได้รับเอกราช และในช่วงเวลา ๒๐ ปีถัดจากนั้น ท่านได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสำคัญๆ หลายตำแหน่งในคณะรัฐบาล และมักต้องทำงานอย่างน้อย ๒ ตำแหน่งในเวลาเดียวกัน โดยแต่ละตำแหน่งล้วนมีความรับผิดชอบสูงเทียบเท่าตำแหน่งอธิบดีทั้งสิ้น ช่วงหนึ่งที่ท่านต้องรั้งตำแหน่งอธิบดีกรมถึง ๓ กรมพร้อมๆ กันเป็นเวลา ๓ ปี กับอีกครั้งต้องดูแลถึง ๔ กรมในเวลาเดียวกัน
ในปี ๒๔๙๕ ท่านอูบาขิ่นได้เปิดศูนย์วิปัสสนานานาชาติ (International Meditation Centre – I.M.C.) ขึ้นในกรุงย่างกุ้ง ห่างเจดีย์ชเวดากองไปทางทิศเหนือราว ๓ กิโลเมตร มีผู้ปฏิบัติทั้งชาวพม่าและชาวต่างชาติมาเรียนรู้ธรรมะจากท่านจำนวนมาก ไม่เฉพาะแต่นักธุรกิจอย่างท่านโกเอ็นก้าเท่านั้น ตามประวัติกล่าวว่าแม้แต่ประธานาธิบดีคนแรกของสหภาพพม่า หรือนักวิทยาศาสตร์จากโลกตะวันตกก็เคยมาเข้ารับการอบรมหลักสูตรวิปัสสนาที่ศูนย์วิปัสสนานานาชาติเช่นกัน
เริ่มแรกท่านโกเอ็นก้าไปพบอาจารย์อูบาขิ่น แจ้งความประสงค์เรื่องการจะใช้วิปัสสนารักษาโรคไมเกรน แต่ท่านอาจารย์อูบาขิ่นบอกว่าธรรมะมีคุณมากกว่านั้น
“ธรรมะไม่ใช่สิ่งที่มีไว้รักษาโรคทางกาย ถ้าเธอต้องการรักษาโรคทางกายก็ควรไปโรงพยาบาล แต่ธรรมะคือสิ่งที่จะช่วยชำระจิตให้บริสุทธิ์ เพื่อให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งหลายในชีวิต โรคของเธอเป็นเพียงส่วนที่เล็กมากในจำนวนความทุกข์ของเธอ มันย่อมจะหายไปเอง ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการชำระจิตให้บริสุทธิ์เท่านั้น ถ้าเธอมาปฏิบัติเพราะต้องการรักษาโรคทางกายก็ถือว่าเธอประเมินคุณค่าของธรรมะต่ำเกินไป จงปฏิบัติเพื่อให้จิตหลุดพ้น ไม่ใช่เพื่อการรักษาโรคทางกาย”
แต่ด้วยความเป็นชาวฮินดูที่เคร่งครัด ตอนแรกท่านโกเอ็นก้าก็ยังลังเลที่จะเข้าอบรมในศูนย์วิปัสสนาของอาจารย์ชาวพุทธ กระทั่งผู้เป็นอาจารย์ให้คำยืนยันว่า “ฉันจะไม่เปลี่ยนแปลงเธอให้หันมาถือพุทธหรอก แต่ฉันจะสอนวิธีการปฏิบัติที่ทำให้เธอเป็นมนุษย์ที่ประเสริฐยิ่งขึ้น”
ได้รับความกระจ่างเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติวิปัสสนาที่เน้นศีล สมาธิ ปัญญา ซึ่งไม่ขัดกับการเป็นศาสนิกชนของศาสนาใดท่านจึงตัดสินใจเข้ารับการอบรม
แต่การฝึกวิปัสสนาในระยะเริ่มต้นของท่านโกเอ็นก้าไม่ราบรื่นอย่างอาจารย์
ท่านโกเอ็นก้าเล่าว่า ท่านคิดจะล้มเลิกความตั้งใจ เก็บกระเป๋ากลับบ้านเสียตั้งแต่วันที่ ๒ ของการฝึกปฏิบัติ หลังได้ยินเพื่อนที่ร่วมปฏิบัติพูดให้ได้ยินว่าพวกเขาเห็นแสงนั่นนี่ ซึ่งตามคติฮินดูแล้วกล่าวกันว่านั่นคือแสงสวรรค์ แต่ท่านเองปฏิบัติแล้วยังไม่เห็นอะไรเลย และยังคิดเชื่อมโยงไปถึงคำกล่าวที่ว่า “เอาอูฐลอดรูเข็มยังง่ายเสียกว่าจะให้คนรวยได้ขึ้นสวรรค์” แล้วท่านเองเป็นนักธุรกิจเป็นคนรวยก็ยิ่งท้อแท้ เก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเตรียมจะหนีกลับในเย็นนั้น แต่ก็มีสุภาพสตรีที่เป็นผู้ปฏิบัติเก่าขอร้องให้ลองอยู่ต่ออีกสักวัน เธอบอกกับเขาว่า “อีกวันเดียวเถิดน่า อยู่ต่ออีกสักวัน แค่วันแรกคุณก็เริ่มรับรู้ความรู้สึกต่างๆ ได้ตั้งมากมาย คนอื่นเขากว่าจะรู้สึกได้ก็ตั้งวันที่ ๓ คุณทำได้ดีมาก ท่านอาจารย์เองก็พอใจกับการปฏิบัติของคุณ แล้วคุณจะหนีออกไปทำไม แล้วแสงนั่นก็ไม่ได้สำคัญอะไร ถึงแม้จะอยากเห็นก็อย่าไปให้ความสำคัญกับมันเลย อีกแค่วันเดียวเท่านั้น”
