ผู้เขียน หัวข้อ: ศิลปะการเปลี่ยน “ทุกข์” ให้เป็น “สุข” ของ ตุ๊ก (ชนกวนัน  รักชีพ)  (อ่าน 1052 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด




ศิลปะการเปลี่ยน “ทุกข์” ให้เป็น “สุข” ของ ชนกวนัน  รักชีพ (1)


หากเอ่ยถึง “คุณแม่คนเก่ง” ในวงการบันเทิงเชื่อว่าต้องมีชื่อของ ตุ๊ก - ชนกวนัน  รักชีพ อยู่ในลิสต์อันดับต้น ๆ แน่นอน

หลังจากผ่านพ้นมรสมชีวิตคู่  เธอกลับมาเข้มแข็งและยืนหยัดอย่างมั่นคงเพื่อเป็นเสาหลักให้ลูกน้อยทั้งสองคน (น้องแพรว – เด็กหญิงแพรวพิชชา  วัชรคุณและน้องภูมิ – เด็กชายพิชญภูมิ  วัชรคุณ) เติบโตขึ้นอย่างมีความสุข

เธอยอมรับว่าจุดหักเหในชีวิตคู่ถือเป็นบทเรียนที่สาหัสที่สุดของหญิงสาวที่มีชีวิตราบเรียบมาตลอด  แต่ขณะเดียวกันมันเป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้เธอเข้าใจชีวิตมากขึ้นและมีทักษะและศิลปะในการรับมือกับความทุกข์ได้ดียิ่งขึ้น

“ทุกวันนี้ชีวิตง่ายขึ้นเยอะเลย”  เธอกล่าวด้วยรอยยิ้มและพร้อมเปิดใจเล่าเรื่องราวชีวิตให้เราฟัง


ชีวิตในกรอบ

ตุ๊กคิดว่าชีวิตวัยเด็กของตุ๊กเป็นชีวิตที่อยู่ในกรอบและราบเรียบมาก  ครอบครัวของเรามีกันอยู่ 5 คน  คือ  ป๊า  แม่  และลูก3 คน  ตุ๊กเป็นพี่สาวคนโต  มีน้องสาวและน้องชายอีกสองคน  อายุห่างกันคนละ 1 ปีป๊าเลี้ยงดูและปลูกฝังเรื่องระเบียบวินัยให้ลูก ๆ เป็นพิเศษ  เราสามคนพี่น้องจึงต้องทำกิจวัตรประจำวันทุกอย่างให้เรียบร้อยและตรงเวลา  ป๊ากับแม่ไปรับไปส่งที่โรงเรียนทุกวันชีวิตจึงมีแต่เรียน  กิน  เล่น  แล้วก็นอนแต่ก็มีความสุขดี

ตอนตุ๊กอายุ 6 ขวบ  ป๊ากับแม่แยกทางกัน  แต่ตุ๊กไม่ได้รู้สึกว่าครอบครัวของเราแตกแยก  อาจเป็นเพราะตอนนั้นเรายังเด็กมาก  อีกทั้งป๊าก็ให้ภรรยาใหม่รับหน้าที่ดูแลเราสามคนพี่น้อง  ซึ่งเมื่อต้องอยู่กับแม่เลี้ยงมาตั้งแต่เด็กก็ทำให้พวกเราสนิทกับท่านมาก             ตุ๊กเป็นเด็กคุยเก่งมาก  แถมยังกินเก่งเป็นที่สุด  เพราะป๊าจะคอยสรรหาของอร่อย ๆ มาให้ลูก ๆ เสมอ  ทำให้เราเป็นเด็กที่มีความสุขกับการกินและติดนิสัยนี้มาจนโต  ส่วนเรื่องการเรียน  ตุ๊กเป็นเด็กที่เรียนดีมาก  ช่วงประถมถึงมัธยม  ตุ๊กสอบได้ที่ 1 ตลอด  จนเป็นที่จดจำของเพื่อน ๆ ว่า “ชนกวนัน คนที่สอบได้ที่หนึ่งไม่เคยได้ที่สอง”  ที่เรียนดีขนาดนี้ไม่ใช่เพราะเป็นเด็กขยัน  แต่เพราะชอบอ่านหนังสือเรียน  ชอบทำแบบฝึกหัดตอนอยู่ในห้องเรียนจึงคุยแหลกเลย  เพราะว่าสิ่งที่ครูสอนตุ๊กรู้เรื่องหมดแล้ว

พอโตเป็นวัยรุ่น  ที่บ้านยังเลี้ยงแบบอยู่ในกรอบเหมือนเดิม  แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดอะไร  อาจเป็นเพราะเราเป็นเด็กเรียบร้อยอยู่แล้ว  เรื่องที่ร้ายแรงที่สุดในชีวิตวัยรุ่นก็แค่หนีไปกินไอศกรีมกับเพื่อนหลังเลิกเรียนแล้วแม่จับได้  นี่คือเรื่องที่ทำให้ตุ๊กตัวชาวาบไปทั้งตัวด้วยความกลัวแล้ว  นอกเหนือจากนั้นตุ๊กก็ไม่เคยเห็นว่าจะมีเรื่องอะไรที่ทำให้เราเป็นทุกข์  หรือหากไม่สบายใจ  ตุ๊กก็มีวิธีดูแลตัวเอง  หากิจกรรมโน่นนี่ทำ  แล้วกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้โดยเร็ว

