ปริเฉทที่ 7 พุทธกิจ ในระหว่างกาลหลายปีนั้น พระเจ้าสุทโธทนะได้ทรงแต่ระทมทุกข์เศร้าโศก และยามเมื่อพระองค์ประทับอยู่ในท่ามกลางเหล่าเจ้าศากิยะทั้งปวง พระองค์สลดพระทัยด้วยการที่ไม่ได้เห็นและได้ยินเสียงพระราชโอรส ฝ่ายพระนางศรียโสธรา เมื่อพระสวามีองค์อัครบุรุษของพระนางได้พรากไปให้พระนางเป็นม่ายเสียแล้ว พระนางก็มีแต่โศกเศร้าอาดูร จนไม่รู้จักประสบพบความสำราญใน ” พระชนมชีพ ” แห่งพระนางเสียเลย และคราวใดที่มีใครมาเล่าถึงเรื่องฤาษีซึ่งมีคนเลี้ยงอูฐหรือพวกพ่อค้าพาณิช ที่ไปค้าหากำไรในเมืองไกลๆ ได้ไปพบเห็นเข้า แล้วผู้สืบข่าวของพระราชาก็ออกไปสืบแล้วนำกลับมากราบทูลว่า ได้ไปเห็นบุรุษผู้เคร่งสันโดษเดี่ยวและปราศจากที่อาศัยมา แต่ก็ไม่มีใครได้ทราบข่าวคราวของบุรุษผู้เป็นมกุฏเฉลิมเกียรติแห่งนรชาติ ของกรุงกบิลพัสดุ์อันเป็นที่เชิดชูไว้วางพระราชหฤทัยแห่งพระราชาพระราชบิดา เป็นเอกอัครเสน่หาของพระนางศรียโสธราและบัดนี้ได้เสด็จไปเสียห่างอย่างหลง ลืมเพราะกลับพระทัยหรือบางทีจะถึงซึ่งสิ้นพระชนม์เสียแล้วนั้น
ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง ในวสันตฤดู ( ฤดูใบไม้ผลิ ) ซึ่งหยาดน้ำค้างขาวดุจดังเงินแวววับอยู่บนต้นมะม่วง และเป็นฤดูซึ่งมีความอบอุ่นทั่วทั้งพื้นปฐพีนั้น พระนางศรียโสธราได้เสด็จมาประทับที่ริมแม่น้ำอันใสสะอาดแห่งอุทยานซึ่งมีน้ำ ใสสะอาดดุจแก้วเจียระไนที่มีดอกบัวเรียงรายเป็นขอบเขตนั้น อันเคยมีเงาภาพ ณ กาลก่อนซึ่งเคยเกษมสุข ขณะสอดกรจับพระหัตถ์กับพระราชบุตรหรือขณะที่ทรงจุมพิต ขอบพระเนตรของพระนางชอกช้ำไปด้วยความโหยไห้ ปรางอันอ่อนละมุนทั้งสองข้างก็ซูบลง ขอบพระโอษฐ์ซึ่งงามพริ้งก็เหี่ยวลงโดยอำนาจแห่งความเศร้าพระทัย พระเกศาอันเหลือบเป็นเงาก็ซ่อนและม้วนเสียอย่างสตรีหม้ายทั้งปวง พระนางไม่ทรงเครื่องประดับเครื่องต้นเครื่องทรงอะไรเลย และไม่มีเครื่องทรงวิจิตรใดเลย ที่อยู่กับเครื่องแต่งพระองค์ไว้ทุกข์ขาวอย่างหยาบๆ พระบาทอันงามและแน่งน้อย ก้าวดำเนินได้แต่ช้าๆ และโดยความลำบากซึ่งแต่กาลก่อนเคยก้าวว่องไวเหมือนเท้าของนางเก้ง และเบาเหมือนกลีบดอกกุหลาบ ในเมื่อพระนางได้ยินเสียงอันสุดเสน่หาแห่งพระราชสามีรับสั่งเรียกพระนางนั้น ดวงเนตรทั้งคู่ซึ่งแต่เดิมแม้นเหมือน ดวงอาทิตย์อันแวววับอยู่ในที่มืดอันแสนมืด บัดนี้เคลิ้มเหม่อเมิน และลอยแลดูอย่างไม่รู้ว่าดูอะไร ถึงทอดพระเนตรดูความพิเศษแห่งฤดูอบอุ่นซึ่งได้อุบัติขึ้นก็ดี ก็ทอดพระเนตรด้วยอาการอันกำสรด กำสรดจนหนังพระเนตรอันละมุนละไมหรี่ลงมาปิดให้ดวงพระเนตรนั้นหลับไป พระกรข้างหนึ่งถือเข็มขัดประดับไข่มุกของพระสิทธัตถะซึ่งพระนางรักษาไว้เป็น ที่ระลึก ตั้งแต่ราตรีที่พระราชสวามีเสด็จพรากไปจากพระนาง
