ผู้เขียน หัวข้อ: ปู – ยุวดี เรืองฉาย ไม่เพี้ยน ไม่บ้า แค่กล้าพูดความจริง  (อ่าน 1033 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด



ปู – ยุวดี เรืองฉาย ไม่เพี้ยน ไม่บ้า แค่กล้าพูดความจริง

ในอีกมุมหนึ่ง ปู ( ยุวดี เรืองฉาย) คือลูกสาวที่ต้องดูแลแม่ที่แก่ชรา ดูแลน้องชายที่ติดยา ดังนั้นชีวิตจริงของปูจึงต่างกับภาพที่คุณเห็นในทีวีราวฟ้ากับเหว เพราะนอกจากจะไม่มีเสียงหัวเราะแล้ว บางช่วงบางตอนก็มีแต่คราบน้ำตา

นับตั้งแต่รายการ “แบบว่าโลกเบี้ยว” ดังสุดขีดในปี 2529 ชื่อเสียงของ ปู – ยุวดี เรืองฉาย ก็พลอยดังเป็นพลุแตกตามไปด้วย และทำให้ชื่อมีสร้อยตามหลังว่า “ปู โลกเบี้ยว” อย่างที่เรียกกันมาจนถึงทุกวันนี้

หากจะว่าไปแล้วโลกนี้ก็บูดๆ เบี้ยวๆ ไม่สมบูรณ์แบบจริงๆ เพราะหากลองมองเข้าไปในครอบครัวไหนสักครอบครัวหนึ่ง เราอาจพบว่ามีรอยขีดข่วน แตกร้าว แหว่งวิ่นแฝงอยู่แทบทั้งนั้น บางครอบครัวพ่อไปทาง แม่ไปทาง หรือบางครอบครัวมีลูกพิการ ติดยา ติดคุก ติดเที่ยว และสารพัดเรื่องราวที่นอกจากจะจัดเป็นปัญหาครอบครัวแล้วบางครั้งยังลุกลามกลายเป็นปัญหาสังคมอีกด้วย

เช่นเดียวกันกับครอบครัวของปู ที่เรียกได้ว่ารวมเอาปัญหาที่ไม่น่าเล่าให้ใครฟังมาไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่แยกทางกันหรือน้องชายติดยา โดยเฉพาะเรื่องหลังเป็นใครก็คงอยากเก็บไว้ในซอกหลืบที่ลึกที่สุดของบ้าน แต่สำหรับปู เรื่องนี้ยิ่งต้องหยิบยกขึ้นมาพูด เพื่อให้คนอื่นรู้ว่า ยาเสพติดทำร้ายชีวิตและทำร้ายครอบครัวได้ยับเยินขนาดไหน



เชื่อว่าหลายครอบครัวอาจประสบปัญหาเดียวกับปู คือมีเรื่องราวที่ไม่ดีเกิดขึ้น แต่วิธีการจัดการปัญหาของแต่ละครอบครัวคงแตกต่างกันไป เท่าที่ปูเห็นมีอยู่หลายแบบ เช่น บางครอบครัวก็พยายามทำเป็นลืมๆ หรือกลบๆ ปัญหานั้นไว้ บางครอบครัวก็ตีอกชกหัว ฟูมฟายกับปัญหาที่เกิดขึ้น แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ นานทีเดียวกว่าจะทำใจยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นนั้นได้ หรือนานทีเดียวกว่าจะกล้าเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้คนอื่นฟัง

ไม่ว่าคุณจะมองว่าปูเป็นคนแบบไหน…เป็นคนแรงๆ เสียงดังไม่มีสัมมาคารวะ อย่างที่เคยถูกวิพากษ์วิจารณ์ตอนเป็นพิธีกรรายการ “แบบว่าโลกเบี้ยว” หรือมองว่าปูเป็นดาราเพี้ยนๆ บ้าๆ เพราะหันมาสนใจโหราศาสตร์ แต่ในอีกมุมหนึ่ง ปูคือลูกสาวที่ต้องดูแลแม่ที่แก่ชรา ดูแลน้องชายที่ติดยา ดังนั้นชีวิตจริงของปูจึงต่างกับภาพที่คุณเห็นในทีวีราวฟ้ากับเหว เพราะนอกจากจะไม่มีเสียงหัวเราะแล้ว บางช่วงบางตอนก็มีแต่คราบน้ำตากับความรู้สึกเหน็ดเหนื่อยทดท้ออีกด้วย



