ผู้เขียน หัวข้อ: ในหลวง ร.๙ ผู้ปรารถนาพุทธภูมิ ทรงประทับอยู่ ณ สวรรค์ชั้นดุสิต (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)  (อ่าน 3573 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด



ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ผู้ปรารถนาพุทธภูมิ ทรงประทับอยู่ ณ สวรรค์ชั้นดุสิต อันเป็นที่ประทับเดียว กับ พระศรีอาริยเมตไตรย!!



หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ พระอริยสงฆ์ที่ทุกท่านนับถือ เคยกล่าวว่าถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ว่า  “พระองค์ทรงมีกระแสจิตแรงมาก ฉันเองยังสู้ท่านไม่ได้ เรื่องปรารถนาพุทธภูมินี่ พระองค์ (ในหลวงรัชกาลที่ ๙) ปรารถนามานาน แต่เวลานี้บารมีเป็น “ปรมัตถบารมี” เหลืออีก ๕ ชาติ และที่พระองค์ปฏิบัติมามันเลยแล้ว ไม่ใช่ไม่สำเร็จ พุทธภูมินี่ต้องบำเพ็ญกันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระองค์เป็น “วิริยาธิกะ” ต้องบำเพ็ญถึง ๑๖ อสงไขยกำไรแสนกัป นี่เกิน ๑๖ อสงไขยแล้ว “แสนกัป” อาจยังไม่ครบ จึงต้องเกิดอีก ๕ ชาติ" ซึ่งในหลังจากที่พระองค์(ในหลวง รัชกาลที่๙) เสด็จสวรรคต คงจะเสด็จไปประทับในที่เดียวกับพระศรีอาริยเมตไตรย ดังเช่นที่เคยเทศสอนไว้ในหนังสือชุด “ตายแล้วไปไหน จากคำสอนของพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ)” คุณคณิตพร บุณยเกียรติ (เปี๊ยก) และคณะได้รวบรวมและจัดทำขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกเนื่องในวันคล้ายวันเกิดของหลวงพ่อฯ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม 2544  ดังนี้



“..พระศรีอาริยเมตไตรย ในสมัยพระพุทธเจ้าท่านบวชเป็นพระมีนามว่า อชิตะภิกขุ เดิมทีท่านเป็นลูกศิษย์ของพราหมณ์พาวรี ท่านไปบวชเพื่อสร้างเสริมบารมี ต่อมาเมื่อ พระนางกีสา โคตมีได้ทอจีวรด้วยมือของตนเองปรารถนาจะถวายพระพุทธเจ้า เมื่อเวลาพระนางไปถวาย พระพุทธเจ้าเรียกพระมาหมด นั่งเรียงแถวกันตามลำดับอาวุโสและคุณสมบัติ เมื่อพระนางกีสาโคตมีถวายผ้าแก่พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ส่งให้พระสารีบุตร ท่านพระสารีบุตรก็ส่งให้พระโมคคัลลาน์ ท่านพระโมคคัลลาน์ก็ส่งต่อๆ กันไปหมดจนถึงองค์สุดท้ายคือท่านอชิตะภิกขุ ท่านไม่รู้จะส่งให้ใครเพราะนั่งอยู่ท้ายสุด เป็นอันว่าท่านก็รับไว้ พระนางกีสา โคตมีก็เสียใจว่าอุตสาห์ทำเองเลือกด้ายชั้นดีมาทอกับมือเองเพื่อถวายพระพุทธเจ้า แต่พระองค์ไม่รับกลับไปให้กับพระที่ไม่ได้แม้แต่ฌานสมาบัติมากมายอะไรนัก คือว่ายังเป็นพระปุถุชนคนธรรมดา องค์สมเด็จพระบรมศาสดาทรงทราบอัธยาศัยจึงเทศนาโปรดว่า พระองค์สุดท้ายไม่ใช่พระธรรมดา ท่านอชิตะภิกขุผู้นี้ต่อไปข้างหน้าจะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง มีพระนามว่า “สมเด็จพระศรีอริยเมตไตรย” หลวงพ่อเทศไว้



ปัจจุบันนี้ท่านมาเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดุสิต วิมานท่านสวยสดงดงามมาก ท่านมีรัศมีกายสว่างมาก หน้าตาผ่องใสยิ้มระรื่นน่าชื่นใจ  ท่านได้บอกกับอาตมาเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๙ ว่า นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป อีก ๑ ล้านกับ ๒ ปี ท่านจะลงมาเกิดในเมืองมนุษย์แล้วเป็นปุโรหิต หลังจากนั้นเกิดความเบื่อหน่ายก็ออกแสวงหาพระโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า และหลวงพ่อยังย้ำไว้ว่า ผู้ที่มีสิทธิไปเกิดอยู่ชั้นดุสิตได้ ๓ พวกคือ

