ที่สุดแห่งพระราชปุจฉาวิสัชนาธรรม เมื่อ "ในหลวง" ทรงถาม "หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ" เขาพูดกันว่า "ผมปรารถนาพุทธภูมิ" เป็นความจริงไหมครับ ?ครั้งแรกที่
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปกราบนมัสการหลวงพ่อฤๅษีลิงดำนั้นไม่ปรากฏว่ามีผู้จดบันทึกหรือบันทึกเทปเอาไว้ แต่อาศัยความทรงจำของหลวงพ่อเองที่ท่านได้เขียนบันทึกเอาไว้ในหนังสือเรื่อง “พระเมตตา” จึงทำให้เรามีโอกาสได้รับรู้ถึงบทสนทนาธรรมที่มีเนื้อหาน่าสนใจยิ่ง โดยมีใจความสำคัญดังต่อไปนี้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว : ในแดนนี้มีผู้ก่อการร้ายมากหรือ ... มีบุคคลที่ใจแตกแยกออกไปมาก ?
หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ : ขอถวายพระพร อาตมาทราบเรื่องผู้ก่อการร้ายมากนี่ ทราบมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๙ เรื่องผู้ก่อการร้ายหรือคนที่มีคติตรงกันข้าม เขาตั้งมุมจะเล่นงานเราที่เขตอำเภอบ้านไร่ เพราะตอนนี้มันต่อกับเขตอะไรไม่ทราบ โน่น... มันจะออกไปเขตพม่าโน่น เราไม่ต้องการความแตกแยก เราต้องการสามัคคี การสร้างสถานที่ให้มีความโอ่โถงสวยสดงดงามก็เพื่อจะเป็นกำลังใจแก่บรรดาพุทธบริษัทหรือประชาชนชาวไทย และถือว่ามีความสามัคคีซึ่งกันและกัน แต่ว่าบุคคลกลุ่มหนึ่งท่านมีความสำคัญผิดไปจากนั้น เราก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว : เรื่องพระสงฆ์นี่มีความสำคัญ... อยากจะให้กฎหมายช่วยเหลือพระวินัย เพราะว่าสถาบันของศาสนาเป็นสถาบันที่ยึดเหนี่ยวกำลังใจคน คนไทยของเราทั้งหลายเป็นส่วนมาก ... ถ้าศาสนามีความมั่นคง พระศาสนาเป็นที่ยึดเหนี่ยวใจคน อยากจะให้กฎหมายสนับสนุนพระวินัย เพราะว่าถ้าพระปฏิบัติอยู่ในพระธรรมวินัยดีแล้ว จิตใจของบุคคลที่ยึดถือยึดเหนี่ยวคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าก็จะพากันมีความกลมเกลียว ประเทศชาติจะมีความสุข
หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ : อาตมาก็ปรารภอยู่เหมือนกัน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาตมาก็เคยปรารภกับอธิบดีกรมการศาสนา ... อาตมาทำอยู่แล้ว และร่วมมือกับอธิบดีกรมการศาสนา
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว : พวกเด็กๆ เขาไม่เชื่อกฎแห่งกรรม เมื่อเร็วๆ นี้ ไฟไหม้ที่สลัม สลัมจุดไหนมีไฟไหม้ขึ้นก็มีพวกเด็กๆ เขาออกหนังสือเวียน เป็นหนังสือเลย ออกประกาศโฆษณา ... ทำอย่างไรดีถึงจะให้เด็กรู้กฎแห่งกรรม ?
หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ : เวลานี้อาตมาก็หาทางจะให้คนทั้งหลายมีความเข้าใจในกฎแห่งกรรม รู้คุณค่าของพระพุทธศาสนา อาตมาก็พยายามทำ อย่างการเขียนหนังสือเรื่องของหลวงพ่อปาน มีการโลดโผนโจนทะยานเป็นกรณีพิเศษ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว : บางคนเขาจะหาว่า พระนี่เขียนหนังสือโลดโผนเกินไป จะเห็นว่าเป็นการไม่สมควร แต่แม้กระผมเองก็มีความคิดเห็นว่า ในกาลบางครั้งก็มีความจำเป็นเหมือนกันขอรับ
ผมเหน็ดเหนื่อยมาก... มีผู้มีความรู้บอกว่า ผมจะต้องเหน็ดเหนื่อยมาก คนที่มีความรู้เขาบอกว่า ผมจะไม่มีโอกาสหายความเหน็ดเหนื่อยเลย
หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ : เรื่องนี้ก็เป็นธรรมดาของพระมหากษัตริย์ที่มีพระมหากรุณาธิคุณต่อพสกนิกร บรรดาพสกนิกรมีความทุกข์ร้อนทุกข์ยากอยู่ที่ไหนก็ต้องมีความเหน็ดเหนื่อย ต้องไปเยี่ยมไปเยือน ไปให้ความสุขเขา อย่างน้อยไปให้กำลังใจ ให้ความช่วยเหลือเท่าที่จะทำได้ ... เรื่องนี้เป็นที่ประทับใจของประชากรทั้งหลายโดยทั่วไป เราปฏิเสธกันไม่ได้
ถ้าหากว่า ข้าราชการของพระองค์ (หมายถึงข้าราชการทุกคน) ปฏิบัติอย่างพระองค์บ้าง ประเทศชาติจะมีความสุข การที่จะมีผู้ก่อการร้ายหาไม่ได้แน่ เพราะเราจะไปทางไหน เราก็จะเจอะแต่ผู้ก่อการดี จงรักภักดีต่อ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต่อข้าราชการ แล้วคนทั้งหมดนั้นก็จะมีความจงรักภักดีเป็นปึกแผ่นอยู่ในแผ่นดินไทย เมืองไทยถึงแม้ว่าจะเป็นเมืองเล็ก เรามีกำลังน้อย บรรดาพุทธบริษัท ถ้าเรารวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน เต็มไปด้วยความสามัคคี ประเทศถึงแม้จะใหญ่เข้ามาโจมตีก็รู้สึกว่ายาก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะความสามัคคีนี่มีกำลังมาก ยากที่คนจะทำลายได้ ...
ถ้าหากว่า ข้าราชการของพระองค์ปฏิบัติอย่างพระองค์บ้าง เป็นผู้เสียสละ ความจริงเงินเดือนของเราก็มีแล้ว เงินเดือนทุกเดือน บรรดาพุทธบริษัทเขาให้ใช้พอเดือน แต่ที่ไม่พอเพราะไม่รู้จักปริมาณการใช้ ทะเยอทะยานมากไป เลยเมื่อมันไม่พอใช้ก็ต้องหาทางอื่นที่มันไม่ตรงกับระเบียบข้าราชการ ถ้าทุกคนอยู่ในระเบียบ อยู่ในวินัย ตัดความละโมบโลภในด้านวัตถุเสีย และทำตัวให้เหมาะสมกับระเบียบข้าราชการ นี่ทุกคนทำได้ตามแบบนี้ รับรองว่าไม่มีการแตกแยก ไม่มีผู้ก่อการร้าย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว : บรรดาประชาชนทั้งหลายทุกคน ถ้าต่างคนต่างรักษาศีล ๕ ครบถ้วน บ้านเมืองจะมีความสุข เรื่องศีล ๕ นี่เป็นของยาก คนเขาไม่ค่อยจะเห็นคุณเห็นโทษ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง...พระ พระนี่เมื่อมีความผิดแล้วก็มีอาบัติเป็นเครื่องปรับ แต่คนเขาขาดศีล ๕ ไม่มีอาบัติเป็นเครื่องปรับ เป็นของยากที่จะให้คนเห็นโทษเห็นคุณในการรักษาศีล ๕
หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ : หลวงพ่อปานท่านไม่ต้องการให้คนละศีล ๕ หลวงพ่อปานต้องการอย่างเดียวคือ ให้คนละศีล ๒
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว :(ทรงแย้มพระโอษฐ์แล้วตรัสถาม) ศีล ๒ มีอะไรบ้างขอรับ ?
หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ : ศีล ๒ ที่หลวงพ่อปานต้องการ นั่นก็คือ
๑. อทินนาทาน ต้องการให้คนไม่ลัก ไม่ขโมย ไม่คดโกงซึ่งกันและกัน ยอมรับนับถือในสิทธิสมบัติซึ่งกันและกัน
๒. หลวงพ่อปานต้องการให้คนละการดื่มสุราและเมรัย
ศีล ๒ ของหลวงพ่อปานนี้ มีความสำคัญมาก เพราะในอันดับแรก ถ้าทุกคนไม่คดโกงซึ่งกันและกันแล้ว สุขมันก็จะมีมากขึ้นมามาก ทุกคนต่างยอมรับนับถือในสิทธิ์ในสมบัติซึ่งกันและกัน แล้วอีกประการหนึ่ง ถ้าคนทั้งหลายไม่เสพสุราเมรัย จิตใจก็ทรงสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ความเร่าร้อนของประเทศชาติก็จะลดน้อยลงไป ประเทศชาติจะมีแต่ความเยือกเย็น และเมื่อ ๒ ศีล ครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว ในไม่ช้า อีก ๓ ศีล ก็ครบถ้วนบริบูรณ์
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว : (ทรงแย้มพระโอษฐ์อีก แล้วค่อยตรัสว่า) เมื่อก่อนนี้มันยุ่งเหลือเกินขอรับ มันติดอยู่ในวัตถุ ยุ่งมาก แต่เวลานี้สบายใจมากแล้ว เพราะไม่ติดในวัตถุ ... วันนี้ผมมีความสุขใจมาก ผมมีความสบายใจมาก
พระธรรมเทศนาหน้าพระที่นั่ง
ครั้งหนึ่ง หลวงพ่อฤๅษีลิงดำเคยเข้าเฝ้าแสดงธรรมเทศนาและสนทนาธรรมถวายแด่
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ณ พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ เมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๒๐ หลวงพ่อฤๅษีลิงดำได้เมตตาเล่าเรื่องราวการสนทนาธรรมในครั้งนั้น ซึ่งต่อมาได้พิมพ์ลงในหนังสือ “ธัมมวิโมกข์” ฉบับที่ ๒๑๒ ประจำเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๑ บทสนทนาธรรมดังกล่าวมีเนื้อหาที่น่าสนใจดังนี้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว : เขาพูดกันว่า “ผมปรารถนาพุทธภูมิ” เป็นความจริงไหมครับ ?
หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ : เรื่อง “ปรารถนาพุทธภูมิ” นี่ พระองค์ปรารถนามานาน แต่เวลานี้ บารมีเป็น “ปรมัตถบารมี” แล้ว ก็เหลืออีก ๕ ชาติ และที่พระองค์ปฏิบัติมามันเลยแล้ว ไม่ใช่ไม่สำเร็จ
พุทธภูมินี่ต้องบำเพ็ญกันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระองค์เป็น “วิริยาธิกะ” วิริยาธิกะนี่ต้องบำเพ็ญบารมีถึง ๑๖ อสงไขยกำไรแสนกัป นี่บำเพ็ญมาเกิน ๑๖ อสงไขยแล้ว แสนกัปอาจยังไม่ครบ จึงต้องเกิดอีก ๕ ชาติ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว : ที่หลวงพ่อก็ดี อาจารย์องค์อื่นก็ดี มักจะขู่เสมอว่า คนที่เจริญสมาธิจะต้องมีศีลบริสุทธิ์ แต่กระผมเห็นว่า ถึงแม้ว่าศีลไม่บริสุทธิ์ก็เจริญสมาธิได้
หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ : คนที่มีศีลบริสุทธิ์หรือไม่มีศีลบริสุทธิ์ก็เจริญสมาธิได้ ฝึกสมาธิได้ แต่ว่าผลย่อมต่างกัน ตอนที่คนที่มีศีลบริสุทธิ์ เขาก็มีผลอย่างคนที่มีศีลบริสุทธิ์ คนที่มีศีลไม่บริสุทธิ์ก็มีผลอย่างคนที่มีศีลไม่บริสุทธิ์
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว : พระองค์หญิงวิภาวดี (พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต) มีความหวังตั้งใจเพื่อนิพพาน เห็นว่าจะเป็นการไกลเกินไป
หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ : สำหรับคนที่ตั้งใจจริงย่อมมีผลเป็นของไม่หนักในเรื่องพระนิพพาน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว : ที่หลวงพ่อว่า ร่างกายสกปรก สมมติว่า มือผมนี่น่ะ มันสะอาดๆ ดีอยู่ ผมก็ไปหยิบของสกปรกมา เมื่อแตะต้องกับของสกปรก มันก็สกปรก แล้วผมมาล้างเสียให้มันสะอาด มันก็สะอาด ไม่สกปรก
หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ : เรื่องร่างกายสกปรกนี่ไม่ใช่เอาร่างกายภายนอกไปแตะต้องกับของภายนอกมา ให้พิจารณาส่วนภายในของร่างกายว่ามันสกปรก เช่น เลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง อุจจาระ ปัสสาวะ เสลด น้ำลาย เป็นต้น ที่มันอยู่ในร่างกาย มันสกปรก ถ้าพิสูจน์กันง่ายๆ ก็เอามีดกรีดเนื้อออกไปให้เลือดมันไหลออกมา เมื่อเลือดไหลออกมาแล้ว ถ้าเลือดมันสะอาดจริงๆ ก็ไม่ต้องล้างเลือด ถ้าหากต้องล้างเลือดออกก็แสดงว่าเลือดสกปรก
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว : หลวงพ่อขอรับ ผมว่าธาตุแท้นี่ไม่สกปรกนะขอรับ ธาตุแท้มันสะอาด
หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ : อาตมาเห็นชอบด้วยว่า “ธาตุแท้” จริงๆ ไม่สกปรก ทั้งนี้หมายถึงธาตุทั้ง ๔ ในร่างกาย ตอนที่ว่ากันถึงเรื่องร่างกายสกปรกน่ะ ว่ากันในเรื่องของ “กายคตานุสติกรรมฐาน” ก็เลยเกณฑ์สมมติขึ้น แต่ความจริง การสมมติไม่ใช่ของลี้ลับ เป็นของธรรมดาๆ ที่บุคคลจะเห็นได้ง่าย ถ้าเป็นนักสังเกตการณ์
สมมติว่า เอาแก้วมาวางไว้ลูกหนึ่ง เอาน้ำแข็งใส่ไปในแก้ว สักประเดี๋ยวหนึ่งจะมีน้ำชื้นอยู่ข้างนอก เนื้อแท้จริงๆ น้ำที่จับข้างนอกไม่ใช่น้ำแข็งที่ละลายในแก้วแล้วไหลออกไป อาศัยความเย็นของน้ำในแก้ว อาโปธาตุในอากาศจึงมาจับอยู่ที่ผิวแก้วข้างนอก อาโปธาตุอย่างนี้เป็นอาโปธาตุที่มีความสะอาดและเป็นธาตุแท้ อย่างนี้สะอาด แต่ทว่าอาโปธาตุในร่างกาย มีน้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง หรือปัสสาวะอย่างนี้เป็นต้น เป็นอาโปธาตุที่เต็มไปด้วยความสกปรก
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว : นั่นเป็นธาตุที่ปรุงแล้วนี่ขอรับ
หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ : การพิจารณาร่างกายคือธาตุ ๔ ก็ให้พิจารณาธาตุที่ปรับปรุงแล้ว มันเป็นของสกปรก มันเป็นของไม่สะอาด
จาก
http://panyayan.tnews.co.th/contents/207097/