โอ้ ! คืนร้ายเอ๋ย ? ราตรีร้าย ? มารดาแห่งทิวาวารซึ่งระทมทุกข์ ? ความรักอะไรหนอที่ร้ายยิ่งไปกว่าความรักซึ่งถูกปลิดเสียจากผู้ซึ่งตั้งใจรัก จนวาระที่สุดแห่งชีวิต พระกรอีกข้างหนึ่งของพระนางจูงพระราชโอรส โอรสของนางซึ่งงามวิเศษ โอรสซึ่งพระสิทธัตถะทิ้งไว้ให้เป็นกำนัลแก่พระนางมีนามว่าราหุล และบัดนี้มีพระชนม์ได้ 7 พรรษา พระราหุลดำเนินเคียงข้างพระราชมารดาอย่างคล่องแคล่ว ในพระทัยเบิกบานไปด้วยการที่ได้เห็นความงามแห่งโลกในวสันตฤดู
ครั้นแล้วทั้งสองพระองค์ พระมารดากับพระโอรสก็เสด็จมารีรออยู่ริมสระซึ่งเต็มไปด้วยปทุมชาติ และพระราหุลซึ่งทรงพระสรวลสำราญก็โยนข้าวให้แก่มัจฉาชาติสีเขียวและสีแดง ฝ่ายพระนางเมื่อมองดูฝูงวิหคที่บินมาอย่างรวดเร็วแล้วก็ทรงถอนพระทัยนึกว่า “ โอ้สัตว์มีปีกเจ้าเอ๋ย หากเจ้าได้พบเห็นว่าพระองค์ผู้เป็นที่รักของเราเสด็จไปซ่อนอยู่ที่ไหนแล้ว ขอจงทูลด้วยว่า ยโสธราเตรียมพร้อมอยู่เสมอที่จะตาย ยังรอแต่ให้ได้ยินตรัสแต่คำเดียว และได้สอดสวมพระหัตถ์ของพระองค์แต่ครั้งเดียวเท่านั้น ”
ก็แลในขณะที่พระนางกำลังถอนพระทัยคร่ำครวญและพระราชโอรสกำลังเล่นอยู่นั้น มีนางสนมมาทูลพระนางว่า “ ข้าแต่พระแม่เจ้า มีนายวาณิชแห่งหัสดินปุระผ่านเข้ามาทางประตูด้านใต้ นามว่าตระปุษะ และภัลลิกะ ล้วนแต่เป็นคนสำคัญซึ่งมากจากฝั่งทะเลที่มีคลื่นร้าย นำสินค้ามาขาย มีผ้าเยียระบับซึ่งงามวิเศษ มีทองสำริดอันแวววับ โถทองเหลือง งาต่างๆ เครื่องเทศ เครื่องแต่งกาย และนกแปลกๆคือขุมทรัพย์ของชนชาติต่างด้าว แต่ยังอีกอย่างหนึ่งซึ่งวิเศษกว่าสินค้าทุกๆ อย่าง สิ่งนั้นคือพระองค์ซึ่งเป็นบดีของพระแม่เจ้าและของหม่อมฉัน เขาเห็นพระองค์ องค์พระราชสวามีของพระแม่เจ้าซึ่งเป็นที่พึ่งแห่งนิคมคามทั้งปวง คือ พระสิทธัตถะอย่างไรล่ะเพคะ เขาได้เห็นพระองค์เฉพาะพระพักตร์ และได้กราบถวายบังคมพระองค์กับทั้งได้ถวายของแด่พระองค์ด้วย เพราะบัดนี้ พระองค์ได้ทรงเป็นผู้เผยพระธรรมอันวิเศษซึ่งคนทั้งโลกบูชาเคารพ มีบุญและอัศจรรย์ยิ่ง คือเป็นพระพุทธเจ้าซึ่งช่วยมนุษย์และโปรดสัตว์โลกทั้งปวง โดยพระธรรม เทศนาอันอ่อนหวานและโดยพระธรรมเมตตาอันใหญ่ประดุจท้องฟ้า ดังที่พระองค์ได้ทรงถูกทำนายไว้มาแต่ก่อนแล้วนั้น ตามที่นายวาณิชเล่าให้ฟังปรากฏดังนี้แหละเพคะ ”
ฝ่ายพระนางศรียโสธรา เมื่อได้ทรงทราบดังนั้นแล้วความปลาบปลื้มก็แล่นทั่วทั้งสรรพางค์ เหมือนดังน้ำแม่คงคาซึ่งละลายจากอาการที่แข็งอยู่ในภูเขาครั้งแรกฉะนั้น พระนางลุกขึ้นตบพระหัตถ์และทรงพระสรวล ดวงพระเนตรคลอหล่อไปด้วยอัสสุชลแล้วรับสั่งว่า “ โอ ! ไปเชิญเขามาที่หน้าม่าน ( ในประเทศอินเดียฝ่ายเหนือ สตรีชั้นสูงไม่ยอมแสดงให้คนต่างประเทศหรือผู้อื่นเห็น เพราะฉะนั้นจึงต้องอยู่ในม่าน ) เพราะหูของเราซึ่งกระหายเหมือนคนที่คอแห้งอยากดื่มข่าวอันน่าบูชานั้นอย่าง ยิ่งแล้ว จงไปเชิญเขามา เราจงบอกเขาด้วยว่าถ้าคำพูดของเขาถูกต้องจริง เราจะรางวัลทองคำและเพชรนิลจินดาซึ่งมีค่าควรพระราชาทั้งหลายมีประสงค์อยาก จะได้ ฝ่ายหล่อนผู้มาบอกแก่เราจงกลับมาด้วยนะจ๊ะ เพราะหล่อนก็จะได้รับรางวัลในโอกาสคราวนี้เพื่อเป็นเครื่องแสดงความขอบคุณ อันพึงมีในใจของเรา ”