ส่วนช่วงชีวิตที่ถือว่าสุดเหวี่ยงที่สุดน่าจะเป็นช่วงเรียนมหาวิทยาลัย  เพราะได้ออกจากอ้อมอกของครอบครัวมาอยู่หอพักใกล้ ๆ มหาวิทยาลัยที่จังหวัดนครปฐม  ซึ่งตุ๊กได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระ  แต่อิสระของตุ๊กคือการที่ได้หาของกินอร่อย ๆ แถวมหาวิทยาลัยนั่งรถทัวร์จากนครปฐมไปดูหนังที่เมเจอร์ปิ่นเกล้า  ได้ร้องคาราโอเกะกับเพื่อน ๆ หลังเลิกเรียน  เท่านั้นเองจริง ๆ  เรียกได้ว่าเป็นชีวิตวัยรุ่นที่จืดชืดมาก  แต่ตุ๊กกลับมีความสุขมาก
 

ก้าวสู่เส้นทางนางแบบด้วยตัวเอง

ดูเหมือนว่าเด็กเนิร์ด ๆ อย่างตุ๊กไม่น่าเป็นนางแบบได้  แต่วันหนึ่งของการเรียนปีสุดท้ายในรั้วมหาวิทยาลัย  ตุ๊กได้เห็นโฆษณาการประกวด “ซิตร้า  พอร์เทรท  ออฟ  บิวตี้”ซึ่งเป็นการเฟ้นหานางแบบหน้าใหม่ผิวดีมาถ่ายแบบลงปกนิตยสาร ดิฉัน  อยู่ดี ๆ ก็คิดขึ้นมาว่า

“ฉันต้องไปประกวดให้ได้”

ตุ๊กก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม  อาจเป็นเพราะตอนนั้นชอบอ่านนิตยสาร  และทุกครั้งที่เห็นนางแบบสวย ๆ อย่าง พี่อุ๋ม -อาภาศิริ  นิติพน  พี่แอน - นาตาชา  สัจจกุลรู้สึกว่าอยากจะเป็นอย่างพี่ ๆ เขาบ้าง

เมื่อตัดสินใจได้แล้วก็แอบนั่งรถทัวร์จากนครปฐมไปสยามสแควร์เพื่อสมัครเข้าประกวดโดยไม่ได้บอกใครทั้งสิ้น  ทั้งที่ตอนนั้นยังแต่งหน้าแต่งตัวไม่เป็น  และในขณะที่ผู้สมัครคนอื่นมีโมเดลลิ่งมาดูแล  แต่ตุ๊กไม่รู้จักคำว่าโมเดลลิ่งด้วยซ้ำ  เรียกว่ากล้ามากที่เดินมาสมัครคนเดียว  ปรากฏว่าตุ๊กได้เข้าอบ 50 คน แต่ไม่ได้บอกใคร

จนเมื่อเข้ารอบ 15 คนจึงยอมบอกแม่เพราะให้แม่ไปเป็นเพื่อน  จำได้ว่าเช้าวันประกวดชุลมุนวุ่นวายมาก เพราะตุ๊กเป็นภูมิแพ้  ซึ่งเป็นโรคประจำตัวที่หนึ่งปีจะเป็นเพียงหนึ่งวัน  แต่ก็ดันมาเป็นวันประกวดพอดี  ทำให้ตาบวม  หน้าบวม  ต้องรีบแวะหาหมอเพื่อเอายามากินและเอาน้ำแข็งประคบรอให้ยุบ  แล้วจึงแต่งหน้าเข้าประกวด  ทุกอย่างไม่พร้อมเลยสักนิด  แต่สุดท้ายผลการตัดสินในวันนั้นคือ  ตุ๊กชนะการประกวด  ซึ่งอาจเป็นเพราะเราตัวสูงกว่าใครในการประกวดนี้

หลังชนะการประกวดก็ได้ไปถ่ายแฟชั่นเพื่อลงปกนิตยสาร ดิฉัน ที่ประเทศเคนยาทุกอย่างดูน่าตื่นเต้นไปหมด  เพราะเป็นการไปต่างประเทศโดยไม่มีครอบครัวไปด้วยเป็นครั้งแรก  การไปทำงานครั้งนี้ทำให้รู้ว่าเบื้องหลังการถ่ายภาพในนิตยสารไม่ใช่เรื่องง่าย  ทีมงานทุกคนต้องทุ่มเทอย่างมากเพื่อให้ผลงานออกมาดี  ตอนนั้นเป็นการถ่ายแบบครั้งแรก  ตุ๊กยังโพสท่าไม่เป็น  ไม่รู้มุมกล้อง  ทุกอย่างดูยากไปหมด  แต่ก็เก็บอารมณ์ทั้งหมดไว้ในใจและตั้งใจทำให้ดีที่สุด  จนพี่ ๆ ทีมงานเอ่ยชมซึ่งไม่ได้ชมว่าสวยนะคะ  แต่ชมกันว่า “เป็นเด็กที่อึดมาก”
 

