ผู้เขียน หัวข้อ: ภพชาติมีจริง! เมื่อ"หลวงปู่สีทัตถ์" กลับชาติมาเกิด เป็นภิกษุรูปนี้  (อ่าน 1123 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
ภพชาติมีจริง! เมื่อ"หลวงปู่สีทัตถ์" กลับชาติมาเกิด เป็นภิกษุรูปนี้ เรื่องเล่าจาก"หลวงปู่เส็ง ปุสโส"

จากซ้ายไปขวา หลวงปู่สีทัตถ์ หลวงปู่เส็ง พระถวัลย์ โชติธัมโม



บันทึกพระอริยะคุณาธารเผยหลวงปู่สีทัตถ์เป็นนิยโตโพธิสัตว์


หลวงปู่เส็ง   

              เมื่อ พ.ศ.๒๔๗๙ ข้าพเจ้า (พระอริยคุณาธาร = เส็ง ปุสฺโส) ได้มีโอกาสติดตามเจ้าคณะมณฑลอุดร ไปตรวจการคณะฯ ทางริมฝั่งแม่น้ำโขง ในเขตจังหวัดหนองคาย ไปถึงบ้านโพนแพง อำเภอโพนพิสัย พักแรมที่วัดโพนเงิน ตรงข้ามกับพระพุทธบาทโพนสัน ในเขตประเทศลาว

               ครั้งนั้นพระอาจารย์สีทัตถ์ กำลังก่อสร้างอุโมงค์ (กะตึบ) คร่อมพระพุทธบาทอยู่ที่นั่นวันรุ่งเช้า เจ้าคณะมณฑลข้ามฟาก (แม่น้ำโขง) ไปเขตประเทศลาว ข้าพเจ้าจึงขอโอกาสสนทนากับพระอาจารย์สีทัตถ์

                 ข้าพเจ้าเพิ่งพบกันเป็นครั้งแรกในครั้งนั้น แต่ก็สนิทสนมกันง่ายดาย คล้ายกับได้รู้จักคุ้นเคยกันมานานแล้วเรื่องสำคัญที่สนทนากันในวันนั้น เป็นเรื่องเกี่ยวกับการระลึกชาติของพระอาจารย์สีทัตถ์

                  ท่านกล่าวว่า ท่านได้ฌานและอภิญญาณโลกีย์ มีความรู้ระลึกชาติในอดีตอนาคตของท่านได้ ตลอดถึงคนอื่นที่เกี่ยวข้องกันท่านกล่าวว่า ข้าพเจ้ากับท่านเคยเป็น “พ่อลูกปลูกโพธิ์” มาด้วยกัน แต่ต่างคนต่างมีกรรมเป็นของตน กรรมซัดไปติดคนละทาง คนละทิศ ห่างไกลกัน ทั้งวยายุกาลก็ห่างกันด้วย ถึงดังนั้นบุญก็ยังบันดาลให้มาประสบพบพานกันได้


ฝากไว้ให้เลี้ยงดู

               การพบกันครั้งนี้เป็นทั้งครั้งแรก และเป็นทั้งครั้งสุดท้าย (ท่านอายุ ๗๑ แล้ว) จึงขอถือโอกาสบอกเล่าเก้าสิบเรื่องที่เกี่ยวข้องกันไว้ กับขอฝากให้เลี้ยงดูท่านในเมื่อเกิดชาติหน้านั้นด้วย

              พระอาจารย์สีทัตถ์ท่านกล่าวว่า ท่านเป็นนิยโตโพธิสัตว์ ได้รับพุทธพยากรณ์แล้ว จะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลไกลโน้น และเป็นชนิด “สัทธาธิกะ” มีกำหนดสร้างบารมี ๑๖ อสงไขยกัลป์ จึงจะสำเร็จพระโพธิญาณ

(หมายเหตุ :  นิยตโพธิสัตว์ คือพระโพธิสัตว์ที่รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ย่อมเที่ยงแท้ว่าจักได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ซึ่งนิยตโพธิสัตว์นี้จะต้องประกอบด้วย ธรรมสโมธาน ๘ ประการ)