เมื่อดังนั้นแล้ว นายวาณิชทั้งสองก็ไปยังพระตำหนักอันเกษมศานต์และเดินอย่างช้าๆ ไปตามวิถีอันงดงามด้วยเท้าเปล่าในท่ามกลางนางสาวทั้งปวงที่มองดูเขาผู้ซึ่ง ตื่นเต้นด้วยความรุ่งโรจน์แห่งราชสำนักนี้ เมื่อเขาทั้งสองได้มาถึงม่านแล้วก็ได้ยินพระสุรเสียงอันอ่อนโยนลั่นและ ไพเราะถามมาว่า “ ท่านผู้มีการุญภาพ ท่านมาจากเมืองไกล และท่านได้เห็นพระองค์พระสวามีของข้าพเจ้า แล้วท่านได้บูชาพระองค์ ด้วยเหตุว่าพระองค์ได้เป็นพระพุทธเจ้าซึ่งโลกทั้งมวลเยินยอพระองค์เป็นผู้มี บุญและผู้ช่วยมนุษย์ให้พ้นทุกขเวทนา และเวลานี้ พระองค์ก็กำลังเสด็จไปสู่ที่เหล่านี้ ขอท่านได้เล่าให้ฟังทีเถิด เพราะหากเป็นความจริงดังนั้นแล้ว เราขอเป็นมิตรแห่งราชสำนักของเรา เป็นมิตรที่เรานับถือยินดีรับรอง ”
ตระปุษะจึงทูลว่า “ ข้าแต่พระนางเจ้า ข้าพเจ้าได้เห็นพระองค์ผู้ทรงพระบารมีนั้นจริง ข้าพเจ้าได้ถวายบังคม ณ พระบาทยุคลของพระองค์ เพราะเหตุว่าพระองค์ซึ่งแต่เดิมเป็นแต่เพียงเจ้าชายนั้น บัดนี้ทรงปุญญานุภาพใหญ่ยิ่งกว่าพระราชาทั้งปวงแล้ว ณ ใต้ต้นโพธิ์ที่ริมฝั่งแม่น้ำผัลคู การกระทำอันสามารถช่วยมนุษยโลกได้ นั้น บัดนี้ได้สำเร็จแล้วโดยความพากเพียรของพระองค์ผู้เป็นมิตรและและเจ้าแห่ง มนุษย์ทั้งปวง พระองค์ซึ่งเป็นของพระนางมากกว่าใครๆ ซึ่งพระนางต้องโศกาดูรนั้นมีค่าแก่โลกคือ โลกได้ฟื้นเพราะพระธรรมเทศนาขององค์พระศาสดา ขอได้ทรงฟังเถิด พระองค์ทรงสุขสบายเหมือนบุคคลผู้ชนะแล้วเหนือความชั่วทั้งปวง
พระองค์เป็นพระเจ้าซึ่งหลุดพ้นแล้วจากความแร้นแค้นทั้งปวงแห่งโลก ผ่องใสในความจริง ซึ่งได้มาปรากฏแล้วแก่พระองค์อย่างบริสุทธิ์ งามจริงเมื่อพระองค์เสด็จไปตามเมืองต่างๆ ได้ทรงสั่งสอนด้วยวิธีอันสุขุม ( คือแสดงพระธรรมเทศนา ) ซึ่งนำมาซึ่งความสงบสันติภาพ กระทำให้มนุษย์ทั้งปวงเจริญตามวิถีทางของพระองค์ เหมือนดังใบไม้ที่มารวมกันเข้าเป็นกองด้วยอำนาจแห่งลม หรือเหมือนปศุสัตว์ที่เดินตามผู้รู้จักที่ๆ มีธัญญาหาร ข้าพเจ้าเหล่านี้ก็เหมือนกัน ข้าพเจ้าได้สดับฟังมธุรธรรมเทศนาอันวิเศษของพระองค์ พระองค์คงจะเสด็จมาถึงนี่ก่อนฤดูฝนจะเริ่มตกในครั้งแรก ”
เมื่อนายวาณิชทูลดังนี้แล้ว พระนางศรียโสธราก็ตันตื้นไปด้วยความปลาบปลื้มยินดีจนพระนางสามารถรับสั่งตอบได้แต่เพียงว่า “ จงมีความสุขเถิด ทั้งในบัดนี้และเสมอไป ท่านผู้มีไมตรีอันควรนับถือ ท่านผู้ซึ่งนำข่าวดีมาแจ้งแก่เรา แต่ก็ความบำเพ็ญเพียรอันใหญ่ยิ่งนั้น ท่านรู้ไหมว่าได้บรรลุถึงซึ่งผลสำเร็จอย่างไร ”
