ผู้เขียน หัวข้อ: บี้ – สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว เมื่อจังหวะ “ธรรม” กระแทกหัวใจซูเปอร์สตาร์  (อ่าน 945 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด


บี้ – สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว เมื่อจังหวะ “ธรรม” กระแทกหัวใจซูเปอร์สตาร์

ไม่ใช่แค่ดนตรีและหัวใจเท่านั้นที่มี “จังหวะ” ชีวิตของเราก็มีจังหวะเช่นกัน เมื่อใดก็ตามที่ชีวิตเดินทางมาถึงจังหวะสำคัญที่เรียกว่า “จุดเปลี่ยน” เชื่อเหลือเกินว่า หลังจากนั้นจะต้องมีเรื่องราวให้จดจำและบอกต่อเสมอ…

ผมคลุกคลีกับวัดมาตั้งแต่เด็กๆ พอเลิกเรียนผมก็จะปั่นจักรยานไปดีดลูกแก้ว ขุดดิน กินขนมกับเพื่อนที่วัด เสาร์ – อาทิตย์ก็จะไปเรียนพิเศษที่วัดกับเพื่อนๆ อีก เรียกว่าผมไปวัดเพื่อเรื่องทางโลกล้วนๆ ถ้าจะเกี่ยวกับทางธรรมบ้างก็คือ ไปทำบุญกับแม่ แม่ทำอะไร ผมก็ทำด้วย ไม่มีอะไรมากกว่านั้น

โตขึ้นมาหน่อย ผมอยากลองเริ่มอ่านหนังสือธรรมะกับเขาดูบ้าง ก็บังเอิญไปเจอเล่มที่อ่านยากสุดๆ มีแต่รูปพระและภาษาบาลีเต็มไปหมด เปิดอ่านได้ไม่กี่หน้าก็ต้องวาง เรียกว่าช่วงนั้นกรรมดียังไม่เข้ามา ธรรมะยังไม่จัดสรร ผมเลยยังเป็นชาวพุทธ “แค่ในบัตรประชาชน” อยู่อย่างนั้น

หลังจากเข้าวงการบันเทิงด้วยการประกวดเดอะสตาร์ ค้นฟ้าคว้าดาวปี 3 (พ.ศ. 2549) ชีวิตก็เริ่มเปลี่ยน ผมต้องเรียนรู้อะไรใหม่ๆ มากมาย โชคดีว่าผมมีโอกาสได้ร่วมงานกับพี่บอย-ถกลเกียรติ วีรวรรณ ซึ่งนอกจากจะเมตตาสอนผมทั้งเรื่องการทำงานและการใช้ชีวิตแล้ว พี่บอยยังเป็นคนแรกๆ ที่ชักชวนให้ผมบวช เพราะการบวชให้อะไรมากกว่า “บุญกุศล” และยังเปลี่ยนแปลงชีวิตอีกด้วย

ข้อหลังนี้ต้องบอกว่า คนไกลธรรมะอย่างผมในตอนนั้นก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ รู้แค่ว่า “พี่บอยเริ่มพูดคนละภาษากับผมแล้ว” ต่อมาพี่ทีมงานคนอื่นๆ ที่เคยบวชก็มาเล่าถึงข้อดีของการบวชอีก ผมฟังไปในใจก็คิดว่า “การบวชดีขนาดนั้นจริงหรือ” จนเวลาผ่านไปเกือบปี วันหนึ่งผมตัดสินใจว่า “ลองบวชดูก็ได้” จะได้ทดแทนคุณพ่อแม่ตามประเพณี ประกอบกับปีนั้นผมเบญจเพสพอดี จึงเป็นโอกาสที่เหมาะสมที่สุด พอเคลียร์งานได้ผมก็ไปบวชที่วัดอินทาราม อยุธยา วัดที่พี่บอยและพี่ๆ ทีมงานเคยบวช

ตอนนั้นความรู้ทางธรรมและทางวัดของผมแทบจะไม่มีเลย ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพระใส่กางเกงในได้ไหม โชคดทีพระอาจารย์เมตตาให้หลวงพี่รูปหนึ่งมาช่วยเป็นพี่เลี้ยงคอยประกบอย่างใกล้ชิด ก็เลยคลายปัญหาเรื่องข้อปฏิบัติไปได้มาก ส่วนเรื่องข้อธรรมพระอาจารย์ก็เมตตาอบรมผม โดยเริ่มต้นจากศูนย์เรื่อยมา

11 วัน ในร่มกาสาวพัสตร์ทำให้ผมเริ่มเข้าใจธรรมะมากขึ้น ถึงขั้นกล้าพูดว่าผมมีธรรมะในหัวใจและไม่ได้เป็นชาวพุทธแค่ในบัตรประชาชนอย่างที่ผ่านมาอีกแล้ว

ส่วนเรื่องการเปลี่ยนแปลง ผมรู้เลยว่าผมมีสติมากขึ้นกว่าเดิม ไม่ดื้อดึงที่จะทำสิ่งผิดโดยมีข้ออ้างว่า “ก็อยากทำ” หรือ “ช่างมัน” อย่างที่เคย ถ้าจำเป็นต้องทำสิ่งที่ไม่ดีจริงๆ ก็ต้องมีสติรู้ตัวอยู่เสมอ เวลาทำงาน ผมก็มีสมาธิจดจ่ออยู่กับงาน ไม่วอกแวกคิดเรื่องอื่นเหมือนเมื่อก่อน

