กิเลสแห่งความเป็นอาจารย์ คือ มานะ ๙ (สกทาคามี)พระถังซัมจั๋งและสานุศิษย์ออกเดินทางไปตามทางอันร่มรื่นสวยงาม ก็บรรลุถึงเมืองเง็กฮัวจิ้ว ซึ่งพระเจ้าแผ่นดินทรงเป็นพระญาติกับกุ้นเฮา ผู้สำเร็จราชการเมืองฮ่องเซียนกุน พระราชาทรงมีพระโอรส ๓ พระองค์ พระองค์โตมีอาวุธวิเศษคือตะบอง พระองค์กลางมีคราด ๙ ซี่ และ พระองค์เล็กมีแผ่นป้ายดำเป็นอาวุธ
พระถังซัมจั๋งและศิษย์เข้าเฝ้าพระราชา แล้วได้รับการต้อนรับ ความสะดวกในการประทับตราผ่านแดนเป็นอย่างดี หากแต่ว่าพระราชโอรส ทั้ง ๓ เกิดระแวงเห้งเจีย โป้ยก่าย ซัวเจ๋ง ว่าเป็นปีศาจปลอมแปลงมา และอาจจะทำอันตรายแก่พระราชบิดา จึงได้ร้องท้าทายและสู้รบกันตัวต่อตัว ตามลำดับอาวุโส เห้งเจียรบกับพระราชโอรสองค์โต ต่างมีตะบองวิเศษด้วยกันทั้งคู่ โป้ยก่ายรบกับองค์กลางต่างมีคราด ๙ ซี่ และซัวเจ๋งรบกับองค์เล็กต่างมีป้ายดำด้วยกัน ทั้งหกเหาะขึ้นรบกันกลางอากาศเกิดแสงสว่างรัศมีอยู่วูบวาบ
เห้งเจีย โป้ยก่าย ซัวเจ๋ง ต่างสำแดงฤทธิ์ของอาวุธวิเศษให้พระราชโอรสทั้ง ๓ ถึงกับพ่ายแพ้ และยอมคุกเข่าลงคำนับฝากตัวเป็นศิษย์ เห้งเจีย โป้ยก่าย ซัวเจ๋งเลยวาดลวดลายร่ายรำเพลงอาวุธอวดศิษย์ทั้ง ๓ จนสุดฝีมือ เป็นเหตุให้พระราชโอรสทั้ง ๓ ใคร่จะได้อาวุธวิเศษไว้เป็นคู่มือ แต่ทั้งสามไม่อาจยกอาวุธเหล่านั้นได้ เพราะน้ำหนักมาก เห้งเจีย โป้ยก่าย ซัวเจ๋ง จึงคิดจะให้ช่างจำลองอาวุธวิเศษทั้ง ๓ ไว้ให้แก่พระราชโอรส ซึ่งพระราชาทรงรับสั่งขอยืมอาวุธวิเศษทั้ง ๓ เพื่อให้เป็นตัวอย่างแก่ช่าง ทำให้เห้งเจีย โป้ยก่าย ซัวเจ๋ง ก็อยู่โดยปราศจากอาวุธในช่วงเวลาหนึ่ง
กล่าวถึง ซึงอึ๊งไซปีศาจสิงห์ขนสีทองแห่งสำนักถ้ำเฮ้าเถ้าต๋อง ภูเขาเป๊าเถ้าซัวมองดูมาในเมืองจากปากถ้ำของตนในเวลากลางคืนแลเห็น รัศมีเรืองประหลาด อันเกิดจากอำนาจอาวุธวิเศษทั้ง ๓ ของสามพี่น้อง ศิษย์พระถังซัมจั๋งที่วางอยู่ในโรงงานของช่างอาวุธ ปีศาจซึ้งอึ๊งไซจึงเหาะไปขโมยอาวุธวิเศษทั้ง ๓ มาเก็บไว้ในถ้ำแล้วเขียนจดหมายไปเชิญ เกาเล่งง่วนเซี้ยผู้เป็นปู่มาเลี้ยงฉลองอาวุธวิเศษที่ตนขโมยมา