๑) พุทธบิดาพุทธมารดาของพระพุทธเจ้า

๒) พระโพธิสัตว์ที่มีบารมีเข้มแข็งแล้ว

๓) พระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปจึงจะอยู่ชั้นนี้ได้




จาก http://panyayan.tnews.co.th/contents/209739/





ประสบการณ์จริงจากการเวียนว่ายตายเกิดของ "หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ"!! "พระโพธิสัตว์บนสวรรค์ชั้นดุสิต" ยังคงทำหน้าที่เพื่อสรรพสัตว์อย่างแข็งขันไม่ว่างเว้น...เฉกเช่นเดียวกับเมื่อครั้งบำเพ็ญบารมีในโลกมนุษย์!!

จากการที่มีครูบาอาจารย์พระอริยสงฆ์หลายท่านได้กล่าวถึง "ในหลวงรัชกาลที่ ๙" ว่าทรงเป็นพระโพธิสัตว์ผู้ปรารถนาพุทธภูมิ และตามคติของพระพุทธศาสนาที่เชื่อกันว่า เมื่อผู้บำเพ็ญบารมีธรรมของพระโพธิสัตว์ละจากโลกมนุษย์แล้วจะไปเกิดเป็นมหาเทวดาบนสวรรค์ชั้นดุสิตอันเป็นสถานที่พำนักของเหล่าพระโพธิสัตว์เพื่อสั่งสมบารมีธรรมสำหรับการตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าต่อไปนั้น  เรื่องนี้อาจจะทำให้ใครหลายคนสงสัยว่า ระหว่างที่พำนักอยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิต พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญอะไรหรือมีกิจหน้าที่ใดที่จะต้องปฏิบัติบ้าง และกิจนั้นมีลักษณะเหมือนเมื่อครั้งที่บำเพ็ญอยู่ในโลกมนุษย์หรือไม่?



"หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ" วัดท่าซุง ได้เคยตอบคำถามในเรื่องนี้ไว้เมื่อมีคนไปถามท่าน ดังหลักฐานที่บันทึกไว้ในหนังสือเล่มหนึ่งว่า ...



ผู้ถาม : พระโพธิสัตว์ที่อยู่ชั้นดุสิตเมื่อยังไม่ตรัสรู้... อยากเรียนถามหลวงพ่อว่า ท่านมีหน้าที่การงานอย่างไรบ้างหรือเปล่าครับ?

 

หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ : ฉันยังไม่เคยอยู่ชั้นนี้เลย ... ความจริงพระโพธิสัตว์นี่หาเวลาว่างยาก  บนสวรรค์ ๖ ชั้น พระโพธิสัตว์ก็เหมือนกับพระ...ก็มีหน้าที่สงเคราะห์พวกพรหมและเทวดาด้วยการเทศน์  อย่างพระอินทร์ เวลาถึงวันขึ้น ๑๔ ค่ำ หรือวันโกนสิ้นเดือน เทวดาต้องไปประชุมกันที่เทวสภา แล้วตามปกติพระอินทร์ท่านจะไปเชิญพระโพธิสัตว์มาเทศน์  บางคราวก็หาพระโพธิสัตว์ว่างไม่ได้ พระอินทร์ต้องเทศน์เอง  พระโพธิสัตว์ท่านไม่มีเวลาว่าง  ถ้าไม่ได้ไปไหนก็ไม่ว่าง

 

ผู้ถาม : ทำอะไรครับ...หลวงพ่อ?

 

หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ : ต้องนั่งสิ!

 

ผู้ถาม : แล้วไม่ได้หลับไม่ได้นอนหรือครับ?

 

หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ : เอ... นอนหรือเปล่า... ไม่เคยเห็นนอนสักที

 

ผู้ถาม :  ลืมตาแจ๋ว...เป็นเหน็บชาแย่

 

หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ : เทวดาไม่มีประสาทปวดนะ  แล้วก็ประการที่สอง สวรรค์ก็ดี พรหมก็ดี นิพพานก็ดี ไม่มีกลางคืน ไม่มีกลางวัน และไม่มีพระอาทิตย์ ในแดนนรกก็ไม่มีกลางวันและกลางคืน ไม่มีพระอาทิตย์เหมือนกัน  ฉะนั้นก็ไม่มีคำว่าหยุด ไม่มีคำว่าพัก เพราะไม่มีคำว่าเหนื่อย  สภาวะของท่านไม่เหนื่อยเลย  หนักก็ดี กลุ้มก็ดี ไม่มีสำหรับเทวดา

 

ผู้ถาม : อย่างนั้นเขาก็มีความสบายอย่างเดียวสิครับ?

