หลวงปู่จันทา ถาวโร พระอริยะที่ได้สนทนากับยมทูตครั้งหนึ่งในปี พ.ศ. 2494 เมื่อออกพรรษาเป็นฤดูแล้ง ได้ไปพักอยู่ที่วัดเฉลียงลับ อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์และได้ตั้งใจฝึกจิตภาวนาตามที่ครูบาอาจารย์คือหลวงปู่ทับได้สั่งสอนเอาไว้ โดยได้ให้คำสัตย์มั่นเอาไว้ว่าจะไม่ถือนอนเป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน ไม่ถือฉันอาหารใดๆ จะทำความเพียรอยู่ในอิริยาบถ 3 คือ เดิน ยืน นั่ง เท่านั้น แล้วก็ตั้งใจมั่นอธิษฐานจิตว่า
“ถ้านรก สวรรค์ นิพพานมีจริง ก็ขออำนาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จงทรงบันดาลให้ได้เห็นในวันนี้หรือคืนนี้ จะได้สิ้นสงสัยว่า พระรัตนตรัยเป็น “นายะโก” ผู้นำโลกสามารถนำหมู่สัตว์ออกจากวัฏสงสารและทุกข์ได้จริง” จากนั้นหลวงปู่ก็ออกเดินจงกรม ก้าวขวาว่า “พุทโธ” ก้าวซ้ายว่า “ธัมโม” ก้าวขวาว่า “สังโฆ” เมื่อครบสามรอบแล้วก็ย่นคำบริกรรมเป็น ก้าวขวาว่า “พุท” ก้าวซ้าย “โธ” ทำอยู่อย่างนั้นไม่ได้กำหนดเวลา มีแต่เดินกับยืนวันยังค่ำ
พอจิตยึดมั่นกับพุทโธได้ไม่นานจิตก็ปล่อยวางพุทโธ เหลือแต่ผู้รู้อยู่กับสติพอจิตรวมลงไปนั้นจิตของท่านก็ได้วางกาย วางลม วางขันธ์ทั้งหมดลงจนได้ระดับสมาธิที่เรียกว่า “อุปจารสมาธิ” ขึ้นมาจนกระทั่งเวลาได้ล่วงไปถึงประมาณ ตี 2 กับ 30 นาที
ท่านก็ได้พบเห็นนิมิตผ่านเข้ามาเป็น “นายนิรยบาล 8 คน” เดินออกมาจากบ้านเฉลียงลับ รูปร่างสูงใหญ่มหึมาขนาดมนุษย์ธรรมดาถึงหกเท่า ทั้งหมดมีผิวเนื้อดำแดง สวมเสื้อผ้าสีแดง และมีผ้าแดงเคียนที่ศีรษะมือถือง้าวปลายแหลม เดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าห่างประมาณ 2-3 วาเท่านั้น
นายนิรยบาลที่เป็นหัวหน้ากล่าวว่า“ท่านอาจารย์ พวกข้าพเจ้าทั้งแปดคน เป็นนายนิรยบาลมาจากเมืองนรกจะมาเอาบุคคลผู้สิ้นอายุสังขาร ซึ่งเป็นหญิงสาวอายุ 16 ปี เขาหมดเกษียณภพชาติแล้ว พวกข้าพเจ้าได้ไปทำลายธาตุขันธ์เขาให้สิ้นลมแล้ว เดี๋ยวเขาจะตามมาภายหลัง”
หลวงปู่จันทาได้ถามออกไปว่า “พวกท่านคือนายนิรยบาลมาจากนรกจริงหรือ”
“จริงสิท่าน ผู้ที่ทำงานอยู่ในเมืองนรกเหมือนกับพวกข้าพเจ้านี้ เรียกว่า “นายนิรยบาล” นายนิรยบาลก็เปรียบเหมือนกับพลตำรวจ และมีจ่ายมบาลซึ่งเปรียบเสมือนท่านอธิบดีกรมตำรวจมีหน้าที่คอยควบคุมบัญชาการอีกที”
หลวงปู่จึงถามต่อไปอีกว่า “พวกท่านที่ได้ไปทำงานอยู่ในเมืองนรกนั้น ได้ทำคุณงามความดีหรือความชั่วอย่างไร”