               ท่านกล่าวว่าในอดีตชาตินานมาแล้ว ท่านเคยเกิดเป็นลูกของข้าพเจ้า และในชาติหน้าในลำดับต่อไปนี้ แม้จะไม่ได้เป็นลูกเกิดแต่ในอกของข้าพเจ้า ขอแต่เป็นลูก “บุญธรรม” ขอให้ข้าพเจ้าเลี้ยงลูกปลูกโพธิ์อีกครั้ง

             ข้าพเจ้าได้ฟังแล้วก็เอะใจ ! และท่านกล่าวต่อไปว่า

              ในสมัยกึ่งพุทธกาลนั้น พระพุทธศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองกว่าที่เป็นอยู่ในเวลานี้ ข้าพเจ้าจะเป็นคนสำคัญคนหนึ่งในสมัยนั้น ท่านจะไม่ได้ทันเห็น แต่ก็ไม่เป็นไร ในสมัยนั้นได้มาเกิดใหม่เป็นลูก “บุญธรรม” ของข้าพเจ้าท่านย้ำคำนี้หลายครั้งเพื่อให้กระชับใจข้าพเจ้า แล้วท่านก็กล่าวเรื่องการเกิดใหม่ในอนาคตของท่านไว้ดังนี้


หลวงปู่สีทัตถ์



เกิดใหม่ไม่มีสกุล

             ท่านเกิดในชาติหน้าในท้องคนไม่มีสกุล พ่อผู้ให้กำเนิดไม่ปรากฏแก่คนทั้งหลาย แม่ผู้ให้กำเนิดเป็นคนพลัดถิ่น เขาจะไปคลอดบุตรในถิ่นที่ไม่มีคนรู้จัก ในหมู่บ้านชื่อว่า “บ้านสงเปลือย ตำบลพันดอน อำเภอกุมภวาปี จังหวัด อุดรธานี”

             แล้วมารดาก็จะละทิ้งบุตรหนีไป มีทุคตะผัวเมียคู่หนึ่งรับไปเลี้ยงไว้ในระยะแรก เพราะฐานะของเขาเป็นคนยากจน เลี้ยงอยู่ประมาณ ๓ เดือน ไม่สามารถจะเลี้ยงต่อไปได้

            ท่านว่า ทั้งนี้ก็เพราะเวรกรรมของท่านที่ทำลูกนกให้พลัดพรากจากแม่ของมันในอดีตชาติต่อจากนั้นจะมีผู้หญิงใจบุญคนหนึ่งเป็นหญิงม่ายไม่มีบุตร ซึ่งเคยเป็นมารดาในชาติก่อนมารับไปเลี้ยงไว้เป็นบุตรบุญธรรมหญิงคนนั้นชื่อ “สายบัว” อยู่ในหมู่บ้านสงเปลือยนั้นเอง เคยเป็นภริยาหลวงวรวุฒิมนตรี นายอำเภอ ฯ

              เมื่อเกิดในชาติหน้านั้น จะได้สัดส่วนสมทรง ความยาวของขากับลำตัวจะเท่ากัน หลังมือหลังเท้านูน ผิวขาวเหลือง สะอาดเกลี้ยงเกลาปราศจากไฝฝ้า ด้วยอำนาจบุญที่ปฏิสังขรณ์ตบแต่งและก่ออุโมงค์คร่อมพระพุทธบาท

                 แต่ใบหน้านั้นหักนิดหน่อย เพราะความใจน้อยโกรธง่าย ทำหน้าเง้าหน้างอ และจะมีเสียงก่า ๆ เพราะด้วยการกล่าวผรุสวาจา จะมีนามว่า “ถวัลย์” แต่คนมักจะเรียกเล่น ๆ กันว่า “บุญติด” แต่เมื่อได้มาอยู่กับข้าพเจ้าแล้วจะเรียงกันว่า “เซียงโมง”

         เมื่อสนทนากันไป ท่านเห็นว่าข้าพเจ้าไม่ปลงใจเชื่อสนิท ท่านจึงขออนุญาตเล่าประวัติของข้าพเจ้าในชาติปัจจุบันที่ล่วงมาแล้วให้ฟังเพื่อเป็นพยานยืนยันความรู้ที่ท่านระลึกชาติได้ ข้าพเจ้าก็อนุญาต