 

หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ : นั่นเขารับส่วนสบายฝ่ายเดียว  คำว่าเหนื่อยหรือเพลียไม่มีสำหรับที่นั้น เพราะท่านมีสภาวะเป็นทิพย์ ไม่มีสภาพหนัก  มนุษย์นี่มีธาตุดินจึงทำให้หนัก  ของท่านไม่มีทั้งสี่ธาตุ

 

ผู้ถาม : แล้วถ้าธาตุไม่มีนี่จะพูดจากันรู้เรื่องหรือครับ?

 

หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ : ก็พูดกันอย่างประสาไม่มีธาตุ เป็นนามธรรมที่เรียกว่า "รูปในนาม" ไม่มีของหนักอย่างเรา ก็มีสภาพคล้ายอากาศ เบา ๆ ทุกอย่าง ... ฉันตอบได้เพราะว่าฉันเคยตายมาหลายอสงไขยกัป


หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ

จาก http://panyayan.tnews.co.th/contents/209703/




คำยืนยันจากหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ!! "ในหลวงรัชกาลที่ ๙" ทรงเป็นพระโพธิสัตว์ที่ใช้ "ความเพียร" เป็นคุณธรรมนำ ... จึงยอมเหน็ดเหนื่อย และ พยายามอย่างหนักเพื่อรื้อขนสรรพสัตว์ให้พ้นจากทุกข์!!

จากบทสนทนาธรรมระหว่างหลวงพ่อฤๅษีลิงดำกับในหลวงรัชกาลที่ ๙ ที่หลวงพ่อฤๅษีลิงดำได้กล่าวไว้ว่า  ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงปรารถนา "พุทธภูมิ" มานานแล้ว และเวลานี้ก็สั่งสมบารมีถึงขั้น "ปรมัตถบารมี" แต่เนื่องจากการปรารถนาพุทธภูมิเพื่อเป็นพระพุทธเจ้านั้นต้องบำเพ็ญกันมาก และการที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงเป็น "วิริยาธิกะ" ซึ่งต้องบำเพ็ญบารมีถึง ๑๖ อสงไขย กับแสนกัปนั้น แม้จะทรงบำเพ็ญมาเกิน ๑๖ อสงไขยแล้ว แต่แสนกัปอาจยังไม่ครบ จึงต้องทรงเกิดอีก ๕ ชาติ




ระยะเวลาในการบำเพ็ญบารมีที่ยาวนานเช่นนี้ย่อมแสดงให้เห็นว่า ผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิต้องเป็นผู้ที่มีความเสียสละและความพยายามอย่างยิ่งยวดเพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์ทั้งหลายให้พ้นทุกข์

ความเสียสละและความพยายามนั้นมีมากมายขนาดไหน อาจพิจารณาได้จากคำกล่าวของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำดังต่อไปนี้ ...


"ปรารถนาพุทธภูมินี่เหนื่อย!

ฉันเคยเป็นพุทธภูมิมาก่อน ฉันรู้ว่าพุทธภูมิสู้ทุกอย่าง งานทุกอย่าง  ถ้าลาพุทธภูมิปั๊บ อารมณ์ตัด  ถ้าตัดก็ไม่ได้ทิ้งงานนะ  แต่อารมณ์ต่างกัน คือเสริมขึ้น อารมณ์มุ่งตรงเข้าตัดกิเลส  เพราะพุทธภูมิไม่ตัดกิเลส พุทธภูมิทรงฌานมากกว่า หนักไปในเรื่องฌาน  พอใช้วิปัสสนาญาณมากเข้า อารมณ์มันเบาลง ... มันต่างกัน

พระโพธิสัตว์นี่...พระอรหันต์ไม่ยอมนั่งหน้านะ...ถ้ารู้ว่าเป็นพระโพธิสัตว์จริง ๆ  ถ้าอารมณ์เข้มปั๊บ พระอรหันต์ไม่นั่งหน้า แม้พวกนั้นบวชหนึ่งวัน พระอรหันต์บวชร้อยวัน  เขาไม่นั่งหน้าพระโพธิสัตว์ เขารู้ค่า