ภัลลิกะจึงทูลตามที่ได้รับทราบจากการบอกเล่าของพวกชาวหุบเขาถึงเรื่องพระ พุทธองค์ทรงผจญในยามราตรีกาลซึ่งอากาศวิปริตมืดมัวด้วยอุบายของพวกปิศาจซึ่ง พื้นแผ่นดินหวั่นไหว น้ำได้ท่วมขึ้นด้วยอำนาจแห่งความกริ่งโกรธของพระยามาร กับภัลลิกะได้เล่าถึงการที่พระบารมีของพระองค์ได้เปล่งปลั่งออกเป็นรัศมีอัน เป็นที่พึงหวังแห่งมนุษย์ทั้งหลาย กับการที่พระองค์ได้ประสบแล้วซึ่งความสำราญอยู่ใต้ต้นโพธิ์นั้น ภัลลิกะทูลต่อไปว่า “ แต่นั่นแหละการที่พระองค์บำเพ็ญเพียรทำเพื่อช่วยโลกนี้ก็อุปมาเหมือนหนึ่ง ว่า ภาระนี้หนักเหมือนก้อนทองทับอยู่เหนือดวงพระหฤทัย เพราะพระองค์จักต้องทำพระองค์ให้พ้นจากกิเลสรบกวนต่างๆ และความสงสัยเพื่อนำไปสู่ฝั่งแห่งความจริงโดยสวัสดิภาพ เพราะพุทธเจ้าทรงตรึกตรองว่าทำไมมนุษย์ซึ่งชอบบาปของตนและลุ่มหลงด้วยรูป เสียงกลิ่นรสอันเป็นเท็จตั้งพันประการนั้นจึงจะฉลาดพอที่จะมองดูและมีพละ กำลังพอที่จะหักความพันพัวแห่งกามที่ผูกมัดตนนั้นได้
ทำอย่างไรมนุษย์จึงเรียนรู้นิทานทั้ง 12 ( คือกำหนดความเป็นอยู่ที่พัวพันโดยกฎของเหตุกับผลตามความสังเกตอันเป็นหลักก็ คือปรากฏว่า ทุกข์ติดพันอยู่กับธรรมชาติ ต้นเหตุของทุกข์คือความเกิด คือความยึดถือ ต้นเหตุของความยึดถือคือความอยาก ความอยากเกิดจากความรู้สึกซึ่งเนื่องจากความสัมผัส ความสัมผัสเนื่องจากเส้นประสาทๆ เกิดจากรูปกายซึ่งมีนามกำหนด < นามรูป > ซึ่งเกิดจากวิญญาณ วิญญาณเกิดจากดำริซึ่งเกิดจากความโง่ ( อวิชชา ) เพราะฉะนั้นต้องกำจัดตัวอวิชชาเสียเพื่อถึงซึ่งบรมสุขอย่างยอดเยี่ยม ) และบัญญัติที่อาจให้พ้นทุกข์ได้ ซึ่งดูๆ ก็น่าเกรงขามเพราะความใหม่ เช่นเดียวกับนกที่เคยกรง รู้สึกหวั่นไหวในเมื่อประตูเปิดอ้าไว้ ถ้าดังนี้เราก็คงจะไม่สมกับผลแห่งความมีชัย หากว่าในพิภพนี้ไม่มีที่พึ่งคือพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นองค์ผู้หาหนทางพบแล้ว แต่หากทรงคาดว่าหนทางนี้กันดารเกินไปสำหรับเท้ามนุษย์ผู้ไม่ยั่งยืนและหาก พระองค์ได้ข้ามพ้นไปแล้วโดยไม่มีใครเดินตามพระองค์เลย
ก็การที่พระพุทธองค์ของเราทรงพิจารณาเช่นนี้นั้น พระองค์ทรงพิจารณาโดยเมตตาคุณของพระองค์ แต่ ณ วาระนั้นมีเสียงแหลมดุจดังเสียงสตรีคลอดบุตรปรากฏขึ้นเสมือนหนึ่งว่าแผ่นดิน ซึ่งหวั่นไหวแล้วครวญครางว่า “ เรานี้ไม่รอดย่างแน่นอนเสียแล้ว คือเรากับธรรมชาติทั้งหลายของเรานี้ ”