ความจริงแล้วน้องชายปูเกือบตายมาแล้วหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็รอดมาได้ราวปาฏิหาริย์

อย่างที่ปู (ยุวดี เรืองฉาย) เล่าไว้ในตอนแรกว่า น้องชายติดยาเสพติด จนปูต้องขอร้องให้ตำรวจช่วยจับไปเลิกยา หลังเลิกยาสำเร็จ น้องชายกลับมาเรียนที่โรงเรียนพาณิชย์นาวี ต้องฝึกว่ายน้ำและวิ่งวันละหลายๆ กิโล ทำให้สุขภาพร่างกายที่เคยทรุดโทรมจากการเสพยาดีขึ้นผิดหูผิดตา

ช่วงนั้นปูเริ่มมีความหวังว่าน้องชายคงจะกลับมาใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติทั่วไป ความหวาดวิตกกังวลที่เคยมีอยู่จึงค่อยๆ จางหายไป แต่แล้วปูก็ดีใจอยู่ได้ไม่นาน เพราะหลังจากนั้นน้องชายก็หันไปเสพสารเสพติดชนิดใหม่ที่มาจากญี่ปุ่น ซึ่งมีความรุนแรงมากกว่าเดิม

ปูส่งน้องชายไปอดยาอีกครั้ง และต้องหมดเงินไปเป็นล้านๆ บาทกับการดูแลรักษา หลายปีที่ผ่านมาชีวิตของน้องชายวนเวียนอยู่กับการเข้าๆ ออกๆ มหาวิทยาลัยสามสี่แห่ง สลับกับการเข้าไปบำบัดรักษาอาการติดยา สุดท้ายเมื่อไม่สามารถทำอะไรได้อีกต่อไปแล้ว ปูก็ต้องปล่อยให้น้องชายใช้ชีวิตไปตามยถากรรม และไม่คาดหวังว่าเขาจะกลับมาดำเนินชีวิตได้เหมือนคนอื่นๆ อีกต่อไป

แต่แล้วจู่ๆ วันหนึ่งน้องชายก็เลิกยาด้วยตัวเอง เขาต่อสู้กับอาการ“ลงแดง” ครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความทุรนทุราย ภาพน้องชายนอนแก้ผ้าร้องโอดโอยอยู่ในห้องน้ำเป็นภาพชินตาที่ปูต้องพยายามทำใจยอมรับให้ได้ว่า “กรรมของใครก็กรรมของมัน” เพราะต่อให้สงสารน้องแค่ไหนปูก็ช่วยเหลืออะไรไม่ได้

หลังเลิกยาเสพติดได้สำเร็จ เหมือนอะไรจะดีขึ้น แต่กลับกลายเป็นว่าน้องชายหันมาติดเบียร์แทน ถึงขนาดกินหมดหนึ่งลังภายในสองวัน จนสภาพร่างกายทรุดโทรมอย่างหนัก มีหลายครั้งที่ต้องหามไปส่งโรงพยาบาล ต้องเปลี่ยนเลือดเป็นสิบๆ ถุง แต่น้องชายก็รอดมาได้ทุกครั้ง

ทุกวันนี้น้องชายของปูไม่สามารถเดินตรงๆ ได้เหมือนคนทั่วไป เพราะทั้งยาเสพติดและเหล้าเบียร์ที่ดื่มเข้าไปเป็นสิบๆ ปีเข้าไปทำลายสมอง ทำให้ประสาทไม่สามารถสั่งการได้ตามปกติ พิษร้ายจากการเสพสิ่งเสพติดมาเป็นระยะเวลานานกำลังตามเล่นงานชีวิตของเขาโดยที่ปูและแม่ไม่สามารถทำอะไรได้อีกต่อไป สิ่งที่ทำได้ก็เป็นเพียงการบอกเล่าเรื่องราวของตัวเองให้คนอื่นๆ รับรู้ เพื่อจะได้เป็นอุทาหรณ์สอนใจเท่านั้น

