13.พระอรหันต์วัตจารย์โตสุโข(วัชรบุตร) ถือไม้เท้า – ปฏิจจสมุปบาท“ถือไม้เท้า – ปฏิจจสมุปบาท
ธุดงค์นักบุญชี้ทางสัจจธรรม”พระอรหันต์ ถือไม้เท้า มีห่วงกลม 12 ห่วง มีความหมายเป็นปริศนาธรรม คือ
ไม้เท้าอันนี้ใช้จาริก
ไปที่ไหน ๆ ตามถนนหนทาง เพื่อป้องกันการกระทบกับคน หรือกระทบสัตว์ ท่านใช้ไม้เท้านั้นจับสั่นมีเสียง ห่วง12 อันทำด้วยทองเหลือง เวลาสั่นกระทบเกิดเสียงดัง กริ่ง กริ่ง กริ่ง
ผู้ฟังก็จะรู้ว่า มีพระเดินมาแล้ว ท่านขอทางโดยไม่ต้องใช้เสียงพูด
เป็นความฉลาดของอริยะครูโบราณอย่างหนึ่งห่วง 12 อันนั้น ครูบาแห่งนิกายเซ็น(ฌาน) ท่านอธิบายสอนศิษย์ เป็นการเทศนาธรรม
“ปฏิจจสมุปบาท” ไปด้วย
ในวันหนึ่ง ๆ เราจะวนเวียน จิตต้องเกิดดับผ่านไป ๆ เป็นปฏิจจสมุปบาทที่ไม่จบ ถ้าใครมีสติปัญญาธรรมจักษุ ดับ 12 วงนี้ได้หมด ผู้นั้นชนะโลก หลุดพ้นทุกข์กายใจในวัฎสงสารแน่นอนปฏิจจสมุปบาท 12 ได้แก่
อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรามรณะ
โดย ธ. ธีรทาส(ธีระ วงศ์โพธิ์พระ)
14.พระอรหันต์ปัตยะ(ปันถก) จับดวงแก้ว – ขี่สิงโต เป็นปริศนาสอนธรรมะ“โลภะ-โทสะ-โมหะ ร้านดังสิงโต
ปราบด้วย –ศีล –สมาธิ –ปัญญา
จิต –สงบเย็น –มองดูโลกว่าง
เหมือนพบดวงแก้ว – คือพุทธะ”เป็นปริศนาสอนธรรมะอย่างหนึ่ง ว่าปุถุชนคนโลกีย์ ในวันหนึ่ง ๆมักจะปล่อยให้จิตเกิดแต่
“โลภะ-โทสะ-โมหะ” ต่าง ๆ
ถ้าเขารู้แจ้งสัจธรรมดีแล้ว จะเห็นว่ามันร้ายกว่าสิงโต ที่กินสัตว์กัดคน
วิธีแก้
ต้องพยายามศึกษาธรรมให้รู้แจ้งทางอนุสัยจิตใจ คือ”เจริญศีล-เจริญสมาธิ-เจริญวิปัสสนาปัญญา” มีทางเดียวนี้เท่านั้น ถึงแม้ยังไม่หลุดพ้น แต่เป็นบุญกุศลบารมี ประทับจิตถ้ามีศีลเกิดขึ้นเพียง 50% โลภะก็จะเริ่มหมดไป 50%
ถ้ามีสมาธิเกิดขึ้นเพียง 50% โทสะก็จะเริ่มหมดไป 50%
ถ้ามีสติปัญญาเกิดขึ้นเพียง 50% โมหะก็จะเริ่มหมดไป 50%
เมื่อ
ศีล สมาธิ และ ปัญญา เข้ามาแทนที่ คือ สังสารวัฏ กับ นิพพาน อยู่ที่เดียวกันนั่นเอง
จะมองดูโลกว่าง เป็นของว่าง
เป็นความว่าง ได้มากเท่านั้น ทุกข์กายทรมานใจก็จะดับลงได้เท่านั้นเมื่อพบธรรมแล้ว ก็เหมือนดับในภาพ