นายนิรยบาลตอบว่า “ความดีทั้งหลายก็ทำความชั่วทั้งปวงก็ทำ ทำเอาหมดทั้งนั้นไม่เลือก เมื่อสิ้นชีวิตแล้วกรรมดีและกรรมชั่วนั้นจึงนำพาไปอุบัติบังเกิดเป็นนายนิรยบาล ผู้มีหน้าที่ต้องทำงานอยู่ในเมืองนรกอันหฤโหด”
หลวงปู่ได้โอกาสจึงถามต่อทันที “นรกนั้นอยู่ที่ไหน” นายนิรยบาลจึงคลายความสงสัยให้ฟังว่า
“เมืองนรกอันร้อนระอุนั้นอยู่ใต้ภูเขาเทวดาลงไป เป็นอีกเมืองหนึ่งต่างหากตั้งอยู่ระหว่างกึ่งกลางของทั้งสามจังหวัด คือ เลย ชัยภูมิ และเพชรบูรณ์นรกนั้นเป็นสถานที่ที่ทุกข์ล้วนๆ หาความสุขไม่มีแม้แต่น้อยหนึ่งทุกข์เพราะสัตว์นรกจะถูกต้มด้วยน้ำร้อนและถูกสังหาร ด้วยหอกด้ามกล้า พร้าด้ามคม ของนายนิรยบาล เป็นทุกข์อย่างนั้น หาสุขไม่มีเลยแม้เศษเสี้ยววินาที”
หลวงปู่จึงได้ตั้งคำถามหนึ่งขึ้นมา เป็นคำถามที่แสดงให้เห็นถึงพลานุภาพของพระพุทธศาสนาที่จะช่วยให้คนพ้นนรกได้โดยท่านได้เริ่มว่า “คนเมืองไทยนี่คงจะไปนรกกันหมดใช่ไหม”
นายนิรยบาลตอบว่า “เปล่าหรอกท่าน คนที่มี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และมีศีลธรรมอันดีงามนั้นจะไม่ได้ไปนรกถึงไปแล้วก็ไม่ได้ลงนรกหรอก”
หลวงปู่ถามต่อไปว่า “คนไทยนี้ไม่ว่าอยู่ใกล้ไกลเมื่อตายแล้ว พวกท่านต้องไปนำเขามาทั้งหมดใช่หรือไม่”
นายนิรยบาลตอบว่า “ใช่ คนในเมืองไทยนี้ไม่ว่าชาติใด ภาษาใด ศาสนาใดก็ล้วนมีรายชื่ออยู่ในบัญชีทิพย์ของจ่ายมบาลทั้งหมดเป็นระบบสากลเขาไปจดไว้หมดแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ในที่ลี้ลับซับซ้อนอย่างไรก็ตามจะโกหกพกลมไม่ได้ทั้งนั้น”
หลวงปู่ได้รับทราบคำตอบถึงจำนวนนรกในเมืองไทยนี้ว่ามีมากมายรวมมี 4 ภาคก็ประมาณ 4 ขุมใหญ่ๆ และการที่คนต้องไปลงนรกกันก็เพราะมีความเห็นผิดในความเชื่อที่ผิดในทางศาสนา เพราะต่างคนต่างอวดว่า ศาสนาของตัวนั้นเป็นของดีเลิศประเสริฐแท้โดยมีความเชื่อและการปฏิบัติที่ผิดความจริง เช่นการเชื่อว่าฆ่าสัตว์ไม่บาป และจะมีผู้ที่คอยรับผลกรรมแทนให้
นายนิรยบาลจึงได้แจ้งแถลงไขเรื่องนี้ว่า
“การพูดอย่างนั้นก็เป็นเรื่องของคนหูหนวก ตาบอดพูด พูดหลอกลวงโลกและคนอื่นให้หลงตามกันเท่านั้น เพราะเมื่อทำความชั่วลงไปแล้วก็ต้องได้รับผลของความชั่วนั้น และเมื่อทำความดีลงไปแล้วก็ต้องได้รับผลของความดีนั้นเช่นกัน