คนที่จะเป็นพระพุทธเจ้าได้ต้องปฏิบัติเลยอรหันต์  พระสาวกปกติบำเพ็ญบารมี ๑ อสงไขย กับแสนกัปเท่านั้น  พระพุทธเจ้าปัญญาธิกะ (ใช้ปัญญาเป็นตัวนำ) ๔ อสงไขย กับแสนกัป  ถ้าจิตของเขาถึงปรมัตถบารมี เขาเลยอสงไขย-สองอสงไขยมาแล้ว ต้องเป็นอสงไขยที่ ๔ จึงจะเป็นปรมัตถบารมี

พระโพธิสัตว์เหมือนพวกเรียนวิชาครู เรียนมาเพื่อเป็นครู จะต้องเข้มแข็ง  ถ้าไปโดนสัทธาธิกะ (ใช้ศรัทธาเป็นตัวนำ) ต้องหวด ๘ อสงไขย  ถ้าวิริยาธิกะ (ใช้ความเพียรเป็นตัวนำ) ๑๖ อสงไขย

ฉันนี่วิริยาธิกะ ทำงานทุกอย่าง สบายไม่มี  สาวกภูมิก็พุ่งจริตอย่างเดียว  แต่สาวกภูมิสำหรับพวกฉันนี่เป็นวิริยาธิกะหมด  พวกตามเป็นวิริยาธิกะ  เฉพาะลูกแปดหมื่นกว่าแล้ว  พวกไม่คิดเป็นกองทัพใหญ่เลย  ถ้ายกมารวมกันนี่หลายแสนกองทัพนะ

พระโพธิสัตว์จริง ๆ เวลานี้มีเกือบแสนที่เต็มอัตรา เต็มอย่างพระศรีอาริย์น่ะ เต็มคอยคิว นั่งอยู่ชั้นดุสิต ปรารถนาพุทธภูมิ  ยังไม่พบพระพุทธเจ้าพยากรณ์ ยังไม่ถือว่ามีคติแน่นอน  ต้องพบพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์น่ะ มีคติแน่นอน  ถ้าเป็นปัญญาธิกะต้องบำเพ็ญบารมีต่อไป ๔ อสงไขย กับแสนกัป  สัทธาธิกะ ๘ อสงไขย กับแสนกัป  วิริยาธิกะ ๑๖ อสงไขย กับแสนกัป

สบายมาก... อยากเป็นไหม...?

เป็นสาวกภูมิก็พอแล้ว... รีบไปดีกว่า  แต่อย่าไปขัดคอกันนะ  ถ้าคนที่เขามีวิสัยพุทธภูมิอยู่ก็พูดกันไม่รู้เรื่องเหมือนกัน!



รูปปั้นพระโพธิสัตว์

ผู้ปรารถนาพุทธภูมิไม่มีความเป็นพระอริยะ  มีแต่ฌานโลกีย์เพื่อคุ้มครอง  จะเป็นพระพุทธเจ้าต้องพิสูจน์ทุกอย่าง ตั้งแต่อเวจีขึ้นมาต้องรู้หมด  หมายความว่า  ถ้าบารมียังต่ำขั้นฌานโลกีย์ ยังคุมไม่ถึงฌานขั้นต้น ฌานก็ไม่มั่นคง ยังมีโอกาสพลาดลงอบายภูมิ  ถ้ามีบารมีเป็นอุปบารมีก็ปลอดบ้าง-ไม่ปลอดบ้าง  ถ้าเป็นปรมัตถบารมีนี่ปลอดหมด

กว่าจะเลื้อยแต่ละบารมีนี่...โอ้โฮ! ฉันลองดูแล้ว

สำหรับท่านที่บำเพ็ญตน ปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ ปรารถนาพุทธภูมิ ต้องสร้างกำลังใจให้ถูกต้อง  มิฉะนั้น การก้าวเข้าสู่ฐานะพุทธภูมิจะไม่มีผล

การปรารถนาพุทธภูมิเป็นของดี  แต่จะต้องทำความรู้สึกไว้เสมอว่า เราปฏิบัตินี้เพื่อประโยชน์แก่ชาวโลก  เราต้องการรื้อสัตว์ขนสัตว์ที่มีความทุกข์ให้มีความสุข  จิตจะต้องคิดอยู่เสมอว่า ทุกข์ของตนไม่มีความหมาย แต่ทุกข์ของชาวประชาทั้งหลายเป็นภาระของเรา

เขาทำกำลังใจกันแบบนี้ ..."




จาก http://panyayan.tnews.co.th/contents/209748/
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...