ฟังเรื่องน้องชายของปูแล้ว หลายคนอาจจะคิดว่านี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ปูหันมาสนใจด้านโหราศาสตร์ แต่ความจริงแล้วความไม่มั่นคงในหน้าที่การงานน่าจะมีผลมากกว่า

ในช่วงปี 2544 รายการ “แบบว่าโลกเบี้ยว” ที่ออกอากาศมากว่าสิบห้าปีก็เกิดความวุ่นวายในบริษัทและเกิดอาการระส่ำระสายจากการที่ตลกคาเฟ่เริ่มเข้ามายึดพื้นที่ในจอโทรทัศน์มากขึ้น ด้วยเหตุนี้ พี่ภิญโญ รู้ธรรม จึงชักชวนปูให้ไปเรียนศาสตร์ยูเรเนียน (อิทธิพลของดวงดาวกับชีวิตมนุษย์) ด้วยกัน เผื่อจะได้เป็นอาชีพเสริมของพวกเราในอนาคต

แต่เรียนไปเรียนมา กลับมีปูคนเดียวที่ตั้งใจเรียนอย่างจริงจัง จากศาสตร์ยูเรเนียนก็เป็นไพ่ยิปซีและอื่นๆ อีกมากมาย จนทุกวันนี้สามารถมิกซ์แอนด์แมตช์ศาสตร์ยูเรเนียนกับศาสตร์ไทย ศาสตร์จีนได้

แต่ต้องขอประกาศไว้ตรงนี้เลยนะคะว่า “ปู โลกเบี้ยว” ไม่ได้รับดูดวงโดยตรง ที่คุณๆ เห็นโฆษณาตามวิทยุโทรทัศน์นั้นเป็นการรับจ้างอ่านดวงชะตา ซึ่งทางบริษัทที่ทำธุรกิจนี้เขาจะส่งข้อมูลมาให้ปูอ่าน แล้วอัดเสียงลงซีดีเดือนละครั้ง ดังนั้นปูไม่ได้เป็นคนดูโดยตรง และไม่ได้รวยอย่างอาจารย์ดังๆ ที่รับดูดวงท่านอื่นๆ

นอกจากนั้นปูยังได้ยินมาว่ามีบางคนใช้ชื่อปูไปแอบอ้าง เที่ยวบอกคนอื่นว่าปูรับดูดวงในราคา 2,000 บาท แล้วหลอกคนที่ตกเป็นเหยื่อว่าตอนนี้ปูไปเมืองนอก ดังนั้นให้ดูดวงกับเขาไปก่อน ซึ่งความจริงแล้วปูดูให้เฉพาะกับคนที่สนิทโดยไม่คิดเงิน และมักพูดติดตลกอยู่บ่อยๆ ว่า“ถ้าปูไม่มีจะกินแล้วเดี๋ยวค่อยขอ”

แม้ตอนแรกตั้งใจจะเรียนศาสตร์นี้ไว้เป็นอาชีพเสริม แต่เมื่อเรียนจริงๆ กลับรู้ว่า ศาสตร์นี้มีไว้เพื่อเป็น “ผู้ให้” ไม่ได้มีไว้เพื่อรับเงินรับทองแต่อย่างใด เพราะคนที่มาดูดวงส่วนใหญ่มักมีความทุกข์ สิ่งที่เราให้ได้คือกำลังใจ ไม่ใช่หวังไปกอบโกยจากเขา

อาจารย์เจษฎา คำไหล ซึ่งเป็นอาจารย์สอนดูดวงที่ปูให้ความเคารพนับถือสอนปูว่า “จำไว้นะลูก คนเขาทุกข์พอแล้ว ถ้าเราพอมีพอกินแล้วอย่าไปเก็บเงินเขา อย่าไปเบียดเบียนเขา การที่เขาทุกข์แล้วมาปรึกษาเรา เราให้ความสบายใจกับเขาไป ก็เท่ากับเราได้ทำบุญแล้ว”

