ผู้เขียน หัวข้อ: เราไม่ได้อยู่เพื่อตัวเองอีกแล้ว ชีวิตที่เปลี่ยนไป กอล์ฟ-ฟักกลิ้ง ฮีโร่ หลังมีเธอ  (อ่าน 1198 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
“เราไม่ได้อยู่เพื่อตัวเองอีกแล้ว” ชีวิตที่เปลี่ยนไปของกอล์ฟ-ฟักกลิ้ง ฮีโร่ หลังมีเธอมา ‘ชูใจ’



       วันนั้น กอล์ฟ-ฟักกลิ้ง ฮีโร่ หรือ ณัฐวุฒิ ศรีหมอก บอกว่า เขาร้องไห้
       
       ลองจินตนาการถึงชายร่างยักษ์ หนวดเครารกครึ้ม ยืนตะลึงงัน และมีน้ำใสๆ หยดลงมาจากดวงตาอย่างไม่อาจควบคุม มันคงเป็นภาพที่ขัดกับท่าทีขึงขังบนเวที ที่เขามักตะโกนคำแร็ปแต่ละวรรคแต่ละบาทออกมาอย่างดุดันคล้ายกับกำลังบันดาลโทสะต่อโลกอันทึมเทาที่ไม่เป็นดังใจของเขาอยู่ไม่น้อย
       
       นั่นคือหยาดน้ำตาของลูกผู้ชาย เป็นน้ำตาที่อธิบายได้ยากว่า เกิดจากความกลัว ความไม่มั่นคงในจิตใจ ความดีใจ หรืออะไรกันแน่ เมื่อรู้ว่าเขากำลังจะได้เป็นพ่อคน
       
       “เราไม่ได้วางแผน ไม่ได้ตั้งใจ”
       
       กล้าทำ ก็กล้ารับ--ลูกผู้ชายอย่างฟักกลิ้ง ฮีโร่ เล่าให้เราฟังด้วยท่าทีผ่อนคลาย ในวันที่ลูกสาวของเขาผู้มีนามว่า 'ชูใจ' ลืมตาดูโลกมา 1 ปี
       
       ชีวิตเป็นเช่นนั้น บ่อยครั้งที่เราไม่สามารถกำหนดกะเกณฑ์หนทางที่เราอยากเดินไปได้เสียทั้งหมด
       
       วันนี้กอล์ฟบอกว่าเขาต้องเดินช้าลง เป็นการเดินช้าลงอย่างเต็มใจ เป็นความช้าที่มาพร้อมกับความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ต่อชีวิตน้อยๆ ที่เขาได้สร้างขึ้นมา และแน่นอนว่า ย่อมเป็นความช้าที่อาจทำให้เขาโหยหาชีวิตอันโลดโผนโจนทะยานในยุทธภพของความสำราญยามค่ำคืนตามไลฟ์สไตล์ของแร็ปเปอร์อยู่บ้างไม่มากก็น้อย
       
       “ก่อนหน้าจะเห็นสองขีดบนเครื่องตรวจครรภ์ เรายังเที่ยวกันอยู่เลย”
       
       เขาว่าแบบนั้น แต่ก็ตัดสินใจปล่อยมือจากแก้วน้ำสีอำพันทันที--การถือกำเนิดของหนึ่งชีวิต ได้เปลี่ยนอีกหนึ่งชีวิตไปตลอดกาล
       
      “แต่มันก็โคตรคุ้มเลยนะ”
       
       วันนี้กอล์ฟใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังและใส่ใจกับสุขภาพของตัวเองมากขึ้น เขาซื้อบ้านหลังเล็กๆ วางแผนครอบครัวอย่างจริงจัง แววตามุ่งมั่นยิ่งขึ้น
       
       ชีวิตของแร็ปเปอร์หนุ่มผู้มีนามว่าฟักกลิ้ง ฮีโร่ เปลี่ยนไปแล้ว
       
       อย่างน้อยๆ ก็ในท่าทีของเพลง วันนี้ ศัพท์แสงราวบทกวี ถ้อยคำกระแทกกระทั้นอันแหลมคมที่ฉีกหน้ากากจอมปลอมของสังคมราวเพลงกระบี่ของจอมยุทธ์ผู้สำเร็จสุดยอดวิชาอย่างเพลง ‘บทกวีของลูกปืน’ หรือ ‘นิทานหลอกเด็ก’ นั้น กลับมีแง่มุมอื่นๆ ให้เราได้เห็นมากขึ้น เป็นแง่มุมที่ฉายแววของความอบอุ่น ความหวัง ความฝัน และความรัก เมื่อมีลูกสาวตัวน้อยๆ มา 'ชูใจ'
       
      วินาทีที่ได้รู้ว่าตัวเองกำลังจะได้เป็นพ่อคน คุณรู้สึกอย่างไร?
       
       ค่อนข้างจะอธิบายยากพอสมควร ก็อาจเป็นความรู้สึกช็อกน่ะครับ เพราะอย่างแรกเลยคือ มันเป็นการตั้งท้องโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ เพราะฉะนั้นมีความตกใจอยู่พอสมควร ไม่มีการเตรียมตัว ไม่มีเงินเก็บ ไม่มีการเตรียมพร้อมอะไรเลย ยังเที่ยวเล่นกันอยู่เลยตอนนั้น มันเลยคล้ายๆ กับความรู้สึกช็อก คือไม่ได้ถึงขั้นเสียใจอะไรขนาดนั้นนะ มันจะเป็นความรู้สึกปนๆ กันมากกว่า ระหว่างความดีใจ ความงง ความช็อก และตกใจ แล้วตกอยู่ในภาวะที่ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ
       
       ถึงขั้นกลัวไหม?
       