            ท่านได้เล่าประวัติความเป็นมาของข้าพเจ้าที่ล่วงมาแล้ว ถูกต้องตามความเป็นจริงทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนอย่างกับตาเห็นข้าพเจ้าได้ใคร่ครวญหาเหตุผลว่า ท่านรู้ได้อย่างไร (เวลานั้นข้าพเจ้าอายุ ๒๙ ปี) เข้าใจว่าท่านมีญาณชนิดหนึ่งรู้ได้จริง จึงตกลงปลงใจเชื่ออย่างสนิทและรับปากรับคำว่าจะรับเลี้ยงท่านในเมื่อท่านเกิดใหม่ในชาติหน้า

            จากวันพบพระอาจารย์สีทัตถ์มาประมาณ ๓ ปีเศษ คือในราวปี พ.ศ.๒๔๘๑ หรือต้นปี พ.ศ๒๔๘๒ จำไม่แน่ข้าพเจ้าได้รู้จักกับ คุณนายสายบัว อินทรกำแหง ซึ่งเคยเป็นภริยาของหลวงวรวุฒิมนตรี มีภูมิลำเนาตรงกับที่พระอาจารย์สีทัตถ์บอกไว้ จึงเล่าเรื่องที่กล่าวมาแล้วให้คุณนายสายบัวฟังและสั่งไว้ว่า ถ้าคุณนายได้เด็กชายตามที่กล่าวมาแล้วมาเลี้ยงไว้ ขอให้ส่งข่าวด้วย

ปริศนาทารกน้อย

               จากวันเมื่อพบคุณนายสายบัวมาแล้วประมาณ ๑๕ ปี ข้าพเจ้าก็ทราบว่าคุณนายสายบัวได้เด็กชายมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรมแล้วจึงหาโอกาสไปพบคุณนายก็นำเด็กนั้นมาให้ข้าพเจ้าดูที่วัดในหมู่บ้านนั้น ซึ่งเวลานั้นเด็กนั้นมีอายุได้ ๓ ขวบ (เกิดใน พ.ศ.๒๔๙๓)

             ข้าพเจ้าได้สอบถามเหตุการณ์เมื่อแรกเกิดและที่ได้มา คุณนายสายบัวเล่าว่ามีหญิงคนหนึ่งพลัดถิ่นมาที่บ้านสงเปลือย ไม่มีใครรู้จัก พอมาถึงในคืนนั้นก็ปวดท้องคลอดบุตร ชาวบ้านได้ช่วยกัน

           พอรุ่งเช้าชาวบ้านต้มน้ำร้อนจะให้เขาอาบ พอน้ำเดือด หญิงนั้นก็ตักมาจะลวกบุตรให้ตาย ชาวบ้านป้องกันไว้ทัน เอาบุตรซ่อนเสีย หญิงนั้นก็เลยหนีเตลิดเปิดเปิงไปในวันนั้น

            มีผัวเมียคู่หนึ่งรับไปเลี้ยงไว้ ๓ เดือน เลี้ยงไม่ไหวเพราะความยากจน จึงนำมามอบแก่คุณนายสายบัวคุณนายสายบัวเล่าต่อไปว่า ก่อนที่เขาจะนำเด็กมาให้ ในคืนนั้นฝันว่า “มีแก้วเก้าสี มีรัศมีรุ่งเรือง มาประดิษฐานอยู่ที่ชานเรือนรู้สึกดีใจไปรับเอามาไว้” พอรุ่งเช้าก็ได้รับเด็กคนนี้ต่อมาได้ขนานนามว่า “ถวัลย์” แต่เรียกกันเล่น ๆ ว่า “บุญติด”

ทดสอบตอบฉะฉาน

                ตามที่คุณนายสายบัวเล่าให้ข้าพเจ้าฟังนี้ ตรงกับที่พระอาจารย์สีทัตถ์พูดไว้ ตลอดถึงลักษณะของเด็กด้วยทุกประการข้าพเจ้าจึงพูดกับคุณนายสายบัวว่า จะขอรับเอาไปเป็นบุตรบุญธรรม แต่ยังเล็กอยู่เกรงเด็กจะลำบาก ขอให้คุณนายเลี้ยงไปก่อนจนกว่าจะมีวัยอันสมควร