ปูเชื่อตามคำพูดของอาจารย์ท่านนี้ และมองว่าหมอดูก็ไม่ต่างอะไรจากจิตแพทย์ที่ช่วยชี้แนะแนวทาง ให้คำปรึกษา ที่จะทำให้คนที่ทุกข์เกิดความสบายใจ ยิ่งเมื่อได้อ่านและฟังคำสอนทางพุทธศาสนาก็ทำให้ปูมีหลักในการให้คำแนะนำแก่คนอื่น ทำให้เขาคิดอย่างมีเหตุผล และไม่เคยสอนให้คนเชื่อเรื่องงมงาย

อย่างการทำบุญสะเดาะเคราะห์ ปูจะต่อต้านเรื่องนี้มาก เพราะลองคิดดูว่า ถ้าเราสามารถสะเดาะเคราะห์ได้จริง คนทั้งโลกนี้ก็ไม่มีใครจน ไม่มีใครมีเวรมีกรรม แต่ความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นสำหรับปู การทำบุญสะเดาะเคราะห์ช่วยให้ใจโล่งโปร่งเบาขึ้นเท่านั้น ส่วนเรื่องเปลี่ยนชื่อเพื่อทำให้ชีวิตดีขึ้นก็เหมือนกัน ปูจะบอกเสมอว่า ชื่อของคนเราเป็นเพียงสิ่งสมมุติ ชื่อไม่ได้ทำให้ชีวิตของเราเป็นอย่างนั้นอย่างนี้อย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่ชีวิตของคนเรามีทั้งช่วงที่ตกต่ำและช่วงที่ดี เพราะฉะนั้น ที่หลายคนบอกว่าเปลี่ยนชื่อแล้วดีขึ้นก็มีหลายๆ อย่างประกอบกัน ทั้งจังหวะของชีวิตในช่วงนั้นและกำลังใจที่เพิ่มขึ้นมา



ตอนนี้นอกจากปูจะเป็นคอลัมนิสต์ในนิตยสารแล้ว ยังจัดรายการวิทยุทางคลื่น FM 95 ลูกทุ่งมหานคร รายการ “เสาร์อาทิตย์ฮิตเป็นพิเศษกับยุวดี เรืองฉาย” ซึ่งเป็นรายการที่เน้นถึงหลักในการใช้ชีวิต มีการนำเกร็ดธรรมะจากหนังสือต่างๆ มาเล่าให้ฟังในรายการ และเปิดสายให้ผู้ฟังโทรศัพท์มาปรึกษาเรื่องดวง

ในแต่ละวันพอเขาโทรศัพท์มาปั๊บ เขาจะบอกวัน เดือน ปีเกิดกับปู เราก็จด แต่สิ่งที่เขาถามไม่ใช่เรื่องดวง แต่กลายเป็นว่า “ตอนนี้ทะเลาะกับภรรยา จะทำอย่างไรดี” หรือ “ทำอย่างไรถึงจะเข้ากับแม่สามีได้” ฯลฯ

ส่วนใหญ่เรื่องที่ผู้ฟังถามเป็นเรื่องที่ปูต้องให้กำลังใจเขากลับไปซึ่งหลักในการตอบของปูคือ การใช้หลักจิตวิทยาบวกกับหลักธรรมะ ซึ่งช่วยอธิบายปัญหาของเขาได้อย่างเป็นเหตุเป็นผล แต่ก็มีบ้างบางครั้งที่ต้องขอ “ตำหนิแรงๆ” ผู้ฟังรายการบางประเภทที่ถามปัญหาซึ่งปูคิดว่าต้องเตือนสติกันเสียหน่อย เช่น บางคนถามว่า “ระหว่างการดูแลพ่อที่นอนป่วยอยู่ที่บ้านกับการไปปฏิบัติธรรมจะเลือกอย่างไหนดี”

ถ้าถามมาอย่างนี้ ปูก็จะตอบว่า “คุณขา กลับไปดูแลคุณพ่อก่อนดีไหมคะ คุณพ่ออายุ 72 ปีแล้วไม่ใช่หรือ จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ก่อนที่คุณจะไปนับถือพระอื่น คุณดูแลพระในบ้านก่อนดีไหม อย่าไปทำอะไรตามกระแสเลย”