      กลัว เราจะตั้งคำถามในหัวตลอดเวลาว่า คนอย่างเราสองคนสามารถเป็นพ่อเป็นแม่ได้เหรอ แล้วตอนนั้นเรายังไม่มีบ้าน ยังไม่มีเงินเก็บ เช่าห้องเขาอยู่ ตัวเองก็ยังจะเอาไม่รอดเลย แล้วเราจะเลี้ยงเขาไหวได้อย่างไร เราหวาดกลัวอนาคตมาก ซึ่งพอหลังจากรู้แล้วว่าแฟนท้อง พอเห็นว่าเครื่องตรวจครรภ์ขึ้นสองขีดเนี่ย ตอนนั้นผมร้องไห้เลยนะครับ แล้วก็ไม่รู้ว่าเราร้องไห้เพราะอะไรด้วยนะ ไม่ใช่ความเสียใจแน่ๆ อาจเพราะไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร ส่วนแฟนเขาก็เอาแตงโมมาหั่น (หัวเราะ) หั่นๆๆๆ ใหญ่เลย คือต่างคนต่างไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อ การหั่นแตงโมก็คงเป็นวิธีการที่จะทำให้จิตใจของเขาสงบลงได้



       ผ่านช่วงเวลาเก้าเดือน ก่อนที่ชูใจจะเกิดมาได้อย่างไร?
       
       ต้องตั้งสติกันใหม่ เหมือนเราได้เริ่มต้นชีวิตกันใหม่อีกครั้ง เริ่มต้นวางแผนทางการเงิน เลิกเหล้า ค่อนข้างดูแลกันมากขึ้น ตอนนั้นคิดว่าดูแลสุขภาพของภรรยาเป็นหลัก เพราะเขาท้องอยู่
       
       ด้วยความที่เป็นคนที่ต้องทำงานกลางคืนกับคนเมาตลอดเวลา พอหักใจเลิกเหล้าเลิกบุหรี่แล้วมันส่งผลต่อการทำงานไหม?
       
       เหล้านี่เลิกตั้งแต่รู้ว่าภรรยาท้อง ตั้งแต่เห็นสองขีดบนชุดตรวจครรภ์นั่นแหละ บุหรี่เราเลิกก่อนลูกคลอดหนึ่งวัน เมื่อก่อนเราก็คิดเหมือนกันนะว่าเราคงเลิกไม่ได้หรอก เพราะเราต้องทำงานกับคนเมาทุกวัน แต่พอจำเป็นต้องทำจริงๆ มันทำได้ว่ะ เราพบว่าทุกอย่างเป็นข้ออ้างหมดเลย แล้วเรารู้สึกว่าเราทำงานแบบควบคุมสติได้มากกว่าเดิมด้วยซ้ำ ทำงานแบบมีสติมันดีคนละอย่างกับตอนเมานะครับ ผมไม่รู้เหมือนกันว่าคนอื่นคิดอย่างไร อย่างเรา เมื่อก่อนตอนเมา เราจะคิดว่ามันดี มันทำให้ทำงานไหลลื่น แต่จริงๆ แล้วมันอาจไม่ดีก็ได้ แต่ตอนนี้พอเลิกเหล้า เราค้นพบว่ามันดีว่ะ มันดีแบบเห็นผลลัพธ์ทันตาเลย แต่ต้องออกตัวก่อนนะครับ ว่าผมไม่ได้ห้ามใครกินนะ คือคนอื่นกินอาจจะดีก็ได้ แต่ผมกินแล้วผมเหี้ยไง เหี้ยมากด้วย กินแล้วหยุดไม่ได้ อีกอย่างคือเราโตมากับพ่อที่ขี้เมา เราไม่อยากเป็นพ่อแบบนั้น เราไม่อยากให้ลูกโตมาแบบเรา เรารู้ว่าเรากินแล้วมีปัญหา เมื่อก่อนเราไม่ต้องรับผิดชอบใคร แต่ตอนนี้เรามีเขาแล้ว ส่วนเรื่องบุหรี่เป็นเรื่องของสุขภาพล้วนๆ ตอนนั้นอะไรที่ทำให้เสี่ยงจะเป็นโรคต่างๆ เราก็อยากหยุดมันซะ เพราะอยากอยู่กับเขาไปนานๆ ถ้าเราเป็นอะไรไป เรากลัวว่าจะทิ้งปัญหาไว้ให้คนข้างหลัง


       
       ถ้าวันหนึ่งลูกโตขึ้นแล้วกินเหล้าสูบบุหรี่ล่ะ?
       