เรื่องของกรรมดีหรือบุญนั้น จะส่งผลให้เห็นคนที่กระทำความดีจะเห็นเส้นทางที่เป็นความจริง คือเห็นว่าทางไปยังโลกมนุษย์และโลกสวรรค์มันจะเป็นเส้นทางที่สะอาดเตียนโล่งดีเหมือนกับเขาถางไว้ให้เรียบร้อยดีแล้วเส้นทางก็จะเป็นไปตามนั้นไม่มีผิดเพี้ยน ส่วนเรื่องของคนที่ทำบาปหรือกรรมชั่วนั้น จะส่งผลให้เห็นไปว่าทางไปนรกนั้นเป็นของที่สวยงามแต่แท้จริงแล้วเป็นของที่อันตราย เส้นทางที่ดูสะอาดเตียนดี เขาก็จะเห็นเป็นเปลวไฟ เห็นสัตว์ทั้งหลายที่กำลังร้องไห้คร่ำครวญมีเลือดอาบตัวอยู่ ก็สำคัญว่าเป็นกิจกรรมสนุกสนานรื่นเริงบันเทิง นั่นก็เป็นเพราะบาปกรรมทำให้เห็นเป็นอย่างนั้น ส่วนทางไปมนุษย์หรือไปสวรรค์นั้น เขาจะกลับมองเห็นว่าเป็นป่ารกชัฏ เป็นขวากหนาม”
หลวงปู่ได้ซักถามนายนิรยบาลต่อไปอีกด้วยคำถามที่น่าสนใจว่า
“สัตว์ทั้งหลายต่างศาสนากัน เมื่อตายไปและถูกท่านนำไปสู่เมืองนรกอันหฤโหดแล้วท่านทำอย่างไรต่อไปกับพวกเขา”
นายนิรยบาลตอบว่า “เมื่อได้ไปถึงสถานที่นั้นแล้ว จ่ายมบาลจะถามว่า เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ทำงานใดเลี้ยงชีพบ้าง สุจริตหรือไม่ บางคนก็ตอบว่าค้าขายบ้างก็ว่าทำไร่ ทำนา บ้างก็ว่ารับราชการต่างๆ กันไปโดยจะไม่สามารถโกหกได้เลย จากนั้นจ่ายมบาลจะถามต่อไปอีกว่า นับถือศาสนาอะไร
ซึ่งบางพวกก็ตอบว่า ศาสนาพุทธ บางพวกก็ตอบว่า ศาสนาคริสต์ อิสลาม ซิกส์ และ ฮินดู แตกต่างไป ทีนี้จ่ายมบาลจะถามถึงเทวทูตทั้ง 5 คือ ชาติ (ความเกิด) ชรา (ความแก่) พยาธิ (ความปวดไข้) มรณะ (ความตาย) และ เหล่านักโทษในเรือนจำในนรกนั้นแต่ละคนพิจารณาเห็นเป็นไปอย่างไร โดยคำถามนั้นจะถามไปทีละศาสนา ตอนแรกก็จะถามศาสนาพุทธก่อน ผู้ที่นับถือศาสนาพุทธทั้งหญิงชายก็ตอบว่า “เป็นทุกข์” ทั้งนี้เพราะอำนาจของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นั้นฝังอยู่ในใจของเขา จึงดลบันดาลจิตใจของคนเหล่านั้นให้เป็นปราชญ์ คนเหล่านี้มีความฉลาดรู้สิ่งทั้งปวงนั้น ตอบคำถามโดยไม่เก้อเขิน ไม่เดือดร้อนอาทรใจ องอาจกล้าหาญ ต่อจากนั้นจ่ายมบาลท่านก็จะถามอีกเรื่องข้อธรรมเรื่องการทำสมถะวิปัสสนากรรมฐาน และ ศีล สมาธิ ปัญญามีหลักพิจารณาเป็นอย่างไร”
นายนิรยบาลดูจะต้องการชี้ว่า หากเป็นผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนาด้วยการยึดเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ด้วยอำนาจของ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่ฝังอยู่ในใจและเป็นสิ่งที่เขาปฏิบัติอยู่ เขาก็จะตอบได้โดยทุกๆ สรรพสิ่งในโลกเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และได้ตั้งคำถามที่น่าสงสัยอยู่ 4 ประการเป็นปริศนาว่า วัตร 6 คืออะไร วัตร 7 คืออะไร และสีมา 8 คืออะไร คนที่สำรวมกายวาจาใจไว้ได้และสร้างคุณงามความดีอยู่เป็นประจำก็จะตอบได้