ครั้นเมื่อเสียงนั้นเงียบสงบลง ลมตะวันออกก็รำเพยเป็นศัพท์สำเนียงว่า “ โอ พระองค์ผู้มีบุญ ขอพระองค์จงสำเร็จในการเผยแผ่ข้อบัญญัติของพระองค์เถิด ” พระศาสดาจารย์เจ้าทรงทอดพระเนตรดูธรรมชาติทั้งปวง พระองค์ทรงเห็นธรรมชาติซึ่งบ้างก็เชื่อฟังพระบัญญัติของพระองค์ทันที และบ้างก็ยังจะต้องรอต่อไป เฉกเช่นดวงอาทิตย์อันแรงกล้าซึ่งโชติช่วงอยู่เหนือหนองน้ำซึ่งเต็มไปด้วย ปทุมชาติ แลเห็นดอกปทุมชาติบางดอกเตรียมพร้อมที่จะแย้มกลีบเพื่อรับรัศมีของดวง อาทิตย์นั้นบ้าง และดอกใดบ้างที่ยังไม่แตกกลีบบานก้าน ฉะนั้นเมื่อทรงเห็นดังนี้ พระองค์จึงทรงแย้มตรัสว่า “ นั่นแหละ เราจะสั่งสอนแต่ผู้ซึ่งตั้งโสตสดับเพื่อศึกษาในบัญญัติของเรา ”
“ ครั้นแล้ว ” เขาเล่าต่อ “ พระองค์ก็เสด็จข้ามเขาต่างๆ แล้วเสด็จเข้ายังนครพาราณสีซึ่งพระองค์ทรงสั่งสอนฤาษีทั้ง 5 ( คือปัญจวัคคีย์ ) โดยทรงแสดงให้ปรากฏว่าชีวิต ( ความดำรงชีพ ) กับความตายนั้นย่อมถูกทำลายลงไปได้อย่างไร และมนุษย์ย่อมไม่ได้รับโชคอะไรอื่น นอกจากโชคซึ่งได้ผลจากความประพฤติก่อนๆ ที่ล่วงมาแล้วของตนนั้นอย่างไร ไม่มีนรกใดนอกจากนรกซึ่งตนเองเป็นผู้กระทำขึ้น ไม่มีสวรรค์ใดเลยที่จะสูงยิ่งสำหรับผู้ที่ชนะแล้วซึ่งราคะตัณหาทั้งปวง ” พระองค์ทรงสั่งสอนดังนี้ เมื่อวัน 15 ค่ำ เดือนไพศาขะ ( หรือวิสาขะ เทียบปลายเดือนพฤษภาคมจนถึงต้นเดือนมิถุนายน ) ณ ท่ามกลางแห่งเวลาเที่ยงแล้วและในคืนนั้นพระจันทร์เพ็ญเต็มดวง
ก็แลฤาษีทั้ง 5 รูปนั้น รูปที่ 1 นามว่า เกาณฑินยะ ( โกณฑัญญะ ) ได้บรรลุถึงความจริง คืออริยสัจทั้ง 4 แล้วก็ได้สำเร็จพระอรหัตต์ และต่อมาจากเกาณฑินยะ ก็คือ ภัทริกะ ( ภัททิยะ ) อัศวะชิต ( อัสสชิ ) บาษปะ ( วัปปะ ) มหานาม ก็ได้สำเร็จเช่นเดียวกัน ต่อมาเจ้าชายยะศัท ( ยสกุลบุตร ) กับสุภาพบุรุษ 54 คนซึ่งนั่งอยู่ข้างพระบาทของพระพุทธเจ้า ที่ในสวนกวางทราย ( อิสปตนะ มฤคทายวัน ) “ เมื่อได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระองค์แล้วก็มีจิตเลื่อมใสบูชาและปฏิบัติตามพระ องค์ เพราะการที่มีความสันติภาพและวิทยาศาสตร์อันสมัยใหม่นั้น เมื่อเผยแผ่แก่มนุษย์ดังนี้ย่อมเป็นสิ่งที่ตรึงตราในดวงใจของผู้ใดซึ่งเชื่อ ฟัง เฉกเช่นบุปผชาติและต้นไม้ต้นหญ้างอกขึ้นเมื่อมีน้ำในทุ่งแห่งทะเลทรายฉะนั้น ”
“ พระอรหันต์ทั้ง 60 นี้ ” เขาเล่าต่อ “ เมื่อได้ศึกษาวิธีบังคับและบำเพ็ญตนให้พ้นจากราคะตัณหาแล้ว พระพุทธองค์ก็ทรงจัดให้ไปทำการสั่งสอน ส่วนพระองค์ซึ่งโลกบูชาเคารพก็เสด็จออกจาสวนกวาง ( อิสปตนะมฤคทายวัน ) เพื่อเสด็จไปสู่ทิศใต้ ณ ยัสติและพระราชอาณาจักรของพระเจ้าพิมพิสารซึ่งพระองค์ทรงเทศนาสั่งสอนอยุ่ หลายวัน จนพระเจ้าพิมพิสารและอาณาประชาราษฎร์ของพระองค์มีความเลื่อมใสศรัทธาและ ศึกษาบัญญัติว่าด้วยเมตตา และบัญญัติว่าด้วยชีวิตปฏิบัติของพระองค์ ”