       เอาเลย ผมไม่ห้าม นี่ก็คิดว่าถ้าเขาโตขึ้นจะให้เขาลองทุกอย่าง (หัวเราะ) คือให้เขาลองเพื่อให้รู้ว่ามันเป็นอย่างไร ให้เขาลองโดยอยู่ในสายตาพ่อแม่ก่อนนี่แหละ เราคิดไว้แล้ว เพราะเราอยากให้เขามองโลกอย่างที่มันเป็นมากกว่าที่จะบังคับให้อยู่ในกฎเกณฑ์ ไม่ได้คิดว่ามันเป็นเรื่องแย่อะไร เราผ่านมันมาแล้วก็ยังอยู่ได้ แค่เอาตัวรอดในสังคมให้ได้ก็พอ เราอยากสอนให้เขาเอาตัวรอด แล้วเราไม่ได้จะบังคับให้ลองนะ แต่เราจะต้องดูสภาพสังคมที่เขาอยู่ก่อนว่า ถ้าอยู่กับเพื่อนเป็นแบบนี้ ควรให้ลองดีกว่าไหม แต่ถ้ามีเพื่อนดี ก็คิดว่าคงไม่เป็นไรมั้ง แต่เอาเข้าจริงก็คงจะยากแหละ เพราะพี่ป้าน้าอาของมันก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้น (หัวเราะ)
       
       เพลงของคุณส่วนใหญ่มักมีเนื้อหาที่ก่นด่าความฟอนเฟะของโลก มีชุดคำที่เราได้ยินบ่อยๆ ว่า การมีชีวิตคือความเจ็บปวด กลัวไหมว่าสักวันลูกของคุณต้องเจอกับโลกที่จะบังคับให้เขาต้องเจอกับความเจ็บปวดแบบนั้น
       
       จะกลัวทำไม มันคือความจริงน่ะ เหมือนในหนังเรื่อง The World without Thieves (2004) มันโกหกไม่ได้หรอกว่าโลกไม่มีความชั่วร้าย เพราะฉะนั้นผมจะไม่สอนลูกว่าให้มองโลกในแง่ดี ให้มองโลกว่ามันสวย แต่จะสอนให้มองอย่างที่มันเป็น เมื่อรู้ว่าโลกมันเป็นแบบนี้ก็รู้เท่าทันมัน ความเจ็บปวดต้องมาแน่ๆ อยู่แล้ว
       แต่ก็แปลกเหมือนกันพอมีลูกปุ๊บ เพลงเราเปลี่ยนไปเลย เรามองโลกอีกแบบไปเลย เราไม่เหลือความดุไว้แล้ว เป็นปัญหามากเหมือนกันนะ เพราะเรากลับไปทำเพลงดุไม่ได้แล้ว เราทำเพลงซอฟต์ลงมาก จรรโลงและอบอุ่นมากๆ 


       
       มีสิ่งที่สูญเสียไประหว่างทางของการมีลูกบ้างหรือเปล่า?
       
       น่าจะเป็นความคล่องตัวในการไปไหนมาไหน เวลาจะไปไหนต้องวางแผนดีๆ เพราะเราจะต้องมีไอ้ตัวเล็กๆ นี่ไปด้วย ดูหนัง ดูละครเวทีนี่ตัดไปได้เลย เราจะระมัดระวังมากครับ เราจะเลี้ยงเขาแบบไม่ให้ทำลายสิทธิ์คนอื่น เพราะในสังคมตอนนี้จะมีคำชุดหนึ่งคือ 'ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน' เวลาไปเที่ยวต่างจังหวัด เราจะไม่สามารถนั่งเครื่องบินได้ ไม่พาขึ้นเครื่องบินเด็ดขาด เพราะเรารู้ว่าลูกจะต้องร้อง ดังนั้นเราจะไม่พาลูกขึ้นเครื่องบิน หรืออย่างเวลากินอาหารในร้าน พอลูกร้องปุ๊บก็ต้องรีบออก จะพากลับบ้านทันที จะกินหมดหรือไม่หมดก็ตาม จะกลับบ้านทันทีเลย คือเราเข้าใจพ่อแม่ที่พาลูกไปไหนมาไหนด้วยนะ แต่อย่างเราเองพอเจอแบบนั้น ก็ยังมีความหงุดหงิดเลย ดังนั้นเราจะไม่เป็นพ่อที่สปอยล์ลูก เวลาลูกเจ็บก็ไม่ปลอบด้วยนะ บ้านเราเวลาลูกหัวชนโต๊ะจะต้องหักใจ พยายามไม่ปลอบ เพราะถ้าปลอบปุ๊บ เขาจะร้องไห้ทันที แต่เราจะบอกด้วยเหตุผลว่าหนูทำเองนะ หนูต้องระวังตัวเองนะ--วันหนึ่งมียี่สิบสี่ชั่วโมง เราจะยกให้ลูกหมดเลย ดังนั้นจะเป็นเรื่องของเวลาส่วนตัวนี่แหละที่จะเสียไป



        คุ้มไหมกับสิ่งที่เสียไปแล้วได้ชูใจมา
 ?
       
       คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม นี่คือจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายที่ทำให้ภาพมันสมบูรณ์มากๆ เห็นภาพชัด ทุกวันที่ผ่านมา นานหลายปีแล้วที่เราไม่เคยรู้เลยว่าเราตามหาอะไรอยู่ แต่พอเขาเกิดมาแล้วมันเต็ม ทุกวันนี้แฮปปี้มาก แฮปปี้มากที่สุด
       
       ในภาพรวม ชีวิตเปลี่ยนไปอย่างไรบ้างตั้งแต่มีลูก
 ?
       