จากนั้นจ่ายมบาลจึงว่า
“พวกท่านเป็นนักปราชญ์ฉลาดรู้จริง ได้รู้จักศาสนาที่ดี เป็นศาสนาที่ล้างบาปได้ เป็นศาสนาที่กลั่นกรองกิเลสได้จริง เป็นศาสนาที่บำเพ็ญบุญกุศลคุณงามความดีให้เกิดมีขึ้น เป็นศาสนาที่ป้องกันโลกคือหมู่สัตว์ไม่ให้ไปถึงอบาย ถึงไปก็ไม่ได้เสวยทุกข์วิบากในอบายนั้น ฉะนั้น พวกท่านจึงไม่ต้องไปตกนรก แต่จะได้กลับไปเกิดในเมืองมนุษย์อีก”
หลวงปู่จึงนึกถึงคำสอนที่ปฏิบัติมาได้ว่า
“นี่แหละคือเพราะอำนาจของ พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆ์เจ้า และศีลธรรมที่ได้ประพฤติปฏิบัติหมั่นเพียรอุตสาหะ ด้วยละเว้นความชั่วทั้งทางกาย วาจา ใจ ด้วยความเคารพศรัทธาเลื่อมใสนั้นติดตามรักษาอยู่เป็นนิจจะป้องกันให้ไม่ตกไปสู่โลกที่ชั่วได้ ดังพุทธภาษิตที่ว่า “ธัมโม หะเว รักขะติ ธัมมะ จาริง แปลว่าผู้ประพฤติธรรม ธรรมย่อมรักษาไม่ให้ตกไปในโลกที่ชั่ว ธัมโม สุจิณโณ สุขะมาวะหิต ธรรมที่ประพฤติปฏิบัติมั่นคงดีแล้ว ทั้งกาย วาจา ใจ อบายไม่ได้ไปแน่นอน ไฟนรกไม่ได้ไหม้ จะมีแต่สุคติเป็นที่ไปล้วนๆ”
จ่ายมบาลเล่าต่อไปว่าหากผู้ใดรู้แจ้งเช่นนี้ก็จะสั่งให้นายนิรยบาลนำผู้ที่เคารพนับถือศาสนาที่รู้แจ้งเช่นนี้ได้กลับไปเกิดยังเมืองมนุษย์อีก ต่อมาจ่ายมบาลก็หันมาซักถามผู้ที่นับถือศาสนาอื่นๆ ว่า “ศาสนาของท่านสอนอย่างไร” ผู้ที่นับถือศาสนาอื่นๆ ที่ไม่ใช่ศาสนาที่ดีหรือไม่ได้สอนให้พ้นทุกข์ ไม่ได้สอนให้เป็นคนดีนั้นก็ตอบว่า “ไม่รู้” จ่ายมบาลก็ถามเรื่องปริศนาธรรมอีกและหลักสำคัญต่างๆ ที่เกี่ยวกับคำสอนของศาสนาที่ดีทั้งหมด ก็ไม่มีใครตอบได้เลย จากนั้นจ่ายมบาลก็จะเรียกให้ยมทูตพาคนเหล่านั้นไปลงนรก ซึ่งก็แล้วแต่กรรมของสัตว์เหล่านั้นว่ามีมากน้อยเพียงใด บางจำพวกก็หมื่นปี บางจำพวกก็แสนปี ต่างถูกต้มด้วยน้ำร้อน และถูกสังหารด้วยหอกด้ามกล้า พร้าด้ามคมของนายนิรยบาล เป็นทุกข์ไปจนกว่าจะพ้นจากสถานที่นั้น เมื่อพ้นจากนรกแล้วก็จะต้องไปเป็นเปรต พ้นจากเปรตแล้วไปเป็นอสุรกายแล้วไปเป็นเดรัจฉานต่างๆ ท่องเที่ยวเกิดดับในภพน้อยภพใหญ่ ใช้กรรมใช้เวรอยู่อย่างนั้นไม่มีวันจบสิ้นได้ เป็นทุกข์ยากแสนลำบากไร้ทรัพย์ อับปัญญา เพราะความดีของตนไม่มี