เท่านั้นยังไม่พอ ผมยังกลับมาลองอ่านหนังสือธรรมะอีกครั้ง ปรากฏว่า พออ่านไปหนึ่งเล่ม ก็เริ่มมีเล่มที่ 2 – 3 ตามมา ทั้งที่ซื้อเองบ้าง คนอื่นให้มาบ้าง จนทุกวันนี้มีหนังสือธรรมะเต็มบ้านไปหมด พอซึมซับธรรมะมากขึ้นๆ ผมก็รู้สึกว่า “อยากบวชอีกครั้ง” คราวนี้ถ้าได้บวชสักหนึ่งพรรษาก็คงดี แต่ติดอยู่ที่ว่า “จะไหวไหม” ตอนนั้นผมก็ได้แค่คิด เพราะช่วงนั้นมีงานเข้ามาตลอด

กระทั่งเวลาผ่านไปเกือบปี ในที่สุดก็มีเหตุอันเหมาะสม คือผมมีโอกาสได้ไปทำงานชิ้นใหม่ที่อเมริกา และพี่บอยก็กำลังจะสร้างสตูดิโอใหม่ ผมคิดว่า ถ้าได้บวชก่อนจะเดินทางก็ลงตัวพอดี ผมจะได้อุทิศผลบุญให้ทั้งกับตัวเอง ครอบครัว และสตูดิโอใหม่ รวมทั้งได้ศึกษาธรรมะอย่างที่ตั้งใจไว้เรียกว่า “ครบถ้วน”

การบวชครั้งที่สองนี้ ผมคิดว่าพระอาจารย์คงจะไม่สอนอะไรมากมายเพราะท่านสอนผมมามากแล้ว ที่ไหนได้คราวนี้พระอาจารย์จัดหนักครับ บางวันหนักจนผมแทบจะร้องไห้ทั้งๆ ที่ใส่จีวรเลยทีเดียว!

เรื่องมีอยู่ว่า ทุกวันหลังจากทำวัตรเย็นเสร็จ พระอาจารย์จะเรียกให้ผมมานั่งข้างหน้า ส่วนพระรูปอื่นจะนั่งอยู่ในแถวถัดไป ปิดท้ายด้วยฆราวาส พอพระอาจารย์นั่งลงบนอาสนะปั๊บ ท่านก็เปิดฉากสอนผมไปเรื่อยๆ ตั้งแต่เรื่องทั่วๆ ไปจนถึงเรื่องชีวิต ท่านยกตัวอย่างเรื่องที่ผมคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยไม่มีอะไรสักหน่อย แต่แท้ที่จริงแล้วนั่นกลับเป็น “ปัญหาและทุกข์ใหญ่” สำหรับทีมงานและคนรอบข้าง…ซึ่งผมไม่เคยรู้เลย

ไม่น่าเชื่อว่า เรื่องที่พระอาจารย์พูดมาแต่ละเรื่องล้วนกระทบใจราวกับท่านอ่านใจผมออก บางวันผมโดนพระอาจารย์ว่าหนักๆ จนถึงกับนอนไม่หลับ รู้สึกว่าเป็นกรรมหนักมากๆ สุดท้ายก็จิตตกจนต้องโทร.ไปถามพี่ทีมงานว่า “อาตมาแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ”

พอใกล้จะลาสิกขา พระอาจารย์จึงเฉลยว่า ท่านทำอย่างนั้นเพราะต้องการทดสอบอารมณ์ของผม ปัจจุบันผมมีแต่สิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิต รอบตัวมีแต่ความสุขมีแต่คนเอาใจ ถ้าเป็นอย่างนี้เรื่อยไปจะเห็นธรรมะได้ยาก ท่านต้องการให้ผมลองเผชิญกับความทุกข์ดูบ้าง จะได้รู้ว่าคนอื่นเขาทุกข์กันอย่างไร หนักหนาแค่ไหน แล้วเก็บไปพิจารณาดู จะได้ปฏิบัติตัวได้ถูกต้องต่อไป

และแล้ววันที่ผมอายที่สุดก็มาถึง…วันลาสิกขาครับ วันนั้นผมร้องไห้ออกมาทั้งๆ ที่ยังใส่จีวรอยู่ มันกลั้นไม่อยู่จริงๆ ความรู้สึกหลายอย่างท่วมท้นไปหมด ทั้งปีติที่ได้เรียนรู้ธรรมะ ขณะเดียวกันก็เสียใจที่ต้องจากโลกที่ช่างแสนสงบและสบาย แต่สุดท้ายผมก็ต้องกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงเพราะยังมีหน้าที่ทางโลกรออยู่อีกมาก

จะว่าไปแล้ว การบวชครั้งแรกของผมก็เหมือนเข้าเรียนพุทธศาสนาชั้นอนุบาล พอบวชครั้งที่สองก็เท่ากับเรียนชั้นประถม จากนั้นจะมีโอกาสต่อชั้นมัธยมหรือ กศน.ก็ตามแต่ถนัด แต่ที่สำคัญที่สุดคือ ต้องน้อมนำธรรมะกลับไปใช้ในชีวิตประจำวันจริงๆ ให้ได้

ยิ่งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี…

 

Secret Box

ธรรมะไม่ใช่เรื่องยากเกินกว่าจะทำความเข้าใจ แค่คุณต้อง “กล้า” ที่จะเปิดใจ เปิดสมองเรียนรู้

บี้ – สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว



จาก http://www.secret-thai.com/uncategorized/1407/bie-sukrit/
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...