       เราคิดถึงอนาคตมากขึ้น มีเป้าหมายชัดเจนมากขึ้นว่าเราจะไปที่ไหน เมื่อไหร่ เมื่อก่อนเราคิดแค่ว่าอยากไปเส้นชัย แต่ไม่รู้ว่าจะเอารางวัลไปให้ใคร เราเลยไม่ได้รีบร้อนจะวิ่งๆๆๆ เพื่อไปถึงตรงนั้นมากมายอะไรนัก แต่ตอนนี้ต่างกัน เพราะเรารู้แล้วว่าการจะไปให้ถึงเส้นชัยต้องใช้เวลาเท่าไหร่ ไปอย่างไรที่จะไม่ทำให้เหนื่อยหรือหนักหนาสาหัสเกินไป ทุกอย่างมีการวางแผนที่เป็นระเบียบแบบแผนมากขึ้น มีแผนที่และเป้าหมายชีวิตมากขึ้น


       
      เส้นชัยคืออะไร
 ?
       
       คงเป็นความมั่นคงมั้งครับ อาจเป็นความมั่นคงในเรื่องสุขภาพที่แข็งแรงเป็นหลัก เพราะเรื่องแบบนี้มันไม่แน่นอน เดือนก่อนผมเพิ่งไปผ่าไส้ติ่งมา ซึ่งก่อนหน้านั้นเราเป็นโรคเบาหวานอยู่แล้ว แต่หนีหมอมาตลอด พอผ่าไส้ติ่งแล้วหมอบอกว่าตรวจเจอเบาหวานที่สูงมาก เวลามีแผล ถ้าไม่รักษาเบาหวานไปด้วยจะไม่หาย จากที่เราไม่เคยสนใจเรื่องร่างกายเลยก่อนหน้านั้น เรากลับต้องหันมาสนใจ เพราะเส้นชัยของเราคือการต้องอยู่ดูแลเขาจนกระทั่งเขาดูแลตัวเองได้ เราจึงต้องวางแผนสุขภาพ การเงิน ทุกอย่างเลย ตอนนี้กำลังพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด


       
       ก่อนจะมีครอบครัว ชีวิตของคุณเป็นอย่างไร
 ?
       
       เกกมะเหรกเกเรครับ ใช้ชีวิตแบบอยากตาย มองว่าชีวิตไม่ได้มีค่าเลยนะ เรารู้สึกว่าอยากกินเหล้าจนตาย เราเคยบอกพี่โจ้ (โจอี้ บอย-อภิสิทธิ์ โอภาสเอี่ยมลิขิต) ว่าไม่ต้องมาห้ามเรากินเหล้า เราจะกินเหล้าจนตาย เรารู้สึกว่าเราไม่ได้ครอบครองอะไร ชีวิตเรามีแค่เช่าห้องเล็กๆ อยู่ พอมีแฟนนั่นแหละ ถึงเริ่มคิดที่จะขยายห้อง คือถ้าเป็นเมื่อก่อนที่ยังอยู่คนเดียว เราจะรู้สึกว่าเราไม่มีอะไรเลย ไม่อยากได้อะไรอีกแล้ว พร้อมที่จะตายได้ทุกเมื่อ แต่พอมีชูใจ เรารู้สึกว่าอยากมีชีวิตอยู่ยาวๆ เพราะเราไม่ได้อยู่เพื่อตัวเองอีกแล้ว
       
       พอมีครอบครัวมันก็ทำให้ชีวิตของคุณเริ่มดีขึ้นใช่ไหม 
?
       
       ดีขึ้นครับ ดีขึ้นเรื่อยๆ ด้วย แฟนไม่ได้ทำให้รู้สึกทุกข์ร้อนอะไร ไม่ได้ทะเลาะอะไรกันมากมาย จะมีบ้างแค่เรื่องการเลี้ยงลูก ความคิดไม่ตรงกัน เราจะเลี้ยงแบบนี้ แฟนคิดอีกแบบ แต่จริงๆ แล้วเราไม่ค่อยทะเลาะกันสักเท่าไหร่นะ ...หรือยังไงดี ทะเลาะกันสักหน่อยไหม นิตยสารจะได้มีเรื่องเขียน (หันไปถามภรรยาแล้วหัวเราะ) เราอยู่กันอย่างเรียบง่ายน่ะครับ ออกแนวขี้เกียจทั้งคู่ รู้สึกว่าทุกอย่างมันง่ายขึ้นมาก ช้าลงมาก เดี๋ยวนี้รับงานน้อยลงมากแล้วนะ ไม่ใช่กลัวรวยนะ (หัวเราะ) แต่กลัวไม่มีเวลาพักผ่อน ทุกอย่างต้องสมดุลกันหมด เรารู้สึกว่าแค่นี้พอดีแล้ว จะมีบางช่วงรับสามงานติดในหนึ่งวัน แล้วป่วยเข้าโรงพยาบาล จะรู้สึกว่า เฮ้ย ชะลอลงก่อนดีกว่า



       สิ่งที่ยากที่สุดในเรื่องความสัมพันธ์หรือชีวิตครอบครัวคืออะไร
?
       
       เงิน เรื่องเงินนี่ยากที่สุดนะครับ หาเงินน่ะยาก ยิ่งยุคนี้สมัยนี้ยิ่งยาก ราคายางตกเหลือห้าโลร้อยแล้วนะรู้หรือยัง (หัวเราะ) ถ้าเศรษฐกิจแย่ มันก็ส่งผลกันหมดแหละครับ เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีคนจ้างงานด้านบันเทิงสักเท่าไหร่แล้วด้วย อย่ามาเป็นนักร้องเลย (หัวเราะ)
       
       นักร้องเพลงแร็ปอย่างคุณอยู่ได้ด้วยอะไร?
       