นายนิรยบาลได้เล่าเรื่องต่างๆ ในเมืองนรกให้หลวงปู่ได้ฟังอย่างนั้น และก่อนจะจากไปนายนิรยบาลก็ได้กล่าวกับหลวงปู่ทิ้งท้ายไว้ “ท่านอาจารย์ บวชในพุทธศาสนาแล้วก็จงไปเทศน์แนะนำพร่ำสอนพี่ป้าน้าอา ให้เขาทั้งหลายเอา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง บำเพ็ญ ทาน ศีล ภาวนา อย่าได้ลดละ ชีวิตร่างกายล้วนแต่เสื่อมสลาย พิจารณาธาตุขันธ์ว่าเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาอยู่เสมอ จึงจะเกิดความเบื่อหน่าย ไม่ยินดีในโลกสงสารอีกต่อไป จิตใจจะเห็นว่าธาตุขันธ์ไม่พอกับความต้องการ ไม่นานก็จะพลัดพรากกันไปเท่านั้น แล้วจงบอกให้คนเหล่านั้นให้เร่งรีบสร้างบุญอย่าผัดวันประกันพรุ่ง รีบสะสมแต่บุญกุศล ทาน ศีล ภาวนากอบโกยเอาบุญกุศลใส่ตนไว้ จะมากจะน้อยประณีตปานใดก็เป็นของเราหมด ผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ ด้วยน้ำใสใจจริง แม้เพียงน้อยนิด ถึงไปแล้วก็ไม่ได้ตกนรกเป็นแน่นอน”
จากนั้นพวกนายนิรยบาลก็ลาจากไป
ต่อมาไม่นาน หลวงปู่ก็ได้เห็นว่า มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินออกจากบ้านเฉลียงลับ เมื่อเดินมาถึงก็กราบหลวงปู่แล้วพูดว่า
“ท่านอาจารย์ ดิฉันหมดเกษียณภพชาติมนุษย์ จะได้ไปสู่เมืองนรก ใจร้อนเหมือนไฟ ขออนุโมทนาส่วนบุญกับท่านบ้างเถอะ”
หลวงปู่ก็เลยอุทิศส่วนบุญให้ว่า “แม่หนูน้อยจงตั้งใจยินดีในการโมทนารับส่วนบุญกับหลวงพ่อนะ บุญกุศลทั้งปวงที่ได้บำเพ็ญมา ขอแบ่งครึ่งให้นะแม่หนูน้อยจงตั้งใจโมทนารับเอาไปเถิด” เมื่อเธอได้รับบุญนั้นไปแล้วก็กล่าวว่า
“ใจร้อนๆ เมื่อสักครู่เมื่อได้รับส่วนบุญจากหลวงปู่แล้วใจก็เย็นสบายดี จะไปตกนรกไหม”
หลวงปู่จึงปลอบใจว่า
“ไม่ตกหรอกแม่หนูน้อย จงบริกรรม พุทโธ ธัมโม สังโฆ เสมอ อย่าได้ลดละ อย่าได้ประมาท เมื่อไปถึงนรกแล้ว จ่ายมบาลเขาจะซักไซ้ไต่ถามเรื่องเทวทูต ๕ และอำนาจของพุทโธ ธัมโม สังโฆ ที่ฝังอยู่ที่จิตใจของแม่หนูน้อยนั้นจะตอบได้โดยเร็วพลัน สมบัติทั้งหลาย ทั้งปวงนั้นล้วนเกิดขึ้นจาก พุทโธ ธัมโม สังโฆ ทั้งนั้น”
เธอก็รับคำว่า “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็กราบเสียสามครั้งแล้วขอลาออกเดินทางตามนายนิรยบาลไป หลวงปู่ก็จดจำรูปร่างลักษณะของสาวน้อยคนนั้นไว้ เป็นคนผิวขาว ไว้ผมยาว ใบหน้ารูปใบโพธิ์ สวมเสื้อผ้ากลางเก่ากลางใหม่ มีผ้าขาวเฉลียงบ่า นุ่งผ้าซิ่นมีลวดลายที่ปลายทั้งสอง
ในขณะนั้นเป็นเวลาตีสามกว่าแล้ว จิตก็เลยถอนออกจากสมาธิ พอจิตถอนออกแล้วได้ยินเสียงร้องไห้มาจากบ้านเฉลียงลับ ซึ่งวัดกับบ้านอยู่ไม่ไกลกัน พอตื่นเช้าก็ออกบิณฑบาต พอกลับมาถึงวัด ก็มีโยมที่เป็นผู้ชายนำอาหารอันประณีตมาถวาย แล้วจึงพูดว่า
“ท่านอาจารย์ครับ เมื่อคืนลูกสาวของข้าพเจ้า เธอได้ขาดใจตายเสียแล้ว เมื่อเวลาประมาณตีสาม”
ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าเมื่อคืนนี้ตอนที่หญิงสาวคนนั้นไปหาหลวงปู่ในนิมิตนั้น ก็เป็นช่วงระยะเวลาตีสาม พอดีก็เลยพูดกับโยมด้วยความถ่อมตนไปว่า “อาตมาเพิ่งมาอยู่ใหม่ ไม่เคยพบเห็นลูกสาวของโยม แต่ก็จะแถลงไขให้ทราบ ลูกของโยมคนนั้นหมดเกษียณภพชาติเพียงแค่นั้นเพราะบุญเก่าเขาเอามาน้อย มีนายนิรยบาลแปดคน มาเอาตัวไปพวกนายนิรยบาลก็มาสนทนากับอาตมาอยู่ที่วัดนี้แหละ เขาบอกว่ามีหญิงสาวอายุแค่ 16 ปี หมดเกษียณภพชาติเพียงแค่นั้น แล้วทีนี้ลูกสาวของโยมเป็นคนผิวขาว ไว้ผมยาว ใบหน้ารูปใบโพธิ์ สวมเสื้อกลางเก่ากลางใหม่ มีผ้าเฉลียงบ่า นุ่งผ้าซิ่นมีลายคล้ายงูเหลือมใช่ไหม ”
“ใช่แล้วครับ มันไม่ผิดหรอก ลักษณะถูกต้องตรงทุกอย่าง”
“ลูกของโยม เป็นคนมีกิริยามารยาทดูงดงาม เรียบร้อย สุภาพ มีท่าทางเป็นนักปราชญ์ใช่ไหม”
“ใช่แล้วครับ ลูกของข้าพเจ้าเมื่อเกิดมาพอรู้เดียงสาแล้ว ถ้าเขาไม่ได้ทำบุญแล้วจะไม่ยอมไปโรงเรียน ไม่ว่าจะมีงานบุญบวช บุญกฐิน หรือบุญอะไรที่ไหนใกล้หรือไกล ที่บ้านน้อยเมืองใหญ่ เป็นต้องไปร่วมทั้งนั้น บางทีก็ไปนานเป็นสิบวันหรือยี่สิบวัน แล้วกลับมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสเสมอ”
พอหลวงปู่ได้ฉันเช้าเสร็จแล้ว โยมผู้เป็นทายกก็นิมนต์ไปทำพิธีเพื่อเผาศพลูกสาวของเขาตั้งแต่เช้า เมื่อไปถึง หลวงปู่เปิดฝาโลงดูก็เห็นศพมีรูปร่างหญิงสาวเหมือนอย่างที่เขาไปหาในนิมิตเมื่อคืน พอทำกิจพิธีทุกอย่างเสร็จแล้วก็เผาศพเป็นการเสร็จสิ้น
เรื่องนี้หลวงปู่จันทา ถาวโรท่านได้เห็นด้วยตนเองว่านรกนั้นมีแน่นอน เพราะได้เห็นทูตานุทูตคือนายนิรยบาล เป็นผู้ส่งข่าวสารให้ทราบ พร้อมทั้งมีคนตายให้เห็นเป็นพยานอีกด้วยท่านก็สิ้นสงสัยที่ในเรื่องนรกสวรรค์ที่เคยมีมาทั้งหมด
ในเรื่องเล่าของหลวงปู่นั้นไม่ได้ระบุว่าหญิงสาวที่ท่านได้พบจะมีสุคติหรือทุคติเป็นที่ไป แต่เมื่อพิจารณาจากกรรมของหญิงสาวแม้เธอจะมีอายุสั้นแต่ก็มีข้อปฏิบัติในขณะที่ยังมีชีวิตเป็นอย่างดี และมีความเย็นใจในตอนสุดท้ายที่ได้มาขอส่วนบุญกับหลวงปู่ไป เชื่อได้ว่าเธอน่าจะไปเกิดในภพภูมิที่ดีได้
แม้ในเรื่องเล่านั้นจะมีแต่การเผชิญหน้าของหลวงปู่กับ นายนิรยบาล เป็นการถามตอบปัญหาธรรมซึ่งกันและกัน แต่เราก็จะเห็นได้ว่า “ทัศนคติ” หรือ “จิต” ที่ถูกตั้งเอาไว้ดีแล้วจะเป็นเหตุให้มีภพภูมิที่ดีเป็นที่ไป คนที่จะตกนรกในแง่มุมจากเรื่องเล่าของหลวงปู่ก็น่าจะเป็น คนที่ไม่เชื่อเรื่องบุญบาป ไม่เชื่อผลของกรรม ทำให้ขาดความรู้ในการดำรงชีวิตที่ถูกต้องจาก
http://panyayan.tnews.co.th/contents/200546/