ยิ่งกว่านั้นพระเจ้าพิมพิสาร ( เมื่อได้หลั่งน้ำ เป็นธรรมเนียมของพราหมณ์ กระทำเมื่อให้อะไรอย่างหนึ่ง ยังพระหัตถ์พระพุทธเจ้าแล้ว ) ยังได้ถวายสวนไผ่นามว่า เวฬุวัน ซึ่งมีลำน้ำหลายสาย มีถ้ำและป่าโปร่งแก่พระองค์อีกด้วย ” และ ณ ที่สวนนั้นพระเจ้าพิมพิสารได้ตั้งศิลาจารึกก้อนหนึ่ง ในจารึกนั้นมีความว่า “ ผลและเหตุแห่งชีวิต องค์พระตถาคต ( หมายความว่าผู้ได้กระทำอย่างเดียวกัน เป็นพระนามของพระสิทธัตถะพระนามหนึ่ง ชี้ให้เห็นว่าพระองค์ได้ทรงเดินทางอันเดียวกันเหมือนพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ) ได้ทรงแสดงให้เราทั้งหลายได้ทราบปรากฏแจ่มแจ้งแล้ว สิ่งซึ่งช่วยชีวิตให้พ้นจากความชั่ว พระพุทธเจ้าของเราก็ได้ทรงแสดงให้เราทราบแล้ว ”
“ ก็ในสวนนั้นเอง ” นายวาณิชว่า “ มหาชนต่างไปชุมนุมประชุมกันเพื่อสดับตรับฟังคำสั่งสอนของพระองค์ในเรื่อง ความดีและความประพฤติ ซึ่งเมื่อผู้ใดเชื่อฟังพระองค์แล้วก็มีวิญญาณอันเลื่อมใสจนมีผู้ศรัทธาครอง ผ้าเหลือง คือ บวชเหมือนองค์พระบรมศาสดาจารย์เจ้าถึง 900 องค์ แล้วต่างก็แยกย้ายกันไปทำการเผยแผ่พระบัญญัติของพระองค์ สรุปความในพระโอวาทของพระองค์ว่าดังนี้ ”
“ ความชั่วเป็นเครื่องทวีหนี้สินที่ต้องใช้ความดีเป็นเครื่องกำจัดความชั่ว และเป็นเครื่องใช้หนี้อันเกิดจากความชั่วนั้นได้ จงหลีกความชั่วและกระทำความดี จงสงวนความสุขของตนด้วยตนเอง นี่แหละคือหนทาง ”
เมื่อนายวาณิชเล่าเรื่องพระพุทธองค์จบลง พระนางยโสธราก็ประทานรางวัลและแสดงความขอบใจอย่างประเสริฐยิ่งกว่าเพชรนิล จินดา แล้วพระนางถามว่า “ ก็แต่พระผู้มีพระภาคของเรานั้นพระองค์เสด็จตามทางใด ?” นายวาณิชทูลตอบว่า “ มาตามทางซึ่งห่างจากพระนครนี้ 60 โยชน์และสู่ทิศพระนครราชคฤห์ซึ่งมีทางสะดวกผ่านมาทางโสนะและเขาต่างๆ โคของข้าพเจ้าซึ่งเดินได้วันละ 8 ก๊อสส์ ( มาตราวัดอินเดีย เป็นระยะความยาว ก๊อสส์ 1 ประมาณ840 วา ) ต้องเดินทาง 1 เดือนจึงจะถึง ”
ฝ่ายพระราชาเมื่อทรงทราบข่าวนี้แล้วก็ตรัสใช้ให้ผู้ซึ่งพระองค์ทรงไว้พระทัย 9 นาย ขึ้นม้าที่มีฝีเท้าเร็วแยกย้ายกันไปเพื่อนำพระราชโองการของพระองค์ไปทูลแก่ พระพุทธเจ้าผู้เป็นพระโอรสว่าดังนี้ “ พระสุทโธทนะผู้เป็นพระราชาซึ่งทรงชราภาพโดยกาลเวลาอันยืดยาวถึง 7 ปี ในยามซึ่งเธอผู้เป็นโอรสได้พรากจากไป และได้พยายามสืบเสาะหาตัวอยู่เสมอเป็นนิตย์นิรันดร์ ขอวิงวอนให้พระราชโอรสของพระองค์เสด็จมารับพระราชบัลลังก์ และอาณาประชาราษฎรแห่งพระราชอาณาจักรซึ่งจักเกิดปั่นป่วนเมื่อพระองค์หาไม่ แล้ว ทั้งนี้ก็เพราะพระองค์ทรงวิตกว่าจะเสด็จสวรรคตเสียก่อนที่พระองค์จะได้เห็น พระพักตร์ของเธอผู้เป็นพระราชโอรส ”
