ผู้เขียน หัวข้อ: บทเรียนจากความทุกข์ของ น้ำ – ปริษา ปานะนนท์  (อ่าน 3188 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด


บทเรียนจากความทุกข์ของน้ำ – ปริษา ปานะนนท์ (ตอนที่ 1)

ในวัยเรียน ชีวิตของเราผ่านแบบฝึกหัดมามากมายเพื่อทำให้เรากลายเป็นคนเก่ง…

ในวัยผู้ใหญ่ บทเรียนในชีวิตของเราต่างไปจากเดิมมีทั้งยากมีทั้งง่ายปะปนกันไป แต่ยิ่งผ่านบทเรียนในชีวิตไปได้มากเท่าไร ก็ทำให้เราเกิดปัญญา เข้าใจความทุกข์ความสุขที่ผ่านเข้ามาในชีวิตมากขึ้น

บางอย่างเราคิดว่ายากแล้ว ทุกข์แล้ว แต่แทบไม่น่าเชื่อว่าสิ่งที่กำลังทุกข์กว่าอาจกำลังรอเราอยู่ เพื่อให้เราได้พิสูจน์ตัวเองและผ่านมันไปให้ได้

ชีวิตของ น้ำ (ปริษา ปานะนนท์) ก็เช่นเดียวกัน ไม่ได้สนุกสนานเฮฮาตลอดเวลาเหมือนโฆษณายอดฮิต “สมศรี…อยู่มา 5 ปี” ที่น้ำเคยถ่ายโฆษณาไปเมื่อหลายปีก่อน และไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบอย่างที่ใครหลายคนคิด บางช่วงบางตอนของชีวิตน้ำก็ได้ประสบพบเจอกับบทเรียนอันมีค่าที่ค่อยๆ หล่อหลอมให้น้ำเข้าใจความไม่สมบูรณ์แบบของชีวิต



ต้นทุนความรักจากครอบครัว

น้ำถือว่าตัวเองโชคดีมากที่เกิดมาในครอบครัวที่อบอุ่น มีคุณพ่อ(ทวีศักดิ์ ปานะนนท์) และคุณแม่ (นพพร ปานะนนท์) ที่รักและเอาใจใส่ในทุกรายละเอียด แม้ว่าคุณพ่อจะเป็นนักธุรกิจที่มีภารกิจมากมายในแต่ละวัน แต่ใน 365 วันอาจมีเพียงแค่ 5 วันเท่านั้นที่คุณพ่อไม่กลับมาทานข้าวที่บ้าน ท่านมีความเป็นแฟมิลี่แมนสูงและรักครอบครัวมาก ส่วนคุณแม่รับราชการที่สำนักงานสถิติแห่งชาติ

ในขณะที่คุณพ่อเป็นคนจริงจัง ทำอะไรต้องวางแผน มีเป้าหมายมีการวัดผลทุกอย่าง แต่คุณแม่เป็นคนอบอุ่น อ่อนหวาน ทั้งเช้าและเย็นทำหน้าที่ไปรับไปส่งลูกสาวสี่คน (น้ำเป็นลูกคนที่สาม) ไปโรงเรียน ตอนเย็นหลังเลิกงานก็กลับมานั่งปอกผลไม้ คั้นน้ำส้มให้สามีและลูกๆ ทานทุกวันจนกลายเป็นภาพชินตาของน้ำ แม้วันนี้ท่านจะจากไปแล้วก็ตาม แต่ความรักความอ่อนโยนของท่านก็ยังติดอยู่ในความทรงจำของน้ำเสมอมา

เมื่อเล่าถึงครอบครัว น้ำอยากเล่าถึงความประทับใจที่มีต่อคุณพ่อคุณแม่และพี่น้อง ซึ่งทำให้น้ำผ่านเรื่องราวต่างๆ มาได้อย่างเข้มแข็ง โดยเฉพาะคุณพ่อที่ทำให้น้ำกลายเป็นคนที่มีความพยายามสูง มีความอดทน และไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคปัญหา
 