บทเรียนดี ๆ จากการเป็นนักแสดง

หลังจากนิตยสารเล่มนั้นวางแผง  ตุ๊กก็เป็นที่รู้จักในวงการนางแบบ  จากนั้นก็ได้ขึ้นปกนิตยสารแฟชั่นทุกฉบับ  แต่ก็ยังไม่ทิ้งการเรียน  โดยจะรับงานแค่เสาร์ - อาทิตย์เท่านั้น  ชีวิตส่วนตัวก็เป็นเหมือนเดิมทุกอย่างตุ๊กยังคงเป็นเด็กสาวที่กินเก่ง  โหวกเหวกโวยวาย  ไม่เคยห่วงสวย  ไม่มีจริตใด ๆ  และลืมไปว่าคนเริ่มจำหน้าเราได้แล้ว  จนเพื่อน ๆเตือนตุ๊กว่า “ตุ๊ก  แกช่วยมีฟอร์มนิดหนึ่งเถอะนะ”

เมื่อเป็นที่รู้จักในวงการแฟชั่น  อายุ –ยุวดี  ไทยหิรัญ  ผู้บริหารค่ายละครยูม่ากำลังมองหานักแสดงหน้าใหม่  จึงเรียกให้ตุ๊กไปแคสติ้ง  และได้เล่นละครเรื่องแรกโดยรับบทนางร้ายในเรื่อง ผู้ดีอีสาน  พอละครออนแอร์ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าตุ๊กคงเป็นไฮโซมาเล่นละครแน่ ๆเพราะหน้าตาก็แย่  ในเรื่องตุ๊กต้องทำผมหยิกฟู  ไม่เข้ากับหน้าเราเลย  ที่สำคัญคือแอ๊คติ้งได้แย่มาก ๆ  ซึ่งตุ๊กก็รู้ตัวว่ายังทำได้ไม่ดี  และตั้งใจจะพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น

การได้เข้ามาทำงานกับค่ายยูม่า  เป็นประสบการณ์ที่ดีมาก  เพราะ อายุ ดูแลเราเหมือนเป็นลูกหลาน  สอนนักแสดงทุกอย่างแม้กระทั่งเรื่องการวางตัว  ท่านเน้นให้รู้จักช่วยเหลือทีมงาน  ไม่นิ่งดูดาย  ต้องเอื้อเฟื้อไปไหนมาไหนต้องมีของติดไม้ติดมือไปฝากอดทนทำงาน  ไม่บ่น  ไม่เรื่องมาก  เรียกได้ว่านี่คือคาแร็คเตอร์ของเด็กค่ายยูม่าเลยทีเดียว

หลังจากเรียนจบ  ตุ๊กรับงานเดินแบบและเล่นละครไปพร้อมกัน  บางครั้งก็มีช่วงที่ทำงานหนักและเหนื่อยมาก  แต่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับตุ๊ก  เพราะเมื่อเหนื่อย  พอได้นอนหลับ  ตื่นมาก็หาย  และพร้อมลุยงานต่อไม่เคยคิดว่าเหนื่อยมากแล้ว  อยากหนีไปไกล ๆไม่เจอใครเลย  อาจมีบ้างที่เหนื่อยมาก ๆ แล้วเหวี่ยงนิดหน่อย  แต่ส่วนมากเป็นเรื่องเหนื่อยและหิวมากกว่าที่ทำให้งอแงผิดปกติ

ชีวิตของตุ๊กดำเนินไปอย่างเรียบง่ายจนไม่ได้เตรียมใจเลยว่าต่อไปจะต้องเจอบทเรียนชีวิตที่ทำให้ทุกข์ใจที่สุด

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

จาก http://www.secret-thai.com/article/14969/tuk-thisislife-1/






ศิลปะการเปลี่ยน “ทุกข์” ให้เป็น “สุข” ของ ชนกวนัน  รักชีพ (2)

เมื่อเข้ามาในวงการเต็มตัว  ตุ๊ก (ชนกวนัน  รักชีพ) มีโอกาสทำงานหลายอย่าง  ทั้งเป็นนางแบบ  นักแสดงพิธีกร  แต่อาชีพนางแบบเป็นอาชีพแรกที่ตุ๊กมีโอกาสได้ทำ  และเป็นงานที่ทำให้ตุ๊กได้เรียนรู้การทำงานและเรียนรู้จิตใจตัวเองไปพร้อมกัน

หลายคนอาจคิดว่าอาชีพนี้เป็นงานง่าย  ได้สตางค์เยอะแต่แท้จริงแล้วภาพเบื้องหน้าอันสวยหรูต้องแลกมาด้วยความอดทน  เพราะการเดินแบบแต่ละงาน  นางแบบทุกคนต้องมาซ้อมคิว  รอแต่งหน้าทำผมนานหลายชั่วโมงก่อนงานเริ่ม