พระอรหันต์ถือดวงแก้ว พบ ดวงแก้วสารพัดนึก คือ พุทธะ
เท่ากับจับสิงโตร้ายนั้นได้แล้ว เอามาขี่เล่นได้
โดย ธ. ธีรทาส(ธีระ วงศ์โพธิ์พระ)
15.พระอรหันต์ลาขานะ (นาคเสน) ถือไม้เกากิเลสฯ เป็นปริศนาสอธรรมะ“ถือไม้เกากิเลสฯ
เกากิเลสตัณหาอุปาทาน
ของสรรพสัตว์ให้หมดไป”เป็นปริศนาสอนธรรมะ คือคติธรรมเตือนไว้ว่า
“กิเลส – ตัณหา –อุปาทาน” ของมนุษย์สะสมไว้มากเกินไปนักไม่ได้ จะอันตราย
ต้องหมั่นเกาเหมือนโรคคัน โรคผิวหนังที่คัน ต้องหากรรมวิธีรักษา ควบคุมมันหรือเกาทิ้ง ๆ ไป ชีวิตถึงจะปลอดภัยบ้าง
ปุถุชนคนโลกีย์ ถ้าถือศีล 5 ได้บ้าง ก็เท่ากับเริ่มเกาพิษภัย เกาบาปก่อเวรกรรมให้ลดน้อยลงไปได้
ตั้ง 5 อย่างแล้ว กุศลผลบุญอย่างนี้ จะสนองตอบในชาตินี้ ทางฝ่ายจิต มีคุณธรรมทางใจสูง วิญญาณก็มีบุญสูง เวลาจะตายมักสงบดี วิญญาณขณะดับจิต ไม่หวาดกลัวภัยต่าง ๆ ทางวิญญาณศาสตร์กล่าวไว้อีกว่า “ชนกกรรม”จะนำดวงวิญญาณของผู้ถือศีล 5 ไปทางสูงก่อน ไปเกิดในภพภูมิที่ดีก่อนโดย ธ. ธีรทาส(ธีระ วงศ์โพธิ์พระ)
16. พระอรหันต์วัตนะจุ (วันวาสี) ถือพระคัมภีร์ เป็นปริศนาสอนธรรมะ“ถือพระคัมภีร์ พระไตรปิฎก
ให้การศึกษาธรรมะต่าง ๆ”เป็นปริศนาสอนชาวพุทธว่า เกิดมนุษย์หมั่นพัฒนาวิญญาณให้สูงไว้ก่อน แสวงหาว่าสิ่งใดเป็นบุญ สิ่งใดเป็นกุศลที่ถูกต้องสัจธรรม
นักศึกษาธรรมจะต้องมีใจกว้าง ศึกษาพระคัมภีร์ธรรมต่าง ๆของทุกลัทธินิกาย เอาแต่
คุณประโยชน์ในธรรมเป็นอุดมคติ มีจิตใจกว้างขวางหนักแน่น
ในการบำเพ็ญบารมี มีวิญญาณอิสระ ถือธรรมาธิปไตย ไม่มีทิฐิอาจารย์ ไม่มีทิฐินิกาย
ไม่มีทิฐิพระคัมภีร์ เพื่อให้ได้ความรู้ มีสติปัญญาธรรมจักษุ ของ พระสัมมาสัมมาพุทธเจ้า ทุก ๆ พระองค์เป็นเป้าหมาย จะได้ตรัสรู้แจ้งอนุสัยจิตเดิมของตนเอง มีสติปัญญาและปฏิภาณไหวพริบกว้างขวาง เอาไว้สอนธรรมทานโปรดสรรพสัตว์ในทั้ง 6 ภูมิโดย ธ. ธีรทาส(ธีระ วงศ์โพธิ์พระ)
17.พระอรหันต์กุจะปักยะขะ (จูฑะปันถก) ถือขันข้าวเมตตาเลี้ยงนก เป็นปริศนาสอนธรรมะ“เลี้ยงนกให้อิสระ – ไม่กักขังสัตว์
มีเมตตากรุณา (พรหมวิหาร 4 )“เป็นปริศนาธรรมะให้รู้เรื่อง