       ทุกวันนี้อยู่ได้เพราะงานจ้าง เอาจริงๆ เลยนะครับ ถ้าไม่มีโจอี้ บอย เราคิดว่าเราคงไม่สามารถอยู่ได้ เพราะงานโชว์ส่วนใหญ่เราไปกับโจอี้ บอยตลอด พูดง่ายๆ ว่าเราอยู่ได้เพราะพี่โจ้แร็ปเปอร์ประเทศนี้หาคนที่อยู่ได้ด้วยงานแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ยากมาก อาจมีอยู่แค่ 8 เปอร์เซ็นต์จากทั้งหมด นอกนั้นถ้าบ้านไม่รวยอยู่แล้ว ก็ต้องทำงานอื่นควบคู่ไปด้วย อย่างเรา เราคิดว่าคนไม่รู้จักเพลงของเราด้วยซ้ำ
       
      ในเพลง SH... อัลบั้ม 'สิงห์เหนือ เสือใต้' ของคุณ มีเนื้อหาที่กล่าวถึงการไปสู่จุดสูงสุดของการเป็นฮิปฮอป ตอนนี้คุณยังอยากเป็นแบบนั้นอยู่หรือเปล่า
       
       ยังรู้สึก และยังคิดว่าเร็วๆ นี้จะสำเร็จ น่าจะปีนี้ด้วยเราอยากทำอัลบั้มให้ดีที่สุด อยากทำให้มันออกมาดีมากๆ ดีอย่างที่ประเทศนี้ไม่เคยมีมาก่อน
       
       กำลังทำอัลบั้มอยู่ ตอนนี้ยังไม่เสร็จ?
       
       ยังไม่เสร็จ เพราะเรารื้ออยู่เรื่อยๆ รื้อเพราะความคิดเราเปลี่ยนไปตลอด ทำไปแล้ว พอมาฟังใหม่ไม่ชอบก็เปลี่ยน มันเหมือนเรากำลังควานหาสิ่งที่ดีที่สุดแต่ยังไม่เจอ เราว่าช่วงนี้ใจเราไหลแรงเหมือนน้ำเชี่ยวเลย ทุกอย่างไปเร็วมาเร็ว แล้วความคิดของเรามันเปลี่ยนทุกวัน และก็ไม่แน่ใจว่าดีขึ้นหรือแย่ลงด้วยนะ แต่เราจะคิดว่าสิ่งที่เคยเขียนไว้ พอเอากลับมานั่งอ่านอีกทีมันดันไม่ดีแล้ว คือตอนนี้เหมือนกลายเป็นคน Perfectionist เพราะเราอยากจะทำอัลบั้มเดียว แล้วถ้าเราทำอัลบั้มนี้ไม่ดี มันก็จบเลย หรืออีกเหตุผลที่ทำให้ไม่ยอมจบสักที เพราะถ้ามันดีเสียจนเราไม่เหลือความฝันอะไรอีกแล้ว เราจะอยู่แบบไม่มีแรงผลักดัน อยู่แบบซังกะตายไปวันๆ เพราะฉะนั้นช่วงนี้ความฝันที่เหลืออย่างเดียวในชีวิตคือ ทำสิ่งเดียวที่เราทำได้นี่แหละให้ดีที่สุด เรายังมีเวลา ก็ค่อยๆ ทำไปแล้วกัน เดี๋ยวจะไม่มีอะไรเหลือให้ทำ
       
       เหมือนคนที่กลัวว่าตัวเองจะล้มเพราะเคยประสบความสำเร็จมาก่อน?
       
       ทุกวันนี้ไม่เคยคิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จเลยนะ เราจะคิดว่าตัวเองห่วยมากด้วยซ้ำ เราอิจฉาเด็กๆ มากเลยเวลาที่เขาไปแสดงแล้วคนมาดูเยอะๆ อย่างเราไปร้องเพลง เชื่อไหมว่าไม่มีคนดูเลย หมายถึงเพลงของเรานะ คอนเสิร์ตที่เป็นของเราคนเดียว ไม่มีคนดูเลย ทั้งที่วัฒนธรรมเพลงแร็ปมันดีขึ้นมากๆ Rap is Now (กิจกรรมการประกวดร้องเพลงแร็ปสดแบบ Battle) เพิ่งจัดงานไปเมื่อสัปดาห์ก่อน คนไปเต็มเลยนะ แร็ปมันเริ่มเป็นเมนสตรีมที่คนสนใจมากขึ้น คนหันมาฟังเยอะขึ้นมาก แม้ Rap is Now จะเป็นการเอาคนสองคนมาแข่งด่ากัน แต่การที่คนดูได้มาฟังทักษะการด้นสด ฟัง Rhyme ของผู้แข่งขันเนี่ย มันน่าสนใจนะ แต่ของเรา ล่าสุดไปที่อุตรดิตถ์ มีคนมาดู 15-20 คนเอง ลองถามคนอื่นๆ ดูก็ได้ว่ารู้จักเพลงอะไรของเราบ้าง นอกจาก ‘ราตรีสวัสดิ์’ กับ ‘ชูใจ’ บางคนยังพูดชื่อเพลงไม่ถูกเลย มีน้อยคนที่จะรู้จักเพลงของเรา แล้วเราไม่อยากทำเพลงป๊อปไง ไม่อยากทำเมนสตรีม อยากให้แฟนเพลงที่ฟังเพลงเราเดินเข้ามาฟัง หรืออย่างบางคนรู้จักเพลงเราก็จริง แต่ถ้าจัดคอนเสิร์ตก็ไม่มาดูหรอกจริงไหม ไม่มีทางที่จะมา อย่างถ้าบ้านคุณอยู่พระรามเก้า สมมุติเราจัดคอนเสิร์ตที่เลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา ให้อาบน้ำออกจากบ้านตอนสองทุ่มเพื่อไปดูฟักกลิ้ง ฮีโร่ คุณไม่มีทางมาดูหรอกจริงไหม แล้วไอ้ 15-20 คนที่มาดู ก็ไม่แน่ว่ามีคนรู้จักเพลงเราหรือเปล่า บางคนไม่รู้จักด้วยซ้ำ ถามว่าสำเร็จแล้วกลัวล้มไหม? เปล่าเลย เราไม่สำเร็จเสียจนกลัวว่า ถ้าทำออกไปแล้วจะไม่สำเร็จมากกว่า
       