การเป็นนางแบบทำให้ตุ๊กได้เรียนรู้ชีวิต  เรียนรู้จิตใจผู้คนมากมาย  ถ้าถามในมุมชิงดีชิงเด่นในวงการก็มีเหมือนกันส่วนเรื่องการนินทาหรือความไม่จริงใจก็มีให้เห็น  ตุ๊กเคยเจอเหตุการณ์ที่รู้สึกว่าตัวเองรับไม่ได้  นั่นคือ  วันหนึ่งขณะนั่งรอทำงาน  เหล่านางแบบในงานนี้ก็นั่งดูนิตยสารเล่มหนึ่งด้วยกันแล้วเปิดไปเจอภาพแฟชั่นเซตของเพื่อนนางแบบคนหนึ่ง  ขณะที่เปิดดูภาพไปทีละหน้า  จู่ ๆ ก็มีนางแบบคนหนึ่งพูดขึ้นว่า

“อี๋  ยัยนี่ถ่ายรูปนี้น่าเกลียดจังเลย”

เธอพูดยังไม่ทันขาดคำ  เพื่อนนางแบบที่ถูกพูดถึงก็เดินเข้ามา  แต่คนที่เพิ่งพูดว่าเธอลับหลังกลับพูดกับเธอว่า

“เธอ  ถ่ายรูปนี้สวยจังเลยนะ”

พอเห็นพฤติกรรมแบบนี้  ตุ๊กลุกออกไปอ้วกในห้องน้ำเลย  เพราะรับไม่ได้กับการเสแสร้งแบบนี้  หลังเหตุการณ์นี้ตุ๊กก็เก็บตัวเงียบ  ไม่ค่อยคุยสุงสิงกับใคร  แล้วก็อารมณ์ไม่ดีจนเพื่อน ๆ เริ่มเมาท์กันว่าตุ๊กแปลกไป  ตุ๊กต้องปรับตัวปรับใจอยู่สักพักกว่าจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้  คงเป็นเพราะตอนนั้นเรายังเด็กมากจึงไม่เข้าใจเรื่องแบบนี้มากนัก  แต่พอโตขึ้น  ได้เจอคนเยอะ  เรียนรู้จิตใจคนมากขึ้น  เราก็เข้าใจและไม่รับมาคิดต่อให้ตัวเองเป็นทุกข์

ในขณะเดียวกันตุ๊กคิดว่าตัวเองเริ่มสร้างนิสัยหรือกลไกบางอย่างเพื่อปกป้องตัวเองจากเรื่องที่ไม่อยากรับรู้  ที่เพื่อน ๆล้อกันว่าเป็นอาการ “หูดับ”  คือตุ๊กสามารถปิดตัวเองไม่ให้ได้ยินเรื่องที่ไม่อยากได้ยินแม้กำลังนั่งคุยกันปกติในวงเพื่อน ๆ ก็ตาม  แม้ฟังดูแปลก  แต่ก็ช่วยให้ตุ๊กไม่รับความทุกข์จากเรื่องรอบตัวบางเรื่องได้ดี


“หลง” โดยไม่รู้ตัว

ใคร ๆ ก็มองว่า “นางแบบ” ต้องเป็นคนหวือหวา  แต่ตุ๊กยังคงใช้ชีวิตส่วนตัวราบเรียบเหมือนเดิม  ไม่เคยไปปาร์ตี้กินเหล้า  หรือเที่ยวกลางคืนเลย  พอเดินแบบเสร็จก็รีบกลับบ้าน  มานั่งอ่านหนังสือ  ถักนิตติ้ง  คือใช้ชีวิตเชย ๆดูไม่เป็นนางแบบเลยจริง ๆ  เหมือนเราออกไปสวมบทเป็นนางแบบ  เสร็จงานก็กลับบ้านมาอยู่ในโลกของตัวเอง

คนทั่วไปอาจมองว่าตุ๊กเป็นคนง่าย ๆ และคงไม่ “หลง”ไปกับชื่อเสียงของตัวเอง  แต่จริง ๆ แล้วตุ๊กยอมรับว่ามีบางมุมที่ตุ๊กหลงไปกับสิ่งเหล่านี้บ้างเหมือนกัน  ตุ๊กเคยเจอพี่ช่างแต่งหน้าที่เคยแต่งหน้าให้ตุ๊กสมัยเพิ่งเข้าวงการ  พี่เขาพูดสะกิดใจตุ๊กมากว่า

“เจอน้องตุ๊กมาตั้งแต่อะไรก็ได้…”

กลายเป็นว่าที่คิดมาตลอดว่าเป็นคนง่าย ๆ เหมือนวันแรกที่เข้ามาในวงการ  จริง ๆ แล้วเราเปลี่ยนไปโดยที่ไม่รู้ตัวเช่น  ตุ๊กอาจขอให้พี่ช่างแต่งหน้าแต่งในแบบที่คิดว่าเหมาะกับเรา  คิ้วต้องอย่างนั้น  กรีดตาต้องแบบนี้  หรือบางครั้งตุ๊กก็“เคยตัว” กับการที่มีคนมาบริการและดูแลเราอย่างดี  ทำให้กล้าขอให้คนทำสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้  เช่น  เวลาพาลูกไปกินข้าวนอกบ้าน  ร้านอาหารไม่มีลูกค้าแล้ว  ตุ๊กก็กล้าบอกว่า “ขอโทษนะคะ  ช่วยปิดทีวีได้ไหมคะ”  เพราะปกติไม่ให้ลูกดูทีวีเลย