              พ.ศ.๒๔๙๖ ออกพรรษาแล้วข้าพเจ้าไปบ้านสงเปลือยอีกครั้งหนึ่ง พักอยู่ที่วัดในหมู่บ้าน คุณนายสายบัวก็พาเด็กชายคนนี้มาต้อนรับข้าพเจ้าอยากจะพิสูจน์ให้แน่อีกครั้งหนึ่งว่า จะเป็นพระอาจารย์สีทัตถ์แน่หรือไม่ จึงถามว่า เมื่อก่อนนั้น ตัวชื่อสีทัตถ์หรือไม่ ?

             เขาตอบทันทีว่า “ใช่”แล้วข้าพเจ้าก็ยุติไว้เพียงนั้นไม่เล่าเรื่องอาจารย์สีทัตถ์ให้เขาได้ยิน เพราะเพื่อจะสังเกตความเป็นไปต่อไป

               เมื่อคุณนายสายบัวพากลับบ้านแล้ว คุณนายสายบัวกลับมาเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่าเด็กนั้นเมื่อกลับถึงบ้านได้เล่าเรื่องราวครั้งเป็นอาจารย์สีทัตถ์ในชาติก่อนให้คุณนายสายบัวฟังแต่ทว่าไม่ติดต่อกัน เล่าเฉพาะเรื่องสำคัญของชีวิตเป็นท่อน เป็นตอน พอรู้ได้ว่าเขาระลึกชาติได้

               กลางปี พ.ศ.๒๔๙๗ คุณนายสายบัวนำเด็กชายถวัลย์มาให้ข้าพเจ้าที่วัดป่าเขาสวนกวาง ข้าพเจ้าเอารูปถ่ายของพระอาจารย์สีทัตถ์ให้ดู แล้วถามเด็กว่า นี่รูปของใคร ? เด็กตอบว่ารูปของเขาในตอนปลาย (ตั้งแต่พระอาจารย์สีทัตถ์มรณภาพ จนถึงเด็กชายคนนี้เกิดประมาณ ๑๐ ปีกว่า ๆ เมื่อตอนท่านทำนายนั้นพระอาจารย์สีทัตถ์อายุ ๗๑ ปี) ต่อมาข้าพเจ้ามีธุระไปที่อุดรธานีพาเด็กชายคนนั้นไปด้วย

                 วันหนึ่งข้าพเจ้าไปเยี่ยมพระยาอุดรธานีศรีโขมสาครเขตร์ พอขึ้นไปบนบ้าน เห็นเจ้าคุณอุดรฯกำลังนั่งโต๊ะรับประทานอาหารเย็น เด็กชายคนนี้ก็ตรงรี่เข้าไปหา และทำท่าจะรับประทานอาหารร่วมด้วย เจ้าคุณอุดรฯ มีความเมตตาจึงจัดอาหารให้รับประทาน

ข้าพเจ้ามานั่งรอคอยเจ้าคุณอุดรฯ อยู่ที่โต๊ะรับแขกใต้ซุ้มกล้วยไม้ เมื่อเด็กชายนั้นรับประทานอาหารเสร็จแล้ว ข้าพเจ้าถามว่าไม่กลัวท่านหรือ ท่านเป็นพระยา

             เขาตอบว่าไม่กลัว เพราะเคยรู้จักกับท่าน

             ข้าพเจ้าถามว่า รู้จักท่านที่ไหน ?


เขาตอบว่า รู้จักเมื่อครั้งก่ออุโมงค์คร่อมพระพุทธบาทที่อำเภอบ้านผือ

           พอเจ้าคุณอุดรฯ มานั่งกับข้าพเจ้าเรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าถามเจ้าคุณอุดรฯ ว่า เมื่อครั้งพระอาจารย์สีทัตต์ก่ออุโมงค์คร่อมพระพุทธบาทที่บ้านผือนั้น ท่านเจ้าคุณเคยไปและเคยรู้จักสนิทกันกับพระอาจารย์สีทัตต์หรือไม่ ?