ส่วนพระนางศรียโสธราก็ได้ใช้ให้อัศวานึก 9 นาย ไปทูลแก่องค์พระราชสวามีเหมือนกันโดยความว่าดังนี้ “ สวามินีแห่งพระราชสำนักของพระองค์ และผู้เป็นมารดาของราหุลมีความจำนงอยากเห็นพระพักตร์ของพระองค์อย่างยิ่งนัก เหมือนดวงหฤทัยของหญิงงามเมื่อได้เห็นพระจันทร์เมื่อเวลากลางคืน หรือเหมือนดอกอโศกแรกผลิรอคอยให้สตรีเหยียบย่ำอยู่ฉะนั้น ( ตามรามายณะ กล่าวว่า เมื่นางสีดาหนีไปอยู่ในพุ่มดอกอโศกก็ได้พ้นจากความรบกวนปิศาจ ราพณาสูร และต้านทานตนให้พ้นอันตรายได้ด้วยสวัสดีมีชัย เพราะดังนี้เอง เหล่าสตรีฮินดีจึงนับถือต้นอโศกและกินดอกอโศกนั้น ) หากพระองค์ได้ได้พบซึ่งสิ่งที่พึงประสงค์ยิ่งกว่าสิ่งที่ทรงเสียสละแล้ว พระนางทั้งพระราหุลขอได้รับส่วนด้วยเถิด แต่ที่พระนางต้องการที่สุดนั้นคือตัวพระองค์เอง ”
เมื่อดังนั้นแล้วมนตรีศากยะผู้รับใช้ก็ออกเดินทางโดยรีบด่วน แต่จำเพาะต่างคนต่างก็ถึงป่าไผ่ในยามที่พระพุทธองค์ทรงเทศนาพระบัญญัติของ พระองค์นั่นเอง และต่างคนต่างเมื่อได้ยินได้ฟังพระองค์แล้วก็เลื่อมใสจนลืมทูลพระองค์ และลืมจนกระทั่งพระราชา ลืมบรมราชโองการ ตลอดถึงพระนางศรียโสธราผู้โศกาดูร ต่างคนต่างเพ่งแต่ในพรนะบรมศาสดาจารย์เจ้า ดวงใจของเขาให้ผูกพันตรึงตราที่ริมพระโอษฐ์อันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งตรัสพระโอวาท อันเต็มไปด้วยพระธรรมเมตตา และคุณสมบัติซึ่งเที่ยงแท้ บริสุทธิ์ และซึ่งส่องแสงสว่างแก่ทุกสิ่งทุกอย่าง ดูเถิดภมรซึ่งเร่ร่อนหาเกสรเพื่อประโยชน์แห่งรังของมัน แม้ได้เห็นดอกโมกรา ( ดอกไม้ป่าชนิดหนึ่ง ) เป็นพุ่มพวงและส่งกลิ่นรสสุคนธ์ฟุ้งขจรไปตามลมแล้วก็ดี มันก็ยังนึกว่าน้ำผึ้งของมันยังไม่เต็มอยู่นั่นเอง พระอาทิตย์ตกก็ดี หรือฝนตกก็ดี มันก็ยังมีเจตนาผูกพันอยู่กับดอกไม้ซึ่งโอชาเพราะต้องการดูดดื่มน้ำอมฤต แห่งดอกไม้เหล่านั้นดังนี้ฉันใด
สำหรับอำมาตย์ผู้นำพระบรมราชโองการมาก็เหมือนกันฉันนั้น ก็เมื่อได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระพุทธองค์แล้วต่างคนต่างก็ละเลยเสียซึ่งกิจ แห่งตนที่เดินทางมา และเมื่อต่างก็ลืมแล้วในกิจทั้งปวงก็นำตนเข้าเป็นบริวารแห่งพระพุทธองค์ต่อ ไป
เพราะเหตุนี้พระราชาจึงตรัสใช้อุทายีอำมาตย์ผู้มีอายุและซื่อสัตย์ซึ่งเคย เป็นเพื่อนเล่นของพระสิทธัตถะเมื่อยามสันติสุขเกษมศานต์แต่ก่อนนั้นให้ไปอีก ฝ่ายอุทายีซึ่งนึกว่าอย่างไรก็ดี ตนเองก็คงจะได้ยินพระธรรมเทศนาของพระพุทธองค์ หากว่าเกิดความเลื่อมใสขึ้นก็คงจะเสียการ เพราะฉะนั้นเมื่อเขาไปถึงสวยไผ่ซึ่งพระพุทธเจ้าประทับ จึงเอาสำลีอุดโสตประสาทเสีย โดยการกระทำดังนี้จึงได้รอดพ้นจากได้สดับพระธรรม รสแห่งธรรมวิเศษนั้น และสามารถกราบทูลข่าวสารขององค์พระราชบิดาและพระนางศรียโสธราได้
ฝ่ายพระพุทธองค์ค่อยๆ ก้มพระเศียรแล้วตรัสแก่ที่ชุมนุมว่า “ จริงทีเดียวตถาคตจะไป เป็นกิจของตถาคตซึ่งเกิดจากเจตนาของตถาคตเอง ผู้ใดก็ดีอย่าได้ลืมสนองบุญคุณผู้ซึ่งบังเกิดตนให้มีชีวิตขึ้น คือชีวิตซึ่งเป็นบ่อเกิดแห่งความขวนขวายในวิถีกำจัดเสียซึ่งความดำรงชีพ และความตายอีกต่อไป แต่ให้บรรลุถึงคงซึ่งนิพพานทีเดียว ” โดยการเชื่อฟังบัญญัติ โดยพ้นแล้วจากความผิดที่ล่วงมาแล้วของตน ทั้งไม่ต้องเพิ่ม ต้องมีให้ผิดอีก และโดยบรรลุถึงซึ่งเมตตาอันบริสุทธิ์ซึ่งกระทำให้บังเกิดความรักได้