ฝ่ายเห้งเจีย โป้ยก่าย ซัวเจ๋ง ครั้นทราบว่าอาวุธวิเศษของตนหายไปจากโรงหล่ออาวุธ เที่ยวค้นหาอยู่โกลาหล เห้งเจียกำหนดรู้ว่าเป็นปีศาจที่อยู่ ถ้ำใกล้เมืองนี้เองเป็นผู้ขโมย จึงชวนโป้ยก่ายและซัวเจ๋งแปลงกายเป็นสมุนปีศาจแอบเข้าไปในถ้ำเฮ้าเถ้าต๋อง เข้าค้นหาอาวุธจนพบแล้วโดดเข้าฆ่า สมุนปีศาจใหญ่น้อยตายสิ้น ทั้งเอาไฟเผาครอกเสียทั้งถ้ำ แต่ปีศาจซึงอึ๊งไซ หรืออึ๊งม้อกิมไซหนีออกจากถ้ำทัน มันจึงเหาะลิ่วไปยังภูเขาเต๊กเจี๊ยดซัว ถ้ำเค้กปั้วฮ่วนต๋องอันเป็นที่อยู่ของปู่เจ้าเก๊าเล่งง่วนเซี้ย (มังกร๙หัว) แล้วรายงานให้ทราบว่าพ่ายแพ้แก่สามพี่น้องมา
ปู่เจ้าเก๊าเล่งง่วนเซี้ย (มานะ ๙) รู้เรื่องแล้วจึงหัวเราะแล้วกล่าวขึ้น กับปีศาจซึงอึ๊งไซว่า “เห้งเจียโป้ยก่ายซัวเจ๋งนั้น หาใช่ใครอื่นไม่ ที่แท้ทั้งสาม คือหลานของปู่เอง และเป็นญาติกันกับซึงอึ๊งไซด้วย” กล่าวดังนั้นแล้ว ปู่เจ้าเก๊าเล่งง่วนเซี้ย (มังกร ๙ หัว) ให้ระดมกองทัพปีศาจสิงห์ทั้งหมด ยกขบวนไปเมืองเง็กฮัวจิ้วเพื่อปราบเห้งเจียโป้ยก่าย และซัวเจ๋ง
กองทัพสิงห์นำโดยปู่เจ้าเก๊าเล่งง่วนเซี้ย ปะทะกันกับสามพี่น้องกลางอากาศ สู้รบกันโกลาหลอลหม่าน โป้ยก่ายเสียทีแก่ปีศาจสิงห์ถูกจับตัวไว้ได้ ฝ่ายเห้งเจียจับปีศาจได้เช่นกัน ผลัดกันรุกผลัดกันรับจนในที่สุด ปู่เจ้าเก๊าเล่งง่วนเซี้ยอ้าปากมหึมาขึ้นคาบองค์พระถังซัมจั๋ง พระราชา ราชบุตรทั้ง ๓ และ โป้ยก่ายได้ แล้วพาไปขังไว้ที่ถ้ำสำนักของตน
จากนั้นกลับมาสู้รบกับเห้งเจียใหม่ ระหว่างนั้นเห้งเจียฆ่าปีศาจซึงอึ๊งไซตาย ปู่เจ้าเก๊าเล่งง่วนเซี้ยจึงคาบเอาเห้งเจีย และซัวเจ๋งพากลับไปยังถ้ำสำนัก
ครั้นแล้วปู่เจ้าเก๊าเล่งง่วนเซี้ย สั่งสมุนปีศาจเอากิ่งสนมาเฆี่ยนเห้งเจียให้เข็ดหลาบ เฆี่ยนตีเท่าใดเห้งเจียหาระคายผิวไม่ ตกกลางคืนเห้งเจีย หนีเล็ดลอดออกมาจากถ้ำได้ เมื่อออกมาได้เห็นว่าตนคงสู้มังกร ๙เศียร (มานะ๙)ไม่ได้เพราะมีฤทธิ์ร้ายกาจมาก คิดได้ดังนั้นเห็นว่าจำต้อง เหาะขึ้นสู่สวรรค์ชั้นพรหมไปหาท่านอิ๊กกิ๊วเค้าทีจุนผู้เป็นเจ้าของมังกร ๙ เศียร
ท่านพรหมอิ๊กกิ๊วทีจุนเหาะลงมายังโลกมนุษย์แล้วจับมังกร ๙ เศียร ที่แปลงเป็นปีศาจปู่เจ้าเก๊าเล่งขึ้นสู่พรหมโลก ก่อนขึ้นไปบอกกับเห้งเจียว่า “เพราะอุตริเป็นอาจารย์สอนเขา มังกรจึงโผล่ออกมาจากกลางฝ่ามือแล้ว กลายเป็นปีศาจ”