ถึงแม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย  แต่ตุ๊กมั่นใจว่าถ้าเราไม่ได้เป็นคนที่มีคนรู้จัก  คงไม่กล้าทำแน่นอน  นี่จึงเป็นเหตุผลที่ตุ๊กพูดเสมอว่าไม่อยากให้ลูกทำงานในวงการบันเทิง  แม้จะเป็นวงการที่ตุ๊กรักและสนุกกับงานที่ทำ  แต่ก็รู้ว่าคนที่อยู่ในวงการนี้ต้องประคองตัวอย่างดี  ซึ่งถ้าลูกเราทำไม่ได้  ก็ไม่อยากให้ลูกอยู่ในจุดที่ไม่รู้ตัวเองเช่นนี้
 

แบบอย่างของการให้อภัย

ตุ๊กมีแฟนคนแรกตอนใกล้จะเรียนจบมหาวิทยาลัยเป็นความรักที่บริสุทธิ์และน่าประทับใจมาก  ผู้ชายคนนี้เป็นเพื่อนโรงเรียนเดียวกัน  เขาจีบตุ๊กตั้งแต่เรียนชั้น ม. 3 จนจบม. 6  แม้แยกย้ายกันไปเรียนคนละมหาวิทยาลัยซึ่งอยู่ไกลกันเขายังคงพยายามจีบต่อไป  จนตอนเรียนจบเราจึงได้เป็นแฟนกัน

พอตุ๊กเข้าวงการ  เราก็ยังคบกันดี  เพราะเขาเข้าใจธรรมชาติของเรา  แต่แล้วตุ๊กกลับเป็นคนที่เปลี่ยนไป

เมื่อคบกันได้ประมาณสามปี  ตุ๊กได้เจอกับ พี่บ๊วย(เชษฐวุฒิ  วัชรคุณ)  ยอมรับว่าตุ๊กนอกใจแฟน  ด้วยการให้เหตุผลเข้าข้างตัวเองว่า  “ความสัมพันธ์ของเราต้องไม่ดีพอทำให้เราปันใจให้คนอื่น”  สุดท้ายก็ขอเลิกกับเขา  ไม่ว่าเขาจะอ้อนวอนขอร้องเท่าไหร่  ตุ๊กก็ยังยืนยันคำเดิมว่าต้องเลิกกัน

แต่หลังจากนั้นเรากลับมาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน  เขากลับมาเป็นเพื่อนโดยไม่ได้หวังความสัมพันธ์อื่นใด  เขาเป็นเพื่อนแท้ที่ตุ๊กยกให้เป็นต้นแบบของ “การให้อภัย”  เพราะต่อมาเมื่อต้องเจอเหตุการณ์ที่ไม่คิดว่าจะให้อภัยคนที่เรารักได้อย่างไรตุ๊กก็นึกถึงเขา  เขาเป็นแรงบันดาลใจให้เราให้อภัยคนที่รักได้เช่นกัน
 

มรสุมชีวิตที่ไม่คิดว่าจะต้องเจอ

ความรักของตุ๊กกับพี่บ๊วย  เริ่มจากที่วันหนึ่ง ออร์แกน – ราศี  วัชราพลเมฆ มาบอกว่า  พี่บ๊วยฝากมาบอกตุ๊กว่า  “เขาชอบตุ๊กมาก  ชอบจริง ๆ  ขอแค่ให้ได้ชอบก็พอ”  หลังจากนั้นก็เงียบหายไป  จนตุ๊กได้รู้จักและคุยกับพี่บ๊วยจริง ๆ ก็ตอนที่ตุ๊กโทร.ติดต่อเขาเรื่องฟิตเนสแห่งหนึ่ง  เพราะพี่บ๊วยมีเพื่อนอยู่ที่ฟิตเนสแห่งนั้น  เริ่มจากการโทร.ให้พี่เขาช่วยเช็กตารางว่างของฟิตเนสให้  จนกลายมาเป็นคุยกันทุกวันโดยไม่รู้ตัว

พี่บ๊วยเป็นคนน่ารัก  สุภาพ  และพูดเพราะมาก  เราคุยโทรศัพท์กันอยู่ประมาณสิบเดือนจึงได้เจอหน้ากัน  เพราะตอนนั้นตุ๊กยังมีแฟน  ในใจจึงรู้สึกผิดมาก  แต่สุดท้ายเมื่อทุกอย่างคลี่คลาย  เราจึงได้มาเจอกัน  และสุดท้ายก็ตกลงคบกัน  พี่บ๊วยเป็นคนไม่จู้จี้จุกจิก  ส่วนตุ๊กเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูง  เราจึงคบกันได้อย่างมีความสุข  เมื่อคบกันได้สองปีพี่บ๊วยก็ขอแต่งงาน  เขาบอกว่ามั่นใจแล้วว่าตุ๊กคือรักแท้ของเขา