ท่านเจ้าคุณอุดรฯ ตอบว่าเคยไป และรู้จักกันสนิทสนมกันมาก

              ตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๙๗ จนถึงปัจจุบันนี้ เด็กคนนี้ได้มาอยู่กับข้าพเจ้าที่เขาสวนกวาง เมื่อคนต่างถิ่นมาเยี่ยม ถ้าคนนั้นเคยรู้จักกับพระอาจารย์สีทัตต์ แม้เขาจะไม่รู้จัก ก็แสดงอาการสนิทสนมเหมือนกับคนที่เคยรู้จักกันมาช้านานแล้ว

               แต่ถ้าคนนั้นไม่เคยรู้จักพระอาจารย์สีทัตต์ แม้จะแนะนำให้เขารู้จัก เขาก็ไม่แสดงอาการสนิทสนม แสดงอาการอย่างคนธรรมดาที่เพิ่งรู้จักกัน

ได้ฉายาว่า “เซียงโมง”

            เด็กคนนี้เมื่อมาอยู่กับข้าพเจ้าข้าพเจ้าต้องการทดลองว่าเขาจะเคยบวชในชาติก่อนหรือไม่ จึงตัดสบงจีวรและย่ามเล็ก ๆ ให้ ทำทีบรรพชาให้เป็นสามเณร เขาแสดงอาการดีใจชื่นบานหรรษา ส่อว่ามีอุปนิสัยในการบวชมาแล้ว แต่ เมื่อบวชแล้วอดข้าวเย็นไม่ได้ ต้องสึกกินข้าวเย็นในวันนั้นจึงตั้งชื่อล้อเลียนเขาว่า “เซียงโมง” คนที่บวชเณรไม่ข้ามวันแล้วสึก ทางภาคอีสานเรียกผูสึกจากเณรนั้นว่า “เซียง” (บวชเณรเมื่อ อายุ ๕ ขวบกับ ๗ เดือน เกิดวันอังคาร แรม ๕ ค่ำ เดือน ๓ ปีขาล วันที่ ๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๙๓ เวลา ๕.๐๐ น.เศษ)

             เมื่อเหตการณ์ตรงกับคำพยากรณ์ของพระอาจารย์สีทัตต์ทุกประการดังที่เล่ามาตลอด ถึงพฤติการณ์ของเด็ก ข้าพเจ้าจึงปลงใจเชื่อว่าอาจารย์สีทัตต์มาเกิดและระลึกชาติได้จริง ข้าพเจ้า (พระอริยะคุณาธาร)จึงขอรับรองด้วยเกียรติยศและศีลธรรมว่า เป็นความจริงดังนี้กล่าวมามิได้เสกสรรปั้นแต่งขึ้น ขอส่งเรื่องนี้แก่ยุวพุทธิกะ เพื่อเป็นพยานหลักฐานพิสูจน์การกลับชาติมาเกิดใหม่ของคน” พระอริยะคุณาธาร

              เรื่องที่บันทึกไว้ของพระเดชพระคุณพระอริยะคุณาธารซึ่งองค์ท่านเองในภายหลังได้สึกหาลาเพศออกมาแต่ก็ยังประพฤติถือศีล ใครๆ เรียกท่านว่า “ฤๅษีสันตจิต” องค์ท่านเองก็เป็นพระโพธิสัตว์ที่ได้รับพุทธพยากรณ์มาแล้วท่านหนึ่ง เรื่องของท่านเป็นเรื่องที่เชื่อถือได้ และเป็นหลักฐานยืนยันว่า “องค์หลวงปู่ญาคูสีทัตต์” ผู้วิเศษแห่งลำน้ำโขงนั้นท่านเป็นพระโพธิสัตว์ชั้นสูงที่ได้รับการพยากรณ์แล้วและจะสำเร็จเป็นพระบรมศาสดาในกาลภายภาคหน้าพระองค์หนึ่งอย่างแน่นอน ทั้งยังเป็นการยืนยันในเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดของสรรพสัตว์อีกนัยหนึ่งด้วย


 ซึ่งสุดท้ายแล้ว เด็กชายถวัลย์ หรือ ที่เรียกกันว่า "เซียงโมง" นั้น ได้บวชใต้ร่มกาสาวพักตร์ นั่นคือ พระถวัลย์ โชติธัมโม




จาก http://panyayan.tnews.co.th/contents/202053/

" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...