       เกิดอะไรขึ้นทั้งๆ ที่คุณก็เป็นนักร้องเพลงแร็ปเบอร์ต้นๆ ?
       
       คือตัวเราดังนะ เราก็รู้ว่าฟักกลิ้ง ฮีโร่เนี่ยดัง แค่มีคนมาขอถ่ายรูปเราก็รู้สึกว่าเราดังแล้ว แต่เพลงของเรามันไม่ดังไง แล้วที่เราดังได้ทั้งๆ ที่คนไม่รู้จักเพลงของเราเลย เพราะเราไปกับโจอี้ บอย ไปกับก้านคอคลับ ไปกับ Buddha Bless เราออกสื่อ เราไปกับเขา แล้วเวลาไป เราก็ต้องร้องเพลงของโจอี้ บอย เพลงเราไม่มีใครเอา
       
       แตกต่างจากเมื่อก่อนไหม?
       
       ไม่ เท่าเดิมมาตลอด คนตามทวิตเตอร์ของเราสี่ห้าแสนคนนะ เขารู้จักตัวเราแน่ๆ แต่ถามว่ามีคนรู้จักเพลงไหม ไม่เลย คนตามทวิตเตอร์ของเราสี่ห้าแสน เฟซบุ๊กสามแสน แต่เชิงวิชาชีพเนี่ยล้มเหลว อาจจะมีคนรักเรา แต่กับเพลงเราไม่รู้ว่าเขารักแค่ไหน อาจไม่มีใครรักเพลงเราเลยก็ได้ ซึ่งมันน่าเศร้าสำหรับวิชาชีพ 

       
       เคยทบทวนไหมว่ามันเกิดจากสาเหตุอะไร?
       
       เราคิดว่าเรายังแสดงไม่สนุก เอาคนไม่อยู่ แล้วเพลงเราจะเอาสนุกก็ไม่สนุก จะลึกไปเลยแบบพี่เล็ก Greasy Café (อภิชัย ตระกูลเผด็จไกร) ก็ไม่ใช่ ก็เลยงงๆ บางทีก็ไม่ฮิปฮอป เพราะไม่ได้แก๊งสเตอร์ขนาดนั้น ไม่เหมือนกลุ่มแฟตเรดิโอขนาดนั้น จะเอากลุ่มไหนก็ไม่เอาสักกลุ่ม เอกลักษณ์ของเราก็คือ คนไม่เกิน 30 คนนี่แหละ หาได้ไหมล่ะ เป็น 30 คนที่ไม่ได้มาดูเราด้วยนะ แค่มากินเหล้า (หัวเราะ)
       
       รู้สึกอย่างไร เวลายืนอยู่บนเวทีแล้วมองไปข้างล่าง เห็นคนดูแค่นั้น?
       
       เอาหล่อๆ ก็จะต้องบอกว่า หูย มีคนมาดูแค่คนเดียวก็ดีขนาดไหนแล้ว แต่ความจริงก็รู้สึกเวทนาตัวเอง มันน่าเศร้าน่ะ
       
       แต่ก็ไม่คิดจะเลิกใช่ไหม?
       
       เฮ้ย อาชีพนี้มีความสุขที่สุดแล้ว เราทำมันได้ดีมากเลยนะ คนเรามันจะมีสักกี่คนที่รู้ว่าเราทำอะไรได้ดีมากน้อยแค่ไหน เรายังอยากให้ลูกเป็นแร็ปเปอร์เลย แต่จริงๆ แล้วพอลูกทำไม่ได้ เราคงไม่ไปบังคับเขาหรอก แต่ถ้าถามว่าอะไรที่อยากให้เขาเป็น ก็คงเป็นแร็ปเปอร์แหละ อารมณ์เหมือนพ่อที่เป็นข้าราชการ แล้วรู้สึกว่าการเป็นข้าราชการมันดีน่ะ แม้มันจะจนไปสักหน่อย แต่มันก็มีความสุข คุณเป็นนักเขียนคุณก็มีความสุขใช่ไหม มันเหมือนกันน่ะ เราไม่รู้จะไปทำอะไรอย่างอื่นแล้ว ถึงจะมีคนดูไม่เยอะ แต่มันจะมีบางเวลานะที่เราขึ้นไปแสดงบนเวทีแล้วเรารู้สึกว่ามันสุดยอดเลยว่ะ หรือบางเพลงที่เราเขียนแล้วรู้สึกว่าสุดยอดมาก เราอยากให้ลูกได้สัมผัสอะไรแบบนั้น
       
       คุณผ่านอะไรมาบ้างกว่าจะมาเป็นฟักกลิ้ง ฮีโร่อย่างทุกวันนี้?
       
