ผู้เขียน หัวข้อ: ไซอิ๋ว (ฉบับเดินทางสู่พุทธภาวะ) : เมตตา ของ อวิชชา  (อ่าน 2120 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 3 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด


เมตตาของอวิชชา

ลุถึงเดือนหกย่างเข้าเดือนเจ็ด สองข้างทางไปไซทีที่มีดอกไม้บานสะพรั่ง อาจารย์และสานุศิษย์รอนแรมมาถึงดงสนร่มรื่นประหลาดที่ไม่เคยพบมาก่อน พระถังซัมจั๋งจึงขอนั่งพักผ่อน ฝ่ายเห้งเจียนั้นพิเคราะห์ดูเห็นว่าที่ดงสนเป็นที่มีรัศมีรุ่งเรือง แต่ครู่เดียวที่กลางดงสนก็มีควันดำพุ่งขึ้นมา โป้ยก่ายและซัวเจ๋งหาได้ทันสังเกตเห็นไม่ เพราะมัวเพลินเก็บดอกไม้ ผลไม้อยู่
 
ปีศาจตี้ย้งฮูหยิน (เมตตาของอวิชชา) หรือปั๊วเจี๊ยดกวนอิม (กวนอิมผ่าซีก) ซึ่งเป็นปีศาจหนูเผือกเฝ้าดูพระถังซัมจั๋งนั่งพักผ่อน ในดงสนอยู่ ครั้นเห็นพระถังซัมจั๋งนั่งอยู่ลำพังคนเดียว มันจึงแปลงกายเป็นหญิงสาวถูกจับมัดมือห้อยอยู่บนต้นไม้สูง ปากก็ร้องอ้อนวอนให้พระถังซัมจั๋งช่วย พระถังซัมจั๋งร้องเรียกให้โป้ยก่ายขึ้นไปช่วยเหลือ มิไยที่เห้งเจียผู้มาทันเหตุการณ์จะคัดค้านว่ามันเป็นปีศาจ พระถังซัมจั๋งกับโป้ยก่ายหาเชื่อฟังไม่ ฝ่ายปีศาจตี้ย้งฮูหยินถูกปลดลงจากต้นไม้แล้วขอติดตามร่วมทางไปด้วย พระถังซัมจั๋งรู้สึกเมตตาสงสารหญิงสาว ไม่มีญาติผู้นี้ จึงอนุเคราะห์ให้เป็นศิษย์ติดตามคณะไปด้วย
 
ศิษย์และอาจารย์รอนแรมมาถึงวัดหนึ่งชื่อ ติ๊นไฮ้เสียนลิ่มยี่ (โยนิโส มนสิการ) ที่มีกำแพงล้อมรอบ ๔ ชั้น นอกกำแพงนั้นมีโจรผู้ร้ายชุกชุม เที่ยวปล้นสะดมอื้ออึงอยู่ ชั้นที่หนึ่งมีหอกลอง (เฝ้าดูการกระตุ้นด้านใน) ชั้นที่สองมีหอระฆัง (เฝ้าดูการกระตุ้นในขณะที่ยังมี วิตก วิจาร เป็นวจีสังขาร) และในชั้นที่สามนั้นมีเต้าหยิน (เฝ้าดูการกระตุ้นในขณะวิตก วิจาร ระงับสิ้นแล้ว) ชั้นที่สี่ ซึ่งเป็นชั้นในสุดของอารามติ้นไฮ้เสียนลิมยี่นี้มี พระภิกษุชื่อพิเบ๊จง (เฝ้าดูการกระตุ้นอายตนะ) จึงได้รับการต้อนรับอย่างดี
 
คืนแรกของการค้างคืนที่อารามนี้หามีเหตุการณ์อะไรไม่ ครั้นล่วงมาคืนที่สอง ในตอนดึกพระถังซัมจั๋งลุกขึ้นร้องไห้คร่ำครวญและหมดขันติที่จะไปไซที เพื่ออาราธนาพระไตรปิฎก ทั้งนี้เพราะฤทธิ์ของปีศาจตี้ย้งฮู้หยิน ที่พักแรมอยู่ด้วยกันนั่นเอง
 
