"โคฮีนัว สิงค์" ดารานางแบบเนปาล ผู้สลัดคราบไคลแห่งโลกมายา...มาเป็น "พระผู้หญิง""
โคฮีนัว สิงค์" (Kohinoor Singh) ชื่ออันไพเราะในภาษาเปอร์เซียโบราณอันแปลว่า "มงกุฎเพชร" คือชื่อในวงการของ "
ทิพปา สิงค์" นักแสดงและนางแบบสาวชั