       เยอะนะ มันมีทั้งคำและสายตาที่ดูถูกเหยียดหยามมากเหมือนกันว่าเราจะไม่ประสบความสำเร็จ เพลงอย่างเราคนฟังค่อนข้างน้อย ยอดวิวในยูทูบของเรายังน้อยกว่ารุ่นน้องๆ หลายคนเลย บางคนไปถึงสิบล้าน ยี่สิบล้านวิว ของเราแค่หลักแสน เรารู้สึกว่าเราอยู่มาก่อนเขา ทำไมเราไม่ประสบความสำเร็จสักที จนเรามามองว่าการเป็นปัจเจกของเรา มันคงทำให้คนที่จะเข้าใจเราจริงๆ มีน้อย เพราะงานแบบนี้มีเราทำได้คนเดียว เหมือนงานแกะสลักมือ เราทำงานสักชิ้นเราทำช้ามากเลยนะ เราเลยเป็นคนที่แร็ปสดไม่ได้ ออกเพลงน้อย ขายยาก แต่ขายได้ชิ้นหนึ่งแพง เราทำเพลงโฆษณา เพลงละห้าแสนบาท สองปีขายได้ชิ้นหนึ่ง คือคนที่ซื้องานต้องเป็นคนที่เข้าใจงานของเรา นานๆ ถึงจะขายได้สักที นานมากๆ นะ แต่พอขายได้ เงินที่ได้มาก็อยู่ได้นาน แม้ยอดวิวจะไม่เยอะ แต่มีคนชื่นชมงานเราเยอะอยู่นะ คือเยอะในที่นี้อาจจะไม่ใช่เยอะในเชิงปริมาณ แต่เยอะในความรู้สึกที่เขาชอบเราน่ะ
       
       ทำไมเนื้อหาของเพลงเมนสตรีมส่วนใหญ่ในบ้านเราถึงไม่สามารถหนีเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ได้เสียที ?
       
       โทษแนวเพลงไม่ได้ ต้องโทษจริตคนฟังแต่ละพื้นที่ด้วย เราคิดว่าจริตของคนฟังบ้านเรา เขาคงซึมซับกับเรื่องรักๆ ได้ง่ายกว่า พูดให้ชัดคือถ้าคุณอยากขาย คุณจะขายเรื่องเหล่านี้ได้ง่ายกว่า เพลงเมนสตรีมบ้านเราก็เลยเป็นแบบนั้น อย่าง UtadaHikaruของญี่ปุ่นเนี่ย เพลงเขาป๊อปมากเลยนะ แต่เพลงที่เนื้อหาลึกซึ้งของเขาก็มี ไม่ใช่ว่าเพลงร็อก เพลงป๊อปจะไม่มีเนื้อหาแนวนี้เลย ฮิปฮอปเองเรื่องรักๆ ก็มีเต็มไปหมด อยู่ที่เขาจะขายใคร และวัฒนธรรมคนฟังในพื้นที่นั้นๆ เป็นอย่างไรมากกว่า



       แล้วอย่างเพลงที่แต่งให้ลูกล่ะ?
       
      เราแต่งเพลง 'ชูใจ' ตอนย้ายมาอยู่บ้านหลังนี้ ช่วงต้นๆ ที่ชูใจเพิ่งเกิดได้ประมาณสองเดือน จำได้ว่าตอนนั้นเป็นเดือนเมษายน เราคิดไว้อยู่แล้วว่า พอเขาเกิดมา เราจะแต่งเพลงให้ แล้วช่วงแรกๆ หลังชูใจเกิดมา เราค่อนข้างมีปัญหาเรื่องการเงิน เรารู้สึกว่ามันทุกข์ ปรากฏว่าตอนทุกข์ๆ นี่แหละที่จะทำให้เราแต่งเพลงได้ดี (หัวเราะ) เรารู้สึกว่าต้องทำอะไรสักอย่างให้มีกำลังใจ ทำให้ชีวิตกระเตื้องขึ้น ก็เลยเขียนเพลงนี้เป็นกำลังใจให้ลูก เพราะเรากลัวว่าลูกโตขึ้นแล้วจะคิดฆ่าตัวตาย ด้วยความที่เราเห็นว่าเด็กยุคนี้โตมาในยุคโซเชียลเน็ตเวิร์ก ที่มีสิ่งเร้าเยอะ แต่การไตร่ตรองของคนเสพอาจไม่มากพอ เหมือนทุกอย่างถูกเคี้ยวมาให้หมด ให้เขารอกลืนอย่างเดียว ทำให้เขาไม่ได้พิจารณารสชาติของมันก่อน เราคิดว่าสิ่งนี้จะทำให้อัตราการฆ่าตัวตายสูง เพราะเราบริโภคสิ่งต่างๆ เร็วเกินไป ก็เลยทำเพลงนี้ขึ้นมา เราเห็นกระบวนการที่เบลตั้งท้องว่ามันค่อนข้างจะเป็นทุกข์มาก ก็เลยอยากให้เขาคิดถึงพ่อ คิดถึงแม่เวลาต้องเจอกับความทุกข์ เจอกับปัญหา ซึ่งแน่นอนว่าต้องเจออยู่แล้ว แต่พอเจอแล้ว พอทุกข์มากๆ ทนไม่ไหวกับมันอีกต่อไปแล้ว เราก็อยากให้เขากลับมาบ้าน
       