ท่านโกเอ็นก้าอยู่ฝึกปฏิบัติต่อจนจบหลักสูตร และอยู่ในสายธรรมสืบมาจนบัดนี้
หลังผ่านการปฏิบัติตามหลักสูตร ๑๐ วันครั้งแรก ความเครียดและอาการปวดไมเกรนของท่านบรรเทาลง ท่านโกเอ็นก้าเกิดความเลื่อมใสศรัทธาในสาระคำสอนและการปฏิบัติในแนวทางนี้เป็นอย่างมาก จึงปวารณาตัวเข้าปฏิบัติอย่างต่อเนื่องและจริงจัง
ท่านกล่าวว่า “เมื่อข้าพเจ้าได้เข้ารับการอบรมวิปัสสนา ความสงสัยและความกลัวต่างๆ ก็หมดไป ข้าพเจ้าพบว่าวิปัสสนาคือคัมภีร์ภควัทคีตาในแง่ของการปฏิบัตินั่นเอง ความเปลี่ยนแปลงเพียงอย่างเดียวจากวิปัสสนาก็คือการเปลี่ยนความทุกข์เป็นความสุข จากอวิชชาไปสู่ความรู้แจ้งจากพันธนาการที่ร้อยรัดไปสู่ความหลุดพ้น”
หลังฝึกวิปัสสนากับอาจารย์อูบาขิ่นมานาน ๑๔ ปี ช่วงต้นปี ๒๕๑๒ ท่านโกเอ็นก้าได้ทราบข่าวความเจ็บป่วยของมารดา ซึ่งย้ายกลับไปพำนักอยู่ที่ประเทศอินเดีย เมื่อ ๒-๓ ปีก่อนหน้านั้น ท่านมั่นใจว่าวิปัสสนาจะช่วยให้ความเจ็บป่วยด้วยอาการทางประสาทของแม่ดีขึ้น จึงขออนุญาตท่านอาจารย์ไปฝึกการปฏิบัติวิปัสสนาให้แม่ ซึ่งในช่วงนั้นอาจารย์อูบาขิ่นได้แต่งตั้งท่านทำหน้าที่เป็นอาจารย์ผู้ช่วยสอนแล้ว
อาจารย์อูบาขิ่นให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ต่อการที่ท่านโกเอ็นก้าจะนำการปฏิบัติวิปัสสนาไปเผยแผ่ยังอินเดียเพราะนั่นไม่ใช่แค่การตอบแทนคุณบุพการี แต่จะเป็นการตอบแทนบุญคุณแผ่นดินอินเดีย-แหล่งกำเนิดธรรมะอันบริสุทธิ์ของพระพุทธองค์ที่เผยแผ่ต่อมาสู่พม่า ท่านกล่าวกับศิษย์ชาวฮินดูอยู่เนืองๆ ว่า มีคำทำนายเล่าสืบต่อกันมาว่า ๒,๕๐๐ ปีหลังพุทธกาล พระธรรมคำสอนจะถูกนำกลับไปยังอินเดียอันเป็นแหล่งกำเนิด
ไม่ปรากฏหลักฐานบันทึก แต่เชื่อกันว่าการปฏิบัติในแนวทางนี้มีอยู่ในแผ่นดินพม่าตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๓ เมื่อครั้งพระเจ้าอโศกมหาราชทรงให้พระโสณเถระและพระอุตตรเถระเป็นผู้นำมาเผยแผ่ยังดินแดนสุวรรณภูมิ แล้วได้รับการสืบทอดต่อกันมาอย่างบริสุทธิ์ตามแบบดั้งเดิม เป็นภูมิปัญญาแห่งการดับทุกข์ที่ตกทอดอยู่ในแผ่นดินพม่าสืบมาหลายชั่วอายุคน จนถึงยุคของท่านเลดี ซายาดอร์ (๒๓๘๙-๒๔๖๖) พระภิกษุผู้มีชื่อเสียงและได้รับการยกย่องเป็นปราชญ์ของพม่า ซึ่งได้ถ่ายทอดมาสู่ศิษย์ฆราวาสที่ชื่อ ซายาเท็ตจี ผู้เป็นอาจารย์ของท่านอูบาขิ่น
ครั้นได้ทราบว่าศิษย์คนนี้จะไปสอนการวิปัสสนาให้แก่มารดาที่อินเดีย ท่านอูบาขิ่นจึงกล่าวอย่างยินดียิ่งว่า “โกเอ็นก้า ฉันต่างหากที่ไป ไม่ใช่เธอหรอก”
ส่วนท่านโกเอ็นก้าเองนั้น แม้ถึงวันที่ย้ายถิ่นกลับไปพำนักที่ประเทศอินเดียอย่างถาวรแล้ว ก็ยังยกย่องพม่าว่าเป็นแผ่นดินแห่งธรรมที่มีพระคุณต่อท่าน
จาก
http://www.sarakadee.com/2013/09/18/goenga/http://issuu-downloader.abuouday.com/view.php?url=sarakadeemag/docs/scp_go_n_ga