หลังจากแต่งงาน  ตุ๊กย้ายเข้าไปอยู่กับครอบครัวของพี่บ๊วยการแต่งงานของตุ๊กเหมือนแค่การย้ายบ้าน  ไม่ได้ปรับตัวสักเท่าไหร่  จึงทำให้จัดการกับความสัมพันธ์กับครอบครัวของเขาไม่ดีนัก  จนเราตัดสินใจแยกบ้านเป็นครอบครัวเดี่ยว  ตุ๊กก็รู้สึกว่าทุกอย่างกำลังจะดีขึ้น

ส่วนเรื่องการดูแลสามี  ตุ๊กคิดว่าตุ๊กทำได้ดีแล้ว  เพราะเราดูแลเรื่องอาหารการกิน  เอาอกเอาใจ  เซอร์ไพร้ส์ทุกเทศกาลแต่สุดท้ายก็รู้ตัวว่าตัวเองไม่มีศิลปะในการครองเรือน เพราะตุ๊กละเลยเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ควรใส่ใจ  เช่น  พี่บ๊วยจะหอมแก้มตุ๊กทุกครั้งที่ออกจากบ้าน  แต่กลับไม่มีสักครั้งเลยที่เราจะทำแบบนี้กับเขา  หรือพี่บ๊วยจะถามทุกวันว่า  “เหนื่อยไหม”  แต่ตุ๊กกลับไม่ใส่ใจกับคำพูดนี้  เมื่อมองย้อนกลับไปตุ๊กรู้ว่าตัวเองเป็นคนได้รับความรักอยู่ฝ่ายเดียว  แต่ไม่เคยมอบความรักกลับไปเลย

ตุ๊กไม่เคยรู้เลยว่าเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่ได้ใส่ใจจะกลายมาเป็นเรื่องใหญ่ที่ทำให้เสียใจที่สุดในชีวิต

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

จาก http://www.secret-thai.com/article/14996/tuk-thisislife-2/





ศิลปะการเปลี่ยน “ทุกข์” ให้เป็น “สุข” ของ ชนกวนัน  รักชีพ (จบ)

เมื่อมีลูกคนแรก ตุ๊ก (ชนกวนัน  รักชีพ) ทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับลูก  เรียกว่า “บ้าเลี้ยงลูก” มาก  ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเองแบบร้อยเปอร์เซ็นต์  ทำให้แบ่งหน้าที่ของภรรยาและแม่ของลูกได้ไม่สมดุลกัน

ถึงอย่างนั้นสามีก็ไม่เคยตำหนิหรือขอให้เปลี่ยนแปลงตัวเอง  ทำให้ตุ๊กมั่นใจว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นดีมากแล้ว  ช่วงนั้นพี่บ๊วยให้หยุดทำงานเพื่อเลี้ยงลูกอย่างเดียว  ชีวิตครอบครัวของเรามีความสุขมาตลอด  จนตั้งท้องลูกคนที่สอง  ช่วงตั้งท้องเดือนที่แปด  จู่ ๆ วันหนึ่งตุ๊กก็รู้สึกแปลก ๆ ไปเองว่า  “นี่เรามีความสุขมากไปไหมนะ”  เพราะในขณะที่เพื่อนมีปัญหาทะเลาะกับแฟนบ้าง  สามีมีผู้หญิงอื่นบ้างหรือมีปัญหาเรื่องเงินทอง  แต่ชีวิตเรากลับดูราบเรียบไม่มีปัญหาอะไรเลย

เมื่อคลอดลูกคนที่สอง  ตุ๊กต้องอยู่ไฟทุกวันตั้งแต่แปดโมงเช้าถึงสี่โมงเย็น  เวลาที่เหลือก็ยุ่งอยู่กับการให้นมลูก  และดูแลเลี้ยงลูกเองทุกขั้นตอนเหมือนเดิม  ช่วงหนึ่งเดือนที่อยู่ไฟนี้เริ่มรู้สึกเหมือนไม่ได้เจอหน้าพี่บ๊วยเลย  ทั้งยังรู้สึกได้ถึงความห่างเหินและความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น


ที่สุดของความเสียใจ

ในวันแรกที่รู้แน่ชัดแล้วว่าชีวิตครอบครัวมีปัญหา  ตุ๊กนอนไม่หลับทั้งคืน  ทั้งที่ปกติเป็นคนนอนหลับง่ายมาก  ขนาดที่นับหนึ่ง  สอง  สามแล้วหลับได้ทันที  เรียกว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตที่นอนไม่หลับ  เพราะกังวลคอยแต่รอจังหวะที่จะได้คุยกันให้หายค้างคาใจว่าเขาเปลี่ยนไปจริงหรือไม่  แต่สุดท้ายคำตอบที่ได้รับคือ  เขาขอยกเลิกสถานภาพสามีภรรยาด้วยการหย่า