       ถ้าวันหนึ่งชูใจโตขึ้น มีความฝัน แล้วเกิดท้อแท้กับความฝันของตัวเอง คุณจะปลอบลูกอย่างไร?
       
       มันมีหนังเรื่องหนึ่ง ที่บอกว่าเราไม่สามารถไปถึงดวงดาวได้ทุกคนหรอก มันต้องมีคนติดอยู่บนโลกนี้บ้าง ความผิดหวังเป็นเรื่องปกติ แต่ผิดหวังแล้วเราจะอยู่กับมันอย่างไร เราต้องอยู่กับมันให้เป็น สู้ใหม่ ดูป๋าเทพสิ เขาเจ๊งมาตั้งเยอะ สุดท้ายมาทำขนมเปี๊ยะ เขาก็เพิ่งจะมาขายได้ ดูเทพ โพธิ์งามไว้ลูก
       
       ยังไงคนเราก็ต้องไม่ละทิ้งความหวัง-ความฝัน?
       
       ใช่ ฝันไปเหอะ ทำไป อาจจะไม่ต้องสำเร็จก็ได้ ดูอย่างพ่อนี่ ถึงจะไม่สำเร็จเลย แต่ก็เลี้ยงลูกได้ด้วยเพลงแร็ป อย่างน้อยก็ทำมันเป็นอาชีพได้ โลกมันเป็นแบบนี้ เราอยากปล่อยเขาให้ออกไปเผชิญกับโลกความเป็นจริง



       ทุกวันนี้เวลาหันไปมองหน้าลูก คุณมักคิดอะไรอยู่ในใจ?
       
       รู้สึกว่ามันอ้วนขึ้นทุกวันเลย (หัวเราะ) เรารู้สึกว่าเขาน่าจะเป็นภารกิจชิ้นใหม่ เรารู้สึกว่าทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหมด เรื่องของชูใจมันรีเซ็ตใหม่ทุกวัน ทุกๆ วันจะมีอะไรใหม่ๆ มาให้เราดูตลอด และเราก็คิดว่าเขาน่าจะเป็นความหวังใหม่ๆ ของเรา เวลามองตาเขา เราจะพบว่าทุกอย่างมันบริสุทธิ์หมดเลย เราได้เห็นว่าเด็กมีความสุขได้ง่ายขนาดไหน เพราะเมื่อก่อนเราไม่เคยได้ใกล้ชิดกับเด็กคนไหน อย่างชูใจแค่เห็นของตกก็หัวเราะแล้ว ตอนเด็กๆ เราก็คงเคยเป็น แต่ตอนนี้ความสุขของเรามันเกิดขึ้นได้ยากเหลือเกิน ยิ่งโต ความสุขก็ยิ่งจะซับซ้อนขึ้น และชูใจก็เริ่มทำให้เราเข้าใจกระบวนการของความซับซ้อนในตัวมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่วันแรกที่เกิด อย่างชูใจนี่พอเริ่มจำหน้าคนได้ นอกจากพ่อแม่ ชูใจจะไม่ให้คนอื่นอุ้มแล้ว เขาจะเริ่มซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เรารู้ แล้วก็ปลงว่า บางทีเราก็ทำอะไรซับซ้อนเกินไปเนอะ ทำง่ายๆ บ้าง ปล่อยบ้าง เดินเล่นบ้างก็ได้มั้ง
       
       ถ้าวันหนึ่งชูใจต้องเจอความทุกข์อะไรก็ตามที่รับไม่ไหว จนหันมาตัดพ้อคุณว่า พ่อทำให้หนูเกิดมาทำไม คุณจะพูดกับลูกอย่างไร?
       
       กรรมน่ะ มันเป็นชีวิตลูกที่ต้องเกิดมา พ่อก็ทำอะไรไม่ได้ พ่อทำได้แค่ทำหน้าที่ของพ่อกับแม่ให้ดีที่สุด
       
       จะปลอบเขาอย่างไรถ้าเขาบอกว่าอยากตาย?
       
       โธ่ ไม่ตายหรอก เราจะบอกเขาว่ารักนะ เล่าให้ฟังว่าแม่ผมร่วงเยอะมากเลยตอนหนูกินนม แม่ปวดกระดูกมากๆ เลยเพราะหนูเอาแคลเซียมไปเยอะมากๆ ตอนอยู่ในท้อง เพราะฉะนั้นหนูต้องมีกระดูกที่แข็งแรง ต้องมีจิตใจที่แข็งแรง

        เรื่อง : ฆนาธร ขาวสนิท
       ภาพ : พาณุวัฒน์ เงินพจน์


จาก http://astv.mobi/AHqTLpK
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...