ฝ่ายเห้งเจียเห็นดังนั้นเข้าปลอบประโลมอาจารย์ให้อุ่นใจว่าไม่เท่าไร ไข้จะหายไปเอง ส่วนเห้งเจียเองยังหาทราบสมุฏฐานของอาการไข้ของพระถังซัมจั๋งไม่ได้ ครั้นใกล้สว่างนางปีศาจออกไปชักชวนสามเณรผู้ตื่น ขึ้นตีระฆังไปร่วมอภิรมย์ด้วย แล้วจับสามเณรกินเป็นอาหาร เป็นอย่างนี้ ทุกคืนจนภิกษุสามเณรในวัดหายไปอย่างไม่มีร่องรอย
 
เห้งเจียเมื่อทราบความดังนี้แล้ว แปลงกายเป็นสามเณรน้อยตื่นแต่ดึกไปตีระฆัง นางปีศาจเข้ามาชักชวนไปร่วมอภิรมย์ด้วย พอเห้งเจียเผลอตัว นางปีศาจขัดขาเห้งเจียล้มลง มันกระโดดเข้าปลุกปล้ำเห้งเจีย หวังจะเอาน้ำสัมภาวะไปเป็นน้ำกระสายยาอย่างเช่นแต่ก่อนมา เห้งเจียจึงกระชากตะบอง วิเศษออกมาสู้รบกับนางปีศาจ
 
ตี้ย้งฮูหยินสู้เห้งเจียไม่ได้ถอดร่างหลอกให้เห้งเจียสู้รบ ส่วนตัวมันเองบันดาลเป็นสายลมหอบพระถังซัมจั๋งที่กำลังหลับไปซ่อนไว้ที่ถ้ำโป๊เต๊ยต๋อง ภูเขาฮั้มถังซัว แล้วให้สมุนปีศาจเตรียมจัดงานวิวาห์บังคับจะข่มขืนพระถังซัมจั๋ง
 
ฝ่ายเห้งเจียพอตีซากปีศาจล้มลง รู้สึกว่าถูกกลลวง วิ่งไปดูอาจารย์ในห้องเห็นหายไปรู้ได้ว่า โป้ยก่าย ซัวเจ๋ง ไม่ทำหน้าที่รักษาพระอาจารย์ จึงโกรธจัดร้องด่า ซัวเจ๋งจึงท้วงเห้งเจียว่า “พี่อย่าด่าเราทั้งสองเลยหากขาด โป้ยก่ายและฉันแล้วแม้เพียงจะสนเข็มปักลายสักเส้นเดียว ย่อมหาทำได้ไม่ และขาดเราทั้งสองแล้วใครจะจูงม้าหาบของให้เล่า”
 
เห้งเจียนึกได้จึงขอโทษขอโพย แล้วสามพี่น้องพร้อมทั้งม้าขาวออกติดตามพระถังซัมจั๋ง เห้งเจียแผลงฤทธิ์เรียกพระภูมิเจ้าที่มาสอบถามถึง ถ้ำปีศาจแล้วออกติดตามไปจนพบปากถ้ำ ครั้นพิจารณาดูแล้วเห็นผิดปกติ ไม่เคยพบปากถ้ำเช่นนี้มาก่อน กล่าวคือปากทางแคบ และลึกสุดหยั่ง จึงให้โป้ยก่าย ซัวเจ๋ง ซุ่มเฝ้าที่ปากทาง เห้งเจียก็แปลงเป็นแมลงวันหัวเขียว บินลงไปจนถึงห้องฉลองวิวาห์ของนางปีศาจ เห้งเจียบินเข้าไปจับที่ใบหู แล้วบินซุกเข้าไปในฟองสุราของนางปีศาจ หวังจะเข้าไปบิดพุงกระทุ้งปอด ฝ่ายนางปีศาจตาไวเห็นแมลงวันหัวเขียวเอานิ้วเขี่ยทิ้งเสีย เห้งเจียเดือดดาล ที่ทำการไม่สำเร็จแปลงร่างกลับคืน แล้วกระชากตะบองวิเศษออกมาสู้รบกับปีศาจ ถูกปีศาจรุกไล่พ่ายหนีวิ่งกลับขึ้นมาทางเก่า
 