เห้งเจียเข้าแก้ไขพระถังซัมจั๋งรวมทั้งพระราชาและพระราชโอรส ได้แล้วจุดไฟเผาถ้ำปีศาจเสียสิ้น จากนั้นเห้งเจียพาทุกคนกลับเมืองทางอากาศ ส่วนอาวุธทั้ง ๓ ของเห้งเจีย โป้ยก่าย ซัวเจ๋ง ถูกจำลองแบบเสร็จแล้ว ทั้ง ๓ ช่วยฝึกสอนเพลงอาวุธแก่พระราชโอรสทั้ง ๓ จนเชี่ยวชาญ อาวุธจำลองนั้นได้สัดส่วนและน้ำหนักแก่พระราชบุตรทั้ง ๓ สามารถใช้เพื่อที่จะรักษาเมืองต่อไป
พระถังซัมจั๋งได้หนังสือเดินทางแล้วชวนสานุศิษย์ถวายบังคมพระราชาและพระราชบุตร ออกเดินทางไปสู่วัดลุยอิมยี่สำนักพระยูไลในท่าม กลางเสียงประโคมมโหรีแซ่ซ้องสรรเสริญจากประชาชนเมืองเง็กฮัวจิ้ว
(เมื่อเริ่มเข้าเขตสกทาคามี แม้ปัญญา ศีล สมาธิ ตัดราคะ โทสะ โมหะ เบาบางลงแล้ว แต่ก็ยังไม่พ้นกิเลสที่นับว่าเป็นกิเลสชั้นพรหม และกิเลส ที่มีมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์โน่น การละสังโยชน์ในระดับนี้คือ กิเลส ของความเป็นอาจารย์ เป็นกิเลสที่อวดตนในการสอนผู้อื่นจะได้เป็น อาจารย์เพื่อให้มีคนนับถือมานะทั้ง ๙ได้แก่
๑. ตัวดีกว่าเขา แล้วสำคัญมั่นหมายว่า “กูดีกว่ามึง”
๒. ตัวดีกว่าเขา แล้วสำคัญมั่นหมายว่า “กูเสมอมึง”
๓. ตัวดีกว่าเขา แล้วสำคัญมั่นหมายว่า “กูแย่กว่ามึง”
๔. ตัวเสมอเขา แล้วสำคัญมั่นหมายว่า “กูดีกว่ามึง”
๕. ตัวเสมอเขา แล้วสำคัญมั่นหมายว่า “กูเสมอมึง”
๖. ตัวเสมอเขา แล้วสำคัญมั่นหมายว่า “กูแย่กว่ามึง”
๗. ตัวด้อยกว่าเขา แล้วสำคัญมั่นหมายว่า “กูดีกว่ามึง”
๘. ตัวด้อยกว่าเขา แล้วสำคัญมั่นหมายว่า “กูเสมอมึง”
๙. ตัวด้อยกว่าเขา แล้วสำคัญมั่นหมายว่า “กูแย่กว่ามึง”
มานะทั้ง ๙ เป็นกิเลสชั้นพรหม การละกิเลสลักษณะนี้ได้ต้องตัดขาดจากการยึดมั่นถือมั่นในตัวกูของกู ถือมั่นในตัวตนว่าเหนือกว่าผู้อื่น การทำลายมานะเช่นนี้ ต้องอาศัย ปัญญา ศีล สมาธิ ร่วมแรงกันทำให้ราคะ โทสะ โมหะ เบาบางลงไม่ถือเขาถือเรา หากทำได้แล้วนับเป็นการย่างเข้า สู่เขตแห่งความเป็นพระอริยะเจ้าในระดับสกคาทามี)จาก
http://www.khuncharn.com/skills?start=35อีกอัน ไซอิ๋ว ฉบับ อาจารย์ เขมานันทะ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=maekai&month=10-07-2008&group=15&gblog=1