คุณพ่อ…โค้ชผู้ฝึกบทเรียนชีวิต

คุณพ่อเป็นคนที่มีคติประจำใจว่า “ทำอะไรแล้วต้องทำให้ดี ถ้าทำไม่ดีไม่ต้องทำ” ดังนั้นทุกอย่างในชีวิตของพวกเราสี่คนพี่น้องจึงเป็นเรื่องที่เอาจริงเอาจังแทบทุกเรื่อง ตอนเรียนภาษาอังกฤษคุณพ่อก็ซื้อเทปซื้อหนังสือมาให้ จ้างครูฝรั่งมาสอนที่บ้าน เมื่อเริ่มโตก็ให้ลูกๆ เรียนเปียโนตอนปิดเทอม ซ้อมกันวันละ 6 – 8 ชั่วโมง แถมยังต้องอัดเทปให้คุณพ่อฟังตอนเย็นทุกวัน ส่วนทุกเย็นวันอาทิตย์ครอบครัวเราก็จะไปเล่นแบดมินตันด้วยกัน โดยช่วงแรกที่เล่นใหม่ๆ คุณพ่อให้นักกีฬาทีมชาติมาสอน (บอกแล้วว่าเอาจริง)

เวลาไปเที่ยว คุณพ่อก็เป็นนักวางแผนอีกเช่นเคย ถ้ามีเวลาท่านจะพาพวกเราไปเที่ยว แต่มีข้อแม้ว่า ระหว่างการเดินทางห้ามหลับเด็ดขาดเพราะถ้าหลับก็เหมือนเป็นการปิดโอกาสที่จะได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัว คุณพ่ออยากให้เราได้เรียนรู้จากของจริงที่อยู่นอกห้องเรียนบ้าง เช่นไปเมืองย่าโม โคราช หรือไปอยุธยา ท่านก็จะเล่าประวัติศาสตร์พร้อมภาพประกอบ (จริง) ให้เราฟัง จนทุกวันนี้น้ำคิดว่าส่วนหนึ่งที่เรารู้จักเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของเมืองไทยเยอะแยะมากมายก็เพราะคุณพ่อ

แม้กระทั่งไปเที่ยวทะเล ท่านก็ยังวางไว้เรียบร้อยแล้วว่า หกโมงเช้าต้องลุกขึ้นมาออกกำลังกาย พอสายๆ ก็ให้ลูกๆ ว่ายน้ำกันจนเหนื่อย หลังจากนั้นก็กินให้เยอะๆ เรื่องกินนี่ต้องยกให้คุณพ่อเป็นนักกินและนักสรรหามือหนึ่งก็ว่าได้ อย่างกะปิจะมาจากจังหวัดหนึ่ง ปลาทู ปลาเค็มก็มาจากอีกจังหวัดหนึ่ง ท่านใส่ใจในรายละเอียดมาก ดังนั้นเวลาคุณพ่อซื้อของฝากไปฝากญาติๆ ในช่วงเทศกาลต่างๆ จึงเป็นที่ถูกอกถูกใจมาก

แม้ความจริงจังของคุณพ่อจะทำให้น้ำเครียดบ้าง เบื่อบ้างในบางครั้งตามประสาเด็ก แต่เมื่อนึกย้อนไปแล้วกลับรู้สึกขอบคุณท่านเป็นอย่างมาก เพราะสิ่งที่ท่านทำทุกอย่างช่วยฝึกความมุ่งมั่นอดทนให้เรา จนทำให้น้ำมีวันนี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้น บางสิ่งบางอย่างที่ท่านสอนก็หาไม่ได้ที่ไหนอีกเหมือนกัน อย่างเช่นเรื่องนี้