วินาทีนั้นตุ๊กหนาวสั่นไปหมด  ทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นสิ่งที่คาดไว้เลย  ไม่เคยคิดว่าเรื่องนี้จะเกิดกับตัวเอง  เพราะตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมาหลายปี  ตุ๊กไม่เคยรู้สึกถึงความระหองระแหงในชีวิตคู่  อีกทั้งเราก็เพิ่งมีลูกคนที่สองด้วยกัน  และก่อนหน้านั้นไม่นานก็วางแผนจะมีลูกคนที่สามด้วย  จึงไม่น่าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ได้

ตุ๊กพยายามหาเหตุผลมาพูดคุยกับเขาอยากให้เขาลองคิดทบทวนดูใหม่  และคิดห่วงไปถึงลูกทั้งสองคน  เพราะไม่อยากให้เติบโตในครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์  แต่ไม่ว่าจะหาเหตุผลร้อยแปดพันเก้ามาพูดคุยอย่างไรคำตอบก็คือ  เขาต้องการยกเลิกการเป็นสามีภรรยาของเราจริง ๆ  แต่เขายังรักและพร้อมดูแลลูกทั้งสองคนเหมือนเดิม

เช้าวันนั้นตุ๊กรู้เลยว่าสภาพร่างกายและจิตใจของตัวเองย่ำแย่มาก  และเป็นครั้งแรกในชีวิตที่โทร.หาแม่ว่า

“แม่ช่วยมาดูลูกให้ตุ๊กหน่อยนะ  ตุ๊กไม่สบายมาก  อุ้มลูกไม่ไหว”

เมื่อได้ยินอย่างนี้  แม่ก็รู้เลยว่าต้องมีเรื่องอะไรแน่ ๆ  เพราะปกติตุ๊กไม่ยอมขอให้ใครมาช่วยดูแลลูก  พอแม่มาที่บ้าน  ตุ๊กกลับนิ่งเงียบ  ไม่เล่าอะไรให้ท่านฟังทั้งสิ้น  จนแม่ต้องโทร.ไปถามเขาจึงได้รู้เรื่องราวทั้งหมด

กลายเป็นว่าที่เราคิดว่าทำหน้าที่ภรรยาและแม่บ้านอย่างดี  ทุกอย่างผิดไปหมดชีวิตคู่ที่ดูมั่นคงมาตลอดกลับเปราะบางมากแต่ตัวเราไม่เคยสังเกตเห็นเลย  ส่วนหนึ่งเป็นเพราะไม่ได้ใส่ใจเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ และคิดเอาเองว่าไม่มีอะไร  แต่อีกฝ่ายกลับเก็บรายละเอียดเหล่านี้ไว้ในใจอย่างเงียบ ๆ

หลังเหตุการณ์วันนั้น  ตุ๊กพยายามยื้อเวลารอให้เขาเปลี่ยนใจ  และประคับประคองชีวิตคู่ให้ดีที่สุด  แม้จะต้องทนทุกข์ที่เห็นความเปลี่ยนแปลงและเฉยชาอยู่ทุกวัน  เป็นช่วงเวลาที่ทรมานมาก  แต่ก็ต้องเข้มแข็งเพื่อเป็นที่พึ่งให้ลูก  เพราะรู้ว่าความรู้สึกของแม่กับลูกเชื่อมต่อกันตลอดเวลา  ไม่อยากให้ลูกมารับรู้ความทุกข์ของเราแม้สักเล็กน้อย

จนวันหนึ่งได้ปรึกษาพี่ที่เคารพในวงการท่านหนึ่งที่รับรู้เรื่องชีวิตคู่ของเรามาตลอด  เขาบอกว่า

“ตุ๊ก  มนุษย์เราเปลี่ยนแปลงได้ทุกวันนะ”

พอได้ยินประโยคนี้  ตุ๊กเข้าใจทันทีและได้คำตอบที่เคยถามตัวเองมาตลอดว่าทำไมชีวิตเราต้องมาเจอเรื่องแบบนี้  เพราะจริง ๆ แล้วมนุษย์เปลี่ยนแปลงได้ทุกวัน  ไม่ใช่แค่คนข้างกายเราที่เปลี่ยนไป  ตัวเราก็เองก็เปลี่ยนไปด้วย  ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างจึงเกิดขึ้นได้เสมอ  เมื่อพอจะเข้าใจสัจธรรมข้อนี้ตุ๊กจึงทำตามที่เขาต้องการด้วยการเซ็นใบหย่าให้และมั่นใจว่าเราไม่ได้รู้สึกโกรธเขา
 

มองทุกข์และสุขอย่างเข้าใจ

ความล้มเหลวในชีวิตคู่ครั้งนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดในชีวิตที่ราบเรียบมาตลอดของตุ๊ก  แต่ก็สอนให้เข้าใจชีวิตมากยิ่งขึ้น  เข้าใจว่า ความทุกข์และความสุขเกิดขึ้นเป็นวงจรที่ไม่จบสิ้น  หากวันนี้เราเจอความทุกข์  เราก็ต้องเดินผ่านไปให้ได้  เพราะเมื่อผ่านพ้นความทุกข์ไปแล้ว  เราอาจเจอความสุข  แต่ความสุขนี้ไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป  เพราะสุดท้ายเราก็ต้องผ่านไปพบกับความทุกข์อีกครั้งอยู่ดี  ชีวิตเราต้องพบเจอทั้งทุกข์และสุขอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ

เมื่อเริ่มเข้าใจเรื่องนี้มากขึ้น  ตุ๊กจึงมีความสุขได้ง่ายขึ้น  ด้วยการไม่พิรี้พิไรกับความทุกข์  เพราะจริง ๆ แล้วความทุกข์นั้นอาจเกิดขึ้นแค่ครั้งเดียว  แต่เรากลับนำมันมาทำร้ายตัวเองอยู่ซ้ำ ๆ ด้วยการนำความทุกข์นั้นมาคิดซ้ำไปซ้ำมา  เราต้องดึงสติให้อยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุด  เพราะการกังวลอยู่กับอดีตที่ผ่านไปแล้วและฝันเฟื่องถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึงไม่ได้ช่วยให้ปัจจุบันของเราดีขึ้นเลย

ตุ๊กยังจำได้ถึงวันที่ต้องไปทำงานวันแรกหลังจากที่หยุดเลี้ยงลูกมานาน  วันนั้นแม่โทร.มาบอกว่าลูกไม่ยอมกินนมจากขวด  เพราะไม่เคยให้นมแม่ด้วยขวดนมมาก่อน  เวลานั้นทุกอารมณ์ความรู้สึกถาโถมเข้ามาหมด  ทั้งเสียใจที่ไม่ได้อยู่เลี้ยงลูก  แล้วก็พาลโกรธทุกอย่างที่ทำให้เราต้องเป็นแบบนี้  แต่สุดท้ายก็ต้องเตือนตัวเองว่า  กังวลไปก็ไม่ได้ช่วยให้ลูกยอมกินนม  และงานตรงหน้าก็ทำได้ไม่ดีไปด้วย  ต้องตัดความกังวลทั้งหมดออกไปและกลับมาทำปัจจุบันให้ดีที่สุด
 

ชีวิตที่มีความสุขง่ายขึ้น

ช่วงเวลาที่ต้องพบกับความทุกข์อย่างแสนสาหัส  ตุ๊กโชคดีที่ได้กำลังใจจากคนรอบตัวเยอะมาก  และที่สำคัญคือ  มีกัลยาณมิตรที่ดีอย่าง “พี่โอ๋” (ชนาธิป  นิติภานนท์)พี่สาวซึ่งเป็นลูกของพ่อบุญธรรมที่คอยอยู่เคียงข้างตุ๊กเสมอ

ตุ๊กได้เรียนรู้การใช้ชีวิตหลายอย่างจากพี่โอ๋  จากเป็นคนที่ต้องทำทุกอย่างให้เป๊ะชอบวางแผนอนาคตไว้ไกล ๆ  พี่โอ๋สอนให้ตุ๊กรู้จักผ่อนปรนและปล่อยวาง  ด้วยการ “รู้จักคิดถึงชีวิตแบบระยะสั้น  แบบวันต่อวัน  หรือวางแผนชีวิตไม่เกินสามปีห้าปี”  ไม่น่าเชื่อว่าแค่เรื่องธรรมดา ๆ นี้จะทำให้ชีวิตง่ายขึ้นมากกว่าเดิมหลายเท่า  เพราะไม่ต้องคอยเครียดว่าต้องทำทุกอย่างให้เป็นไปอย่างใจเสมอ  แม้แต่เรื่องการเลี้ยงลูก  ตุ๊กก็ทุ่มเทเต็มร้อย  ดูแลให้ความรักความเข้าใจไปตามวัยอย่างดีที่สุด  เพื่อที่ในอนาคตเขาจะสามารถเลือกทางเดินของตัวเองได้โดยที่เราไม่คาดหวังมากเกินไป

นอกจากนี้ตุ๊กยังมีโอกาสได้ไปเป็น“ชาวนา” จากการที่ได้ไปช่วยคุณพ่อบุญธรรมดูแลการปลูกข้าวเกษตรอินทรีย์ที่สุธาทิพย์ฟาร์ม  อำเภอสองพี่น้อง  จังหวัดสุพรรณบุรีตุ๊กมีความสุขที่ได้มาเรียนรู้วิถีชีวิตของเกษตรกรได้พาลูก ๆ มาลองใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติและที่สำคัญคือ  เป็นการฝึกให้ตัวเองใช้ชีวิตช้าลง  เพราะในระหว่างดำนา  เก็บเกี่ยว  หรือแม้แต่การบรรจุหีบห่อ  ทุกขั้นตอนต้องอยู่กับตัวเองและใช้สมาธิอย่างมาก  จิตใจของเราจึงนิ่งและสงบมากขึ้น

ทุกวันนี้มุมมองชีวิตเปลี่ยนไปมากตุ๊กเริ่มรู้จักศิลปะในการรับมือกับความทุกข์และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ง่ายขึ้น  แม้ที่ผ่านมาต้องเจ็บปวด  แต่ก็คุ้มที่ทำให้เข้าใจชีวิตได้ดีขึ้นเช่นกัน

จาก http://www.secret-thai.com/article/15002/tuk-thisislife-3/
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...