จงทูลพระราชาและพระนางเถิดว่า “ ตถาคตจะออกเดินทางเพื่อไปหาแล้ว ” โดยกิตติศัพท์อันนี้ ปวงประชาชนแห่งเศวตกบิลพัสดุ์กับนิคมคามทั้งปวงตระเตรียมการรับรองผู้เป็นเจ้าแห่งตน
ณ ทวารทิศใต้ก็ปลูกปะรำ มีเสาประดับประดาไปด้วยเฟื่องดอกไม้และประดับแพรสีแดงและเขียวปักทอง ตามถนนหนทางก็ประดับประดากิ่งก้านบุปผชาติซึ่งมีรสสุคนธ์และราดรดน้ำมัน จันทน์และน้ำมันมะลิอย่างชุ่มโชกซึ่งใช้รดด้วยมุสสุก ( ภาษาฮินดู ถังทำด้วยหนังแพะ ) คือถังสำหรับรดถนน ธงทิวปลิวไสว และหากเมื่อถึงกำหนดจะเสด็จมาถึงก็ให้มีช่างใส่กูบเงินและที่มีงาประดับปลอก ทองรายเรียงอยู่ข้างหน้าพลับพลาซึ่งมียามเตรียมพร้อมอยู่เสมอ เพื่อคอยตีกลองให้สัญญาณว่าพระสิทธัตถะเสด็จมาถึงแล้ว บรรดาเสนาอำมาตย์ทั้งปวงจะได้ไปต้อนรับและถวายบังคมพระองค์ และซึ่งหมู่นางละครจะได้โปรยโรยดอกไม้และเต้นรำขับร้องจนกระทั่งว่าดอก กุหลาบและดอกรักเร่ที่โปรยโรยไปนั้นให้ท่วมเข่าแห่งอัศวราชอาชาไนยซึ่ง พระองค์ทรงขี่ม้าและให้มรรคาทุกแห่งหนมีแต่งามตระการตา และก้องกังวานไปด้วยเสียงแห่งดุริยางค์และความบันเทิงอันกึกก้อง นี่แหละคือคำสั่งซึ่งประกาศ และทุกผู้ทุกคนก็ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด แล้วคอยฟังเสียงกลองซึ่งตีให้สัญญาณเวลาที่พระองค์จะเสด็จไปถึงอย่างตั้งใจ
ฝ่ายพระนางศรียโสธรานั้น พระนางอยากไปรับพระราชสวามีก่อนใครอื่น จึงทรงสีวิกาเสด็จไปจนถึงเชิงกำแพงแห่งพระนคร ณ ที่ซึ่งได้ปลูกพลับพลาอยู่ท่ามกลางอุทยานนามว่านิโครธ มีกิ่งก้านร่มรื่นรายเรียงเป็นแถวแนว มีทางเลาะลัด กระทำให้อุทยานนั้นมีลักษณะสราญรมย์น่าพึงชมยิ่งนัก เพราะว่ามรรคาทางทิศใต้มีสนามหญ้าอันเขียวชอุ่มเป็นแถวแนวยาวยืด มีต้นไม้ซึ่งมีดอกเรียงรายกันไป และข้างนอกประตูก็เป็นหมู่กระท่อมแห่งทวยนาครชั้นต่ำและยากจนแร้นแค้นซึ่ง หากว่ามาแตะต้องเข้าแล้วก็เป็นอัปมงคลแก่กษัตริย์และนักบวชพราหมณ์ แม้แต่ถึงกระนั้นทวยนาครชั้นต่ำเหล่านั้นก็ตั้งใจคอยรับรองพระองค์เหมือนกัน คือตื่นแต่เช้ามืดแล้วก้มองดูไปจนสุดสายตาและหากว่าเมื่อได้ยินเสียงระฆัง ที่ผูกคอช้าง หรือเสียงกลองแห่งวัดวาอารามดังขึ้นแล้วก็จะพากันขึ้นต้นไม้ดูพระองค์ และเพื่อเป็นเกียรติยศแก่พระองค์ยังได้ตกแต่งประดับประดาบ้านเรือนของตน อย่างถึงใจ กับกวาดธรณีประตูประดับธง ผูกมัดใบมะม่วงทำเป็นเฟื่องประดับลิงคัม ( ศิลารูปกรวย ) และมุงใบไม้ ณ ประตูชัยเก่าแก่ซึ่งมีใบไม้แห้งเหล่านั้นเสียใหม่ กับอุตส่าห์ไต่ถามคนเดินทางอยู่เสมอเพื่อให้ทราบว่าจะมีอะไรเป็นอุปสรรคใน ระหว่างทางของพระสิทธัตถะบ้างหรือไม่