ด้วยความที่คุณพ่อและคุณแม่เป็นคนหวงลูกสาว ท่านก็จะไม่ให้เราสี่คนพี่น้องไปนอนค้างบ้านเพื่อน แต่ท่านจะยินดีมากที่เพื่อนๆ ของลูกมาทำงาน เรียน ซ้อมกีฬาสี หรือทำกิจกรรมต่างๆ ที่บ้านของเรา ดังนั้นทั้งเพื่อนของพี่ๆ เพื่อนของน้ำ เพื่อนของน้องก็จะรู้จักบ้านเราเป็นอย่างดีหรืออาจเรียกได้ว่าเด็กๆ ทั้งโรงเรียนราชินีรู้จักบ้านของเราก็ว่าได้

จนกระทั่งวันหนึ่ง เมื่อน้ำและเพื่อนๆ โตพอที่จะรู้อะไรมากพอแล้วคุณพ่อก็จัดการขนแอลกอฮอล์สารพัดชนิดมาวางไว้แล้วบอกว่า “ดื่มเข้าไปเลยลูก เป็นลูกผู้หญิง ต้องดื่มให้เป็น ต้องรู้จักขอบเขตของตัวเอง เวลาไปดื่มสังสรรค์ข้างนอกจะได้ไม่ถูกใครหลอก” ทั้งหมดนี้

นี่แหละคือคุณพ่อของน้ำที่คงจะหาไม่ได้ที่ไหนอีกแล้ว



พรสวรรค์ VS พรแสวง

ช่วงเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 5 น้ำเคยได้รับทุนเอเอฟเอสไปประเทศอิตาลี 1 ปี ทำให้ได้รับประสบการณ์ดีๆ ในชีวิต ได้อยู่กับตัวเองและฝึกให้มีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น อย่างไรก็ตาม น้ำไม่ใช่คนเรียนเก่ง ชนิดที่ไม่ต้องใช้ความพยายามก็สอบได้เกรดดี อาจเรียกได้ว่าเป็น “เด็กเรียน” คนหนึ่ง แต่ไม่ถึงขั้นได้เกรด 4 ทุกวิชา

วิชาที่น้ำชอบมากคือวิชาด้านภาษา ส่วนวิชาที่เกลียดที่สุดคือวิชาคำนวณ ซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมามาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นเมื่อสอบเข้าเรียนต่อในคณะอักษรศาสตร์ เอกภาษาอิตาลี ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยน้ำจึงดีใจมาก เพราะไม่ต้องเรียนวิชาคณิตศาสตร์อีกต่อไป

ก่อนเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย คุณพ่อคุณแม่พูดเตือนน้ำว่าชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยไม่เหมือนกับตอนมัธยม เราจะมีอิสรเสรีมากขึ้นโดดเรียนก็ไม่มีใครว่า เพราะฉะนั้นถ้าจะทำอะไรก็อย่าให้เสียการเรียนการเรียนต้องมาก่อน ด้วยความที่น้ำรักคุณพ่อคุณแม่มาก เราก็ไม่อยากทำให้ท่านเสียใจ เทอมแรกที่เข้าสู่ชีวิตมหาวิทยาลัย น้ำก็เรียนไปตามปกติ แต่ผลที่ออกมากลับดีเกินคาด น้ำสอบได้ A ทุกวิชาทั้งที่ตอนเรียนในระดับมัธยมไม่เคยได้ 4 ทุกวิชามาก่อน

ตอนนั้นหัวใจน้ำพองฟูด้วยความดีใจ คิดว่า “นี่ขนาดไม่ตั้งใจ ยังได้เลย” เมื่อเทอมแรกได้แล้ว เทอมต่อๆ ไปเราก็ต้องพยายามรักษาเกรดนี้ไว้ให้ได้อีก ที่สุดน้ำก็เรียนจบด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่งเหรียญทอง ได้เกรด A เกือบหมดทุกวิชา ได้เกรด B แค่วิชาเดียว

