ผู้เขียน หัวข้อ: "มีแค่บาตรกับจีวรก็พอแล้ว!!" ชีวิต ง่ายแต่งาม ของ หลวงพ่อชา ที่พระติดหรูจงดู  (อ่าน 2087 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด


"มีแค่บาตรกับจีวรก็พอแล้ว!!" ... ชีวิต "ง่ายแต่งาม" ของ "หลวงพ่อชา" ที่พระติดหรูจงดูเป็นตัวอย่าง!!

หลังจากที่ "หลวงพ่อชา สุภัทโท" ได้ริเริ่มบุกเบิกวัดหนองป่าพงตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๗ เป็นต้นมา วัดนี้ก็ค่อย ๆ เติบโตจนกลายเป็นสำนักปฏิบัติธรรมที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในจังหวัดอุบลราชธานี อันเป็นเหตุให้มีผู้คนหลั่งไหลมาจาริกบุญและศึกษาธรรมที่วัดนี้อย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย  ลูกศิษย์กลุ่มหนึ่งจึงมีความคิดว่า วัดหนองป่าพงควรจะมีมูลนิธิเหมือนอย่างวัดอื่นบ้างเพื่อจะได้มีทุนดำเนินงานอย่างมั่นคง

เมื่อลูกศิษย์นำความดังกล่าวไปปรึกษาหลวงพ่อชา ประโยคแรกที่ท่านตอบก็คือ

"อย่างนั้นก็ดีอยู่ ... แต่ผมคิดว่ามันยังไม่ถูกต้อง"

แล้วหลวงพ่อชาก็ให้ความเห็นว่า

"ถ้าพวกท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้วก็คงจะไม่อด  พระพุทธเจ้าท่านก็ยังไม่เคยมีมูลนิธิเลย  ท่านก็โกนหัว ปลงผม ทำอะไรเหมือนพวกเรา ท่านก็ยังอยู่ได้  ท่านได้ปูทางไว้ให้แล้ว เราก็เดินตามทางของท่าน...ก็น่าจะพอไปได้นะ"

แล้วหลวงพ่อชาก็สรุปว่า

"บาตรกับจีวรนี่แหละ...มูลนิธิที่พระพุทธเจ้าตั้งไว้ให้เรา ... กินไม่หมดหรอก!"


หลวงพ่อชา สุภัทโท

หลวงพ่อชาเป็นอยู่อย่างมักน้อยสันโดษมาก  กุฏิของท่านแทบจะโล่งเพราะมีแต่เตียงนอนและของใช้ที่จำเป็น เช่น กระโถน  ไม่มีของใช้ฟุ่มเฟือยเลย  ส่วนวัตถุสิ่งของต่าง ๆ ที่ญาติโยมนำมาถวายอยู่เสมอนั้น ท่านก็ส่งต่อไปให้ลูกศิษย์ตามวัดสาขาต่าง ๆ หมด

หลวงพ่อชาไม่เคยมีบัญชีเงินฝากส่วนตัว  ปัจจัยหรือเงินทำบุญที่ญาติโยมถวายนั้น ท่านให้เป็นของกลางทั้งหมด

"เราพอกินพออยู่แล้ว ... จะมากอะไรทำไมนะ ... กินข้าวมื้อเดียว!" ท่านว่า

บ่อยครั้งที่ญาติโยมมาตัดพ้อต่อว่า เพราะได้ปวารณาถวายปัจจัยไว้ให้หลวงพ่อชาใช้ในกิจส่วนตัว แต่ท่านก็ไม่เคยเรียกใช้สักที  ท่านเคยปรารภกับลูกศิษย์ว่า

"ยิ่งเขามาปวารณาแล้ว ผมก็ยิ่งกลัว!"



คราวหนึ่งมีผู้เอารถไปถวายหลวงพ่อชา รบเร้าให้ท่านรับให้ได้ โดยการขับรถมาจอดไว้หลังกุฏิของท่าน แล้วเอากุญแจใส่ย่ามท่านไว้  แต่ปรากฏว่าท่านไม่เคยไปดูรถคันนั้นเลย  เวลาออกจากกุฏิ ท่านจะเดินไปทางอื่น  เวลาจะไปในเมือง ท่านก็ขึ้นรถคันอื่น

หลังจากนั้นเจ็ดวัน หลวงพ่อชาก็เรียกโยมคนหนึ่งมาหาแล้วบอกว่า

"ไปบอกเขาเอารถกลับคืนไปนะ!  เอามาถวายเรา เราก็รับไปแล้ว ได้บุญแล้ว ... ตอนนี้เราจะส่งคืน มันไม่ใช่ของพระ"

อีกครั้งหนึ่ง หลวงพ่อชาจะไปวัดถ้ำแสงเพชร  ลูกศิษย์ที่มีรถส่วนตัวคันงามยี่ห้อดังต่างแย่งกันนิมนต์ให้ท่านขึ้นรถของตนซึ่งจอดเรียงรายอยู่ที่ลานวัดให้ได้  หลวงพ่อชากวาดตาดูสักครู่ก็ชี้มือไปที่รถเก่าบุโรทั่งคันหนึ่งพร้อมกับพูดว่า

"เอ้า...ไปคันนั้น!"

เจ้าของรถได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจสุดขีด...รีบเปิดประตูนิมนต์ให้หลวงพ่อนั่ง

ว่ากันว่า การเดินทางวันนั้นใช้เวลานานกว่าปกติ เพราะขบวนรถคันงามความเร็วสูงต้องค่อย ๆ ขับตามหลังรถโกโรโกโสไปโดยดุษณีภาพ!!



ที่มา : http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/lp_cha/lp-cha_38.htm

 จาก http://panyayan.tnews.co.th/contents/203590/
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...