พรหมวิหาร 4 ประการ (เมตตา – กรุณา –มุทิตา – อุเบกขา) ท่านเทศนาสอนไว้ว่า การทีจะช่วยปล่อยชีวิตสัตว์เอาบุญนั้นจะต้องมีสติปัญญามองดูว่า สัตว์มันมีที่ไปไหม
มีที่อาศัยชีวิตอยู่รอดไหม เช่นปล่อยปลาดูน้ำว่าอาศัยอยู่รอดได้ไหม ปลาน้ำจืดปล่อยที่น้ำเค็มปลา
ก็ตายหมด เป็นการทำบาปกรรม จะปล่อยนกดูป่ามีที่พักพิงไหม ค่อยปล่อยไปจึงเป็นบุญ
เลี้ยงสัตว์ต้องด้วยความเมตตากรุณาจิตจริง ๆต้องไม่ไปดักจับสัตว์ ไม่กักขังสัตว์ไว้ดูเล่น
ซึ่งเป็นการทรมานจิตใจสัตว์ เป็นบาปกรรม ต้องให้สิทธิเสรีแก่ชีวิตสัตว์ ไม่ทรมานสัตว์โลก
จึงจะเป็นบุญ มีเมตตากรุณาจริง ๆ
เมื่อปล่อยชีวิตสัตว์ ต้องไม่ฆ่าสัตว์ ไม่กินเนื้อสัตว์ เป็นการผูกมิตรปลูกบุญสัมพันธ์กับสัตว์ทั้งหลายไปอีกทุกชาติโดย ธ. ธีรทาส(ธีระ วงศ์โพธิ์พระ)
18.พระอรหันต์ปักถะโล (ปิณโฑล) ขี่เสือร้าย เป็นปริศนาสอนธรรมะ
“ปุถุชนอนุสัยที่ชั่วร้ายดังเสือ
ต้องเอาธรรมะกำราบให้สงบ
จนรู้แจ้งอนุสัยเดิม – จิตสว่างไสว”เป็นปริศนาสอนธรรมะ ท่านเทศนาไว้ว่า
จิตของปุถุชนคนโลกีย์เหมือนดัง “มังกร”
อนุสัยของคนเหมือนดัง “เสือ” ปุถุชนคนโลกีย์ในวันหนึ่ง ๆ มีปล่อยให้จิตเกิดดับ
“จิตเกิดและจิตดับ” เป็นอัตตา เป็นตัวตน ถ้าไม่ควบคุมจิตให้ถูกทางไว้จะมีพิษภัย คือมันมีฤทธิ์เดช
เหมือนดังงูใหญ่ งูที่มีพิษจะเล่นงานเราในภายหลังได้ จิตเกิดดับเอาแต่คิดเรื่องต่าง ๆมากเกินไป
ร่างกายรับไม่ไหว เช้าคิด เที่ยงคิด เย็นก็คิดกลางคืนก็คิด ๆๆ ไม่มีวันหยุดจนนอนไม่หลับมึนงงจนปวดหัว
อริยะครูบาท่านเปรียบเทียบเหมือนดังตัวมังกรมันดิ้นได้ มังกรมีฤทธิ์เดชพอนาน ๆไปจนเคยชิน
ภาษาธรรมะเรียกว่า เป็น อนุสัย(ปึ้งแส่)กรรมวิธีแก้ต้องใช้ธรรมะกำราบจนจิตสงบ จนรู้แจ้งทางอนุสัยเดิมของตน จิตสว่างไสว แล้ว มังกรร้ายนั้นจะหมดฤทธิ์เดชเอง หรือ เสือร้ายจะสงบลง เชื่องลงเอง จนเอามาขี่เล่นได้ นั่นคือการควบคุมอารมณ์ตนได้ คุมระบบประสาทตนได้ จิตว่างได้มาก โดย ธ. ธีรทาส(ธีระ วงศ์โพธิ์พระ)
จาก
https://www.facebook.com/media/set/?set=a.144527555730673.1073741835.118429868340442&type=3http://www.sookjai.com/index.php?topic=180424