ในเรื่องเรียนและทุกๆ เรื่อง คุณพ่อมักจะพูดเสมอๆ ว่า “พ่อไม่เชื่อว่าในโลกนี้มีคนที่มีพรสวรรค์ แต่พ่อเชื่อเรื่องพรแสวง” คือต่อให้คุณไม่เก่ง แต่มีความพยายามก็จะไปถึงเป้าหมายได้ ดังนั้นการเรียนดีของน้ำจึงไม่ได้มาจากความโชคดี แต่มาจากความตั้งใจ ขยัน ก่อนเข้าเรียน น้ำอ่านหนังสือก่อนทุกครั้ง สงสัยก็ถามคุณครูในห้องเรียนหลังกลับจากเรียนก็อ่านทบทวน ก่อนสอบก็อ่านหนังสืออีก 3 รอบ น้ำทำแบบนี้ทุกครั้ง

แต่แล้ววันหนึ่ง จากคนที่ได้เกียรตินิยมเหรียญทอง เมื่อเรียนต่อในระดับปริญญาโท หัวใจที่เคยพองฟูกลับแฟบลงไปเหมือนลูกโป่งโดนปล่อยลม 2 ปีของการเรียนทำให้น้ำรู้สึกราวกับ “ตกนรก”…

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

จาก http://www.secret-thai.com/article/3594/parisa1/



บทเรียนจากความทุกข์ของน้ำ-ปริษา ปานะนนท์ (ตอนจบ)

“ในดี มีเสีย ในเสีย มีดี”…หลวงพ่อชาเคยเทศน์ไว้เมื่อนานมาแล้ว

น้ำ (ปริษา ปานะนนท์) พบธรรมะข้อนี้ของท่านในหนังสือ ธรรมะติดปีก ที่เขียนโดย ท่าน ว.วชิรเมธี เมื่อ 5 – 6 ปีก่อน จากข้อความเรียบง่ายนี้ หลวงพ่อชาขยายความหมายไว้ว่า ที่ที่มีความสกปรกนั่นแหละ เราจะค้นพบความสะอาด ที่ที่มีความทุกข์นั่นแหละ เราจะค้นพบความสุข และที่ที่มีกิเลสรวมตัวกันอยู่คือจิตของปุถุชนเรานั่นแหละ เราจะค้นพบพระนิพพาน

นอกจากการอ่านหนังสือของท่าน ว.วชิรเมธีแล้ว น้ำยังมีโอกาสสนทนาธรรมกับท่านเท่าที่โอกาสจะอำนวย และแทบทุกครั้งท่านมักจะเมตตามอบหนังสือดีๆ เพื่อให้น้ำนำไปอ่าน ส่งผลให้ลูกๆ ของน้ำทั้งแนท และ นีน่า (ด.ญ.ปุณณิศา – ด.ญ.ณัชชา จันทรางกูร) พลอยได้อ่านหนังสือธรรมะไปด้วย

จากประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาน้ำพบว่า การมองโลกในแง่บวกก็คือส่วนหนึ่งของการมองโลกตามความเป็นจริงนั่นเอง เพราะว่าหากเพ่งมองทุกสิ่งอย่างพิเคราะห์ เราจะพบว่ามีความจริงทั้งสองด้านรวมอยู่ในตัวมันเองเสมอ ต่างแต่ว่าเราจะเลือกหยิบด้านใดขึ้นมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดเท่านั้น

เผชิญกับความทุกข์ครั้งแรกในชีวิต

ความทุกข์แรกที่น้ำคิดว่าหนักหนา และรู้สึกเหมือนตกนรกทั้งเป็นมาจากเรื่องการเรียน น้ำจบจากคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เอกภาษาอิตาเลียน ด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่งเหรียญทอง หลังจากทำงานในวงการบันเทิงเป็นพิธีกร เล่นละคร ถ่ายโฆษณาอยู่ประมาณ 1 ปี น้ำก็ตัดสินใจเรียนต่อในระดับปริญญาโท ที่สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (SasinGraduate Institute of Business Administration of Chulalongkorn University)