นอกจากไม่ชอบคนที่ชอบทำอะไรตามกระแสแล้ว ปูยังไม่ชอบคนที่ทำบุญเอาหน้า บางคนญาติพี่น้องไม่มีจะกินอยู่แล้วไม่เคยช่วย แต่นำเงินไปสร้างโบสถ์ สร้างวัดเอาหน้า ปูเองมีญาติอยู่ในชุมชนแออัดคลองเตย ปูก็จะไปช่วยญาติที่นั่นก่อน ดังนั้นก่อนที่จะไปช่วยคนอื่นลองหันมองไปรอบๆ แล้วช่วยคนใกล้ตัวเรากันก่อนดีไหม

ตัวปูเองเมื่อก่อนชอบไปทำบุญตักบาตรที่วัดใกล้บ้าน หลังๆน้องชายบอกว่า “ถ้าเราไม่ใส่บาตร พระก็ยังมีอาหารฉัน เพราะคนอื่นก็ยังใส่บาตรอยู่ดี แต่ยามในหมู่บ้านเงินเดือนนิดเดียวไม่พอจะกินถ้าเราให้ในสิ่งที่เขาต้องการ ช่วยเหลือเขาเล็กๆ น้อยๆ ก็น่าจะดีนะ”

ฟังน้องชายพูดแล้วปูก็เห็นด้วย ช่วงหลังๆ ปูเลยหันมาช่วยเหลือยามในหมู่บ้านซึ่งมีลูกพิการปัญญาอ่อน มีอะไรก็จะนึกถึงเขา ช่วยเหลืออะไรได้ก็จะช่วย ทั้งเงินทองและข้าวของ จนบ้านปูแทบไม่ต้องซื้อข้าวสาร เพราะเขาจะขนข้าวจากบ้านเขามาให้เป็นกระสอบๆ ซึ่งเป็นการแสดงน้ำใจของเขา โดยที่เราเองก็ไม่เคยคาดหวังว่าจะต้องได้รับสิ่งตอบแทน

แต่สิ่งที่ปูได้รับอย่างแน่นอนอยู่แล้วคือความสบายใจ ความตื้นตันใจที่ได้ช่วยเหลือคนใกล้ตัว แม้เขาจะไม่ใช่ญาติแท้ๆ แต่เป็นคนที่เราอยู่ใกล้ชิด ได้เห็นความทุกข์ยากลำบากของเขา เมื่อช่วยได้ก็สมควรช่วย สำหรับปู บาปและบุญอยู่ที่ตัวเรา อยู่ที่จิตของเรา ไม่จำเป็นว่าจะต้องไปวัดปฏิบัติธรรมเท่านั้นถึงจะได้บุญ ถ้าฟังเทปธรรมะแล้วสุขใจ บุญก็เกิดแล้ว

ที่สำคัญ ไม่ต้องไปถามหมอดูที่ไหนหรอกว่าเมื่อไรถึงจะรวย ทำอย่างไรคนถึงจะรัก เพราะทั้งหมดนี้อยู่ที่ตัวคุณเองนั่นแหละ จริงไหมล่ะคะ

นอกจากไม่ชอบคนที่ชอบทำอะไรตามกระแสแล้วปูยังไม่ชอบคนที่ทำบุญเอาหน้า บางคนญาติพี่น้องไม่มีจะกินอยู่แล้วไม่เคยช่วย แต่นำเงินไปสร้างโบสถ์สร้างวัดเอาหน้า

 

Secret Box

แง่คิดดีๆ ในการใช้ชีวิตของคุณปู – ยุวดี เรืองฉาย • ไม่ต้องเข้าวัดปฏิบัติธรรมก็ทำบุญได้ ด้วยการให้ความช่วยเหลือคนใกล้ตัว เช่น ให้คำแนะนำดีๆ ที่ทำให้เขาสบายใจ


จาก http://www.secret-thai.com/article/4354/yuwadee1/

http://www.secret-thai.com/article/4361/yuwadee2/
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...