"ไม่พอใจล่ะสิ... เจ้าตกนรกแล้ว... ทำบุญก็ไม่ได้บุญหรอก"!! คำพูดประชดของภรรยาที่ทำให้ชายคนหนึ่งกลายเป็น "ปรมาจารย์ด้านการเจริญสติ"!!"หลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ" ซึ่งได้รับการยกย่องจากนายแพทย์ประเวศ วะสี ว่าเป็น
"ปรมาจารย์แห่งการเจริญสติ" นั้น ชื่อเดิมของท่านคือ
"พันธ์ อินทผิว" ส่วน
"เทียน" นั้นเป็นชื่อบุตรชายของท่าน ซึ่งธรรมเนียมของเชียงคานบ้านเกิดของท่านนิยมเรียกผู้ใหญ่ตามชื่อของลูกคนหัวปี (หรือคนโตที่ยังมีชีวิตอยู่) ใครต่อใครจึงรู้จักท่านในนามของ "หลวงพ่อเทียน"
นายพันธ์ อินทผิว เป็นคนที่ใฝ่ในการทำบุญมาตั้งแต่เล็ก เมื่อโตขึ้นแล้วได้รับเลือกให้เป็นผู้ใหญ่บ้านก็เป็นผู้นำชาวบ้านในการทำบุญเสมอมา นอกจากนั้น ความที่ท่านเป็นพ่อค้า มีเรือค้าขายล่องตามลำน้ำโขงขึ้นไปจนถึงเมืองลาว และประสบความสำเร็จพอสมควร จึงเป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านมาก
หลวงพ่อเทียน จิตตสุโภเมื่ออายุราว ๔๐ ปี ก็ได้เกิดจุดเปลี่ยนในชีวิตที่ทำให้ท่านหันมาสนใจปฏิบัติกรรมฐานอย่างจริงจัง
ครั้งนั้น ท่านเป็นเจ้าภาพทอดกฐินที่เมืองลาว ในงานมีมหรสพต่าง ๆ มากมาย เช่น หมอลำ ภาพยนตร์ ท่านได้ตกลงกับภรรยาว่า การใช้จ่ายต่าง ๆ ตลอดจนการจัดอาหารเลี้ยงแขก ยกให้เป็นหน้าที่ของภรรยา ส่วนตัวท่านเองจะรับอุโบสถศีลและรับแขกทางไกล
ครั้นถึงเวลาเช้า ภรรยาของท่านมาถามว่าจะต้องจ่ายค่าหมอลำเป็นจำนวนเท่าใด ซึ่งทำให้ท่านรู้สึกโกรธมาก ท่านเล่าความรู้สึกตอนนั้นว่า
"มันหนักจนลุกแทบจะไม่ได้ ... มันตำเข้าในใจ" แต่ท่านก็ข่มอารมณ์ไว้และตอบด้วยสีหน้าปกติว่าเป็นหน้าที่ของภรรยา
อย่างไรก็ตาม ความโกรธนั้นยังคงคุกรุ่นในจิตใจของท่าน
เมื่อเสร็จงานกฐินแล้ว ระหว่างรับประทานอาหารมื้อเย็นกับภรรยา ท่านจึงเปรยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นตอนเช้าว่า
"คนไม่รู้จักเคารพนับถือก็อย่างนี้แหละ!"ท่านกล่าวซ้ำหลายหนจนภรรยาเอะใจ เมื่อสอบถามจนรู้ว่าสาเหตุเกิดจากอะไรก็พูดขึ้นว่า
"เจ้าไม่พอใจล่ะสิ ... โอ! เจ้าตกนรกแล้ว แม้ทำกองกฐินก็บ่ได้บุญดอก"!!
คำพูดของภรรยากระทบใจท่านมาก ทำให้ได้คิดขึ้นมาว่า การทำบุญให้ทานนั้นไม่ได้ช่วยให้ท่านหายทุกข์เลย ... ท่านจึงหันมาสนใจการทำกรรมฐาน และตั้งใจว่า
"หากยังเอาชนะความทุกข์ไม่ได้ก็จะไม่เลิกละการทำกรรมฐาน"นับแต่นั้นมา ท่านได้ตัดสินใจว่าจะเลิกทำมาค้าขายเพื่อทำกรรมฐานอย่างเดียว แต่กว่าจะสะสางการงานและจัดการเรื่องเงินทองต่าง ๆ จนแล้วเสร็จก็ใช้เวลาถึงสามปี จากนั้นท่านก็แสวงหาครูบาอาจารย์เพื่อแนะนำการปฏิบัติธรรม แต่ก็ไม่พบวิธีที่จะช่วยแก้ทุกข์ของท่านได้
จนในที่สุด ท่านได้ทดลองปฏิบัติตามแบบของท่านเองด้วยการยกมือเคลื่อนไหวเป็นจังหวะ...พร้อมกับมีสติรู้กายตามไปด้วย ในยามที่ใจเผลอไปคิดนึกเรื่องราวต่าง ๆ ก็มีสติรู้ทันอาการของใจ แล้วพาใจกลับมารู้กาย จนเกิดความรู้สึกตัวอย่างต่อเนื่องท่านทำเช่นนี้อยู่นาน ... จนกระทั่งเช้าวันหนึ่ง ขณะที่กำลังนั่งเจริญสติอยู่ จู่ ๆ แมงป่องแม่ลูกอ่อนตัวหนึ่งก็ตกลงมาที่ขาของท่าน แล้วลูกของมันก็ออกมาวิ่งตามขาของท่าน พอท่านเอาไม้มาแตะที่ขา แมงป่องก็เกาะไม้นั้นไว้ ระหว่างที่ท่านเอาไม้และแมงป่องไปวางไว้ที่คันนา ความเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้นที่ใจของท่าน... เกิดปัญญาเห็นรูปนาม รู้สมมติ และเข้าใจไตรลักษณ์ ... เมื่อถึงตอนเย็นก็เกิดความเปลี่ยนแปลงอีกจนท่านรู้ชัดในอริยสัจและปรมัตถสภาวะ
นับแต่วันนั้น ท่านก็มั่นใจว่าได้พบสิ่งที่แสวงหามานาน ความทุกข์ใจที่เคยมีดับไปอย่างสิ้นเชิง ท่านจึงหยุดการแสวงหา และเริ่มแนะนำญาติมิตรให้รู้จักการเจริญสติด้วยวิธีดังกล่าว
ในเวลาต่อมาก็มีคนมาเรียนกับท่านมากขึ้น ซึ่งทำให้ท่านเห็นถึงข้อจำกัดของเพศคฤหัสถ์ในการสอนผู้คน ในที่สุดจึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๓ ด้วยวัย ๔๘ ปี
เป็นเวลา ๒๘ ปี ที่ท่านสอนลูกศิษย์อย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อยด้วยวิธีการที่เป็นแบบฉบับของท่านเอง ... จนกระทั่งมรณภาพเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๑ สิริรวมอายุได้ ๗๗ ปี
จาก
http://panyayan.tnews.co.th/contents/203787/เพิ่มเติม
อัตโนประวัติ หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ ปรีชาญาณของผู้ไม่รู้หนังสือhttp://www.tairomdham.net/index.php/topic,12016.0.htmlhttp://www.sookjai.com/index.php?topic=179552.0https://www.youtube.com/v/yy_UZGFL9bY