ช่วงเรียนที่นี่เป็นการเรียนที่หนักมาก เรียนเทอมหนึ่งไม่เกิน5 สัปดาห์ และแต่ละวิชาที่เรียนมีอาจารย์จากเมืองนอกมาสอน เพื่อนๆที่เรียนด้วยกันส่วนใหญ่จบบัญชี วิศวะ เศรษฐศาสตร์ แต่ละคนเก่งคณิตศาสตร์กันทั้งนั้น ส่วนน้ำด้วยความที่ไม่ชอบคณิตศาสตร์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อมาเรียนที่นี่ ในการสอบกลางภาคครั้งแรกน้ำจึงสอบตก จนอาจารย์ต้องเข้ามาพูดว่า “Should we talk, Parisa ”จากคำพูดประโยคนี้ ทำให้หัวใจที่เคยพองฟูภาคภูมิใจกับผลการเรียนของตัวเองมาโดยตลอดของน้ำ หดแฟบแทบไม่เหลือความมั่นใจใดๆ

ครั้งนั้นอาจารย์เรียกไปพบและแนะนำให้ใช้ความพยายามให้มากกว่านี้ น้ำเครียดมาก เพราะนอกจากเรื่องการเรียนแล้ว ช่วงนั้นยังอกหักอีกด้วย ซ้ำร้ายงานพิธีกรที่เคยทำก็มีอันต้องหยุดชะงักลง เพราะต้องทุ่มเทเวลาให้การเรียน ทำให้รายได้พลอยหดหาย สำหรับน้ำ สภาพในตอนนั้นเรียกได้ว่าสะบักสะบอมเลยทีเดียว

แต่สุดท้ายน้ำก็สามารถผ่านมาได้ ด้วยความช่วยเหลือของเพื่อนๆที่ช่วยกันอย่างเต็มที่ รวมทั้งความรักและความเอาใจใส่จากครอบครัวโดยเฉพาะคุณแม่และพี่น้องที่คอยให้กำลังใจ จนทำให้คนที่สอบตกกลางภาคอย่างน้ำ กลายเป็นคนที่สามารถทำคะแนนได้เต็มร้อยในการสอบปลายภาค

แต่เหนือสิ่งอื่นใด การฝึกแล้วฝึกอีกในการทำการบ้านของน้ำ คือบทพิสูจน์ที่ชัดเจนว่าไม่มีใครช่วยเราได้เท่ากับตัวเราเอง ถ้าวันนั้นน้ำมัวแต่นั่งสงสารตัวเอง ก็คงไม่สามารถภาคภูมิใจได้เหมือนวันนี้ ที่สำคัญ เหตุการณ์นี้ทำให้น้ำรู้ว่า ชีวิตเราไม่ได้ทุกสิ่งทุกอย่างเสมอไปที่ผ่านมาน้ำเรียนดี ได้เกียรตินิยมเหรียญทอง ได้เข้าวงการบันเทิง มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก แต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่อยู่กับเราตลอด ชีวิตไม่ได้มีแต่ด้านดีเท่านั้น แต่มีด้านร้ายรอเราอยู่เช่นกัน และแทบไม่น่าเชื่อว่า บางครั้งด้านร้ายที่ว่านั้น ก็ร้ายยิ่งกว่าสิ่งที่เราประสบพบเจอในวันนี้อีกด้วย



ทุกข์จากการสูญเสีย

หลังเรียนจบปริญาโท น้ำทำงานฝ่ายการตลาดที่ UTV (ตอนหลังUTV รวมตัวกับ IBC กลายเป็น UBC) สักระยะหนึ่งก็พบรักกับสามี (ภูเดศ จันทรางกูร) ซึ่งทำงานอยู่ที่เดียวกัน แต่งงานได้ไม่นานน้ำก็ตั้งท้อง