เห้งเจียหวนกลับลงไปในรูลึกถึงบาดาลนั้นใหม่ แปลงกายเป็นแมลงหวี่ ไปกระซิบความให้พระถังซัมจั๋งชวนปีศาจลงไปชมสวน แล้วเห้งเจียแปลงเป็นผลชมพู่สุก พระถังซัมจั๋งแสร้งทำเป็นรักนางปีศาจเด็ดชมพู่ ป้อนให้กันและกัน ครั้นเห้งเจียตกถึงท้องปีศาจ เริ่มกระทุ้งดี ตีม้าม จนนางปีศาจยอมแพ้ เห้งเจียบังคับให้มันแบกพระถังซัมจั๋งขึ้นบ่าเหาะขึ้นมาตามปล่องถ้ำ จนขึ้นสู่พื้นดิน พอเห้งเจียกระโดดออกจากปากนางปีศาจกลับหักหลังหอบ รวบพระถังซัมจั๋งมุดลงบาดาลไปอีก
 
เห้งเจียกระโดดไล่ลงไปตามปล่องเที่ยวค้นหาตัวพระถังซัมจั๋งใต้บาดาลโกลาหล จนหลงเข้าไปในห้องบูชาของนางปีศาจๆ นางแอบบูชา ถักทะลีทีอ๋อง(กุศล = ความดีงาม)ว่าเป็นบิดาของตน เพราะมีรูปสลักไว้กราบไหว้ เห้งเจียดีใจนักหนา ขึ้นจากปล่องบาดาลเหาะทะยานขึ้นไปหาถักทะลีทีอ๋อง (กุศล = ความดีงาม) และโลเฉีย (เจตสิก = ธรรมปรุงแต่งประกอบจิต) สองพ่อลูกยกกองทัพเทพบุตรลงมายังปากปล่องถ้ำเพื่อปราบนางปีศาจตัวฉกาจ
 
 
เห้งเจีย (ปัญญา = การหยั่งรู้ในเหตุและผลของความดี ความชั่ว) กับโลเฉีย (เจตสิก = ธรรมปรุงแต่งประกอบจิต)กระโจนลงไปในปล่องถ้ำจนถึงบาดาลทันท่วงที ในขณะที่นางปีศาจตี้ย้งฮูหยิน (เมตตาของอวิชชา) กำลังจะข่มขืนพระถังซัมจั๋ง (ขันติ = ความอดทนเพื่อบรรลุถึงสิ่งดีงาม) อยู่
 
เมื่อนางปีศาจตี้ย้งฮูหยิน(เมตตาของอวิชชา) เหลือบเห็นหน้าโลเฉีย (เจตสิก = ธรรมปรุงแต่งประกอบจิต) ให้หมดเรี่ยวแรงสิ้นฤทธิ์กลับ ร่างกลายเป็นหนูเผือก เห้งเจียจึงแบกพระถังซัมจั๋งหนี โลเฉียลากนางหนูเผือกขึ้นจากปล่องถ้ำ ถักทะลีทีอ๋องกับโลเฉียและกองทัพก็คุมตัวนาง หนูเผือกกลับไปสวรรค์ พระถังซัมจั๋งและศิษย์พร้อมหน้ากันแล้วออกเดินทางมุ่งทิศปราจีนต่อไป
 
 
 