น้ำเฝ้าประคบประหงมดูแลตัวเองเป็นอย่างดี ร้องเพลงให้ลูกฟังตั้งแต่เขาอยู่ในท้อง พูดคุยสื่อสารกับเขาด้วยวิธีการต่างๆ อยู่ตลอดเวลาความรู้สึกรักและผูกพันมีมากเกินบรรยาย แต่แล้วน้ำก็ต้องสูญเสียลูกคนแรกไป เพราะเขามีร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ ลูกคลอดออกมาและอยู่กับน้ำได้เพียงแค่ 4 วันเท่านั้น

ทุกคนในครอบครัวของน้ำและสามีรู้สึกเศร้าเสียใจกับเหตุการณ์นี้มาก โดยเฉพาะน้ำ ตื่นเช้ามาก็ร้องไห้ หลับไปก็ด้วยการร้องไห้ ยิ่งในวันที่นำลูกไปเผา น้ำแทบจะไม่รับรู้ใดๆ ทั้งสิ้น จดจำได้แต่เพียงว่าวันที่จะเผาลูก มีพระอาจารย์มาแสดงธรรมให้ฟัง สายตาท่านจ้องมาที่น้ำ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความเมตตาว่า “พระพุทธเจ้าสอนว่ามนุษย์เกิดมาเพื่อเรียนรู้ ตอนนี้เราก็ได้เรียนรู้ความรักของแม่ที่มีต่อลูกแล้วว่ายิ่งใหญ่เพียงใด และเราก็ได้ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดีที่สุดแล้ว…แต่สิ่งใดที่เรายึดไว้เป็นเจ้าข้าวเจ้าของ สิ่งนั้นย่อมให้ทุกข์ เขาไม่ใช่ของเรา เขาแค่มาอาศัยท้องเราเกิดแล้วก็ผ่านไปเท่านั้น”

วินาทีนั้นน้ำรู้สึกว่าประโยคที่ท่านพูดว่า “สิ่งใดที่เรายึดไว้เป็นเจ้าข้าวเจ้าของ สิ่งนั้นย่อมให้ทุกข์” ช่างเป็นคำพูดที่ดีที่สุดในชีวิตตั้งแต่เกิดมา และทำให้น้ำคลายจากความเศร้าได้มาก แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากเสียลูกคนแรกไป เมื่อท้องลูกคนที่สองและสาม (น้องแนทและน้องนีน่า) น้ำก็ยังเป็นคุณแม่ที่เครียดและเกร็งกับการคลอดลูกเป็นอย่างมาก กว่าจะผ่านไปได้แต่ละครั้ง ความรู้สึกไม่ต่างจากการถูกนำไปลานประหารเลยทีเดียว แต่โชคดีที่ทุกวันนี้ลูกสาวทั้งสองคนเป็นเด็กแข็งแรง น่ารัก ทำให้น้ำมีความสุขและยิ้มได้ในทุกวัน

การที่ต้องสูญเสียลูกอาจเรียกได้ว่าเป็นความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตของน้ำก็ว่าได้ และการสูญเสียที่ว่านี้ก็ทำให้น้ำเข้าใจความจริงของชีวิตมากขึ้นว่าการยึดติดทำให้เราเป็นทุกข์ได้มากขนาดไหน แต่หลังจากนั้นในปี 2545 น้ำก็สูญเสียคุณแม่ไปอีกคน ท่านเป็นโรคมะเร็งมากว่ายี่สิบปีและต่อสู้กับโรคร้ายนี้มาโดยตลอด คุณแม่เป็นต้นแบบของน้ำในหลายๆ ด้าน ท่านเป็นคุณแม่ที่อ่อนโยน เป็นเหมือนบ้านที่อบอุ่นท่านคอยรับฟังทุกเรื่องราวในชีวิตของลูก แม้จะมีหน้าที่การงานมากแค่ไหน แต่เพื่อลูก คุณแม่สละเวลาให้ได้เสมอ และคุณแม่อีกเช่นกันที่สอนน้ำว่า ในการใช้ชีวิตคู่ต้องใช้ความรัก ความเมตตา ความเข้าใจและให้อภัยกัน ท่านยังบอกเคล็ดลับว่า “ก่อนแต่งงานให้ลืมตาสองข้างให้กว้างๆ แต่เมื่อแต่งงานไปแล้วให้เราหลับตาลงหนึ่งข้าง” ซึ่งเป็นคำสอนที่ยังใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย…ก่อนแต่งงานเขามีข้อดีข้อเสียอย่างไร เราต้องดูให้ถ้วนถี่ แต่หลังแต่งงานไปแล้วเรื่องบางเรื่องก็ควรปล่อยผ่านไปบ้าง เราจะได้ไม่ทุกข์

ปัจจุบันแม้น้ำจะไม่ได้มีโอกาสไปปฏิบัติธรรมบ่อยๆ แต่เมื่อปีที่แล้วสามีและลูกอนุญาตให้ไปปฏิบัติธรรมที่บ้านบุญ อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา การปฏิบัติของที่นี่เหมาะกับคนที่ปฏิบัติธรรมในระดับอนุบาลอย่างน้ำ คือ ไมเคร่งครัดและเคร่งเครียดจนเกินไป

นอกจากนั้น น้ำพยายามให้การทำงานในทุกขณะจิตเป็นการปฏิบัติธรรม เหมือนที่ ท่านติช นัท ฮันห์ เขียนไว้ในหนังสือ ปาฏิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ ที่พูดถึงคุณค่าของการมีสติว่า ทำให้จิตของเราตื่นอยู่เสมอ ผลที่ตามมาก็คือความสดชื่น เบิกบาน สะอาด สว่าง สงบ

แม้หน้าที่ของน้ำในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายสื่อสารการตลาดบริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด (มหาชน) จะต้องสู้รบตบมือกับปัญหามากมาย แต่น้ำเชื่อว่าการทำให้องค์กรของตัวเองเป็นองค์กรแห่งความสุขจะทำให้พนักงานทำงานอย่างมีความสุขและส่งมอบบริการที่ดีให้ลูกค้าต่อไป นอกจากนั้นการทำงานเป็นทีมเวิร์ค เมื่อเหนื่อยเราก็เหนื่อยด้วยกัน เมื่อสุขเราก็สุขด้วยกัน สิ่งที่ได้รับกลับคืนนอกจากผลงานแล้วคือมิตรภาพที่แน่นแฟ้นอีกด้วย

อาจเรียกได้ว่าธรรมะช่วยขัดเกลาจิตใจของน้ำให้มีความเมตตาและรู้จักปล่อยวางมากขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่านิสัยที่ไม่ดีบางอย่างจะหายไปเลยทันที เพียงแต่ลดน้อยถอยลงและมีสติที่จะยับยั้งชั่งใจมากขึ้นเท่านั้น

ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเราเป็นบทเรียนที่มีคุณค่าอยู่ที่ว่าคุณจะพลิกมุมไหนดูเท่านั้น แต่เชื่อเถอะว่า สิ่งใดเกิดขึ้นแล้วสิ่งนั้นดีเสมอ ส่วนจะดีอย่างไร แค่ไหน อยู่ที่การเรียนรู้ของคุณเองค่ะ

Secret Box

“คนที่ทำให้เราทุกข์ เราควรมองเขาด้วยความเข้าใจและมีเมตตาว่า เขาคงทุกข์มากกว่าเราหลายเท่า ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่นำทุกข์มาให้เรา”

หลวงพี่นิรามิสา แห่งหมู่บ้านพลัม


จาก http://www.secret-thai.com/article/3585/parisa2/
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...