(เมื่อได้ผ่านโลกียะ เข้าสู่เขตโลกุตระ มรรคทั้ง ๗ ในทางสัมมาทิฏฐิ ก็เกิดขึ้น คือ
 
๑.ซึงหงอคงที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ คือ มิจฉาปัญญา กลายเป็นเห้งเจีย ทดใช้ในทางสัมมาทิฏฐิ คือ สัมมาปัญญา = ความเห็นชอบ
 
๒.อั้งฮั้ยยี้สมัยเป็นมิจฉาสังกัปปะ เป็นเสียนใช้ทงจื้อทดใช้ใน ทางสัมมาทิฏฐิ คือ สัมมาสังกัปปะ = ดำริชอบ
 
๓.อึ้งฮองไต้อ๋อง ปีศาจหนูปากพ่นไฟ มิจฉาวาจาทดใช้ในทางสัมมาทิฏฐิ เป็นสัมมาวาจา = วาจาชอบ
 
๔.เอ็กฮองไต้อ๋อง ปีศาจหมีดำ มิจฉากัมมันตะ กลับมารับใช้ผู้อื่น ในลักษณะปิดทองหลังพระ เป็นสัมมากัมมันโต = การงานชอบ
 
๕.ปีศาจเฒ่าเชียงก๊ก(กวางขาว) มิจฉาอาชีโว เมื่อไม่มีใจที่ต้องการกิเลส เป็นสัมมาอาชีโว = อาชีพชอบ
 
๖.ตาเฒ่าแซ่ตั๊น ๒ คนกับ ลูก ๒ คนแห่งหมู่บ้านตั๊นแกจึง ริมแม่น้ำทงทีฮ้อ มิจฉาวายามะ เป็นสัมมาวายามะ = ความเพียรชอบ
 
๗.ปีศาจแป๊ะงั้นหม้อกุน (ท้าวพันตา) มิจฉาสติ เป็นสัมมาสติ = สติชอบ
 
เมื่อมีมรรคทั้ง ๗ องค์ เป็นสัมมาทิฏฐิครบแล้ว มรรคองค์ที่ ๘ ก็จะมีมาเอง คือ สัมมาสมาธิ = สมาธิชอบ เมื่อมีสมาธิชอบ ความสงบรำงับ ความร่มรื่นดุจดงสนจึงเกิดขึ้น แต่ยังจะมีความสุขที่แฝงด้วยกิเลสเกิดขึ้น ด้วยมีเมตตาของอวิชชา
 
ดังเช่นแม่รักลูก ลูกรักแม่ ศิษย์รักอาจารย์ เป็นเมตตาที่ยังจมอยู่ในสังสารวัฏ ไม่ใช่เมตตาอย่างผู้มีปัญญา ที่สงเคราะห์กันและกันให้ออกจาก วัฏฏะสงสาร จึงควรมีการเพ่งพิจารณามโนกรรมที่ถูกต้อง คือ โยนิโส มนสิการ ด้วยการ เพ่งดูเข้าไปข้างในจิต ซึ่งมีด้วยกัน ๔ ชั้น
 
๑. ปรฺวรฺตกฺก มนสฺการ เฝ้าดูการกระตุ้นในใจ มโนนิเวศน์
 
๒. วิจฺฉินฺนปรฺวรฺตกฺก มนสฺการ เฝ้าดูการกระตุ้นในขณะที่ยังมี วิตก วิจาร อันเป็นวจีสังขาร
 
๓. อวิจฺฉินฺน ปรฺวรฺตกฺก มนสฺการ เฝ้าดูการกระตุ้นในขณะ วิตก วิจาร ระงับสิ้นแล้ว
 
๔.อายตนปรฺวรฺตกฺก มนสฺการ เฝ้าดูการกระตุ้นของอายตนะ คือ ชั้นประณีตที่สุด เพื่อการเกิดดับของ มนายตนะ)


จาก http://www.khuncharn.com/skills?start=28

อีกอัน ไซอิ๋ว ฉบับ อาจารย์ เขมานันทะ http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=maekai&month=10-07-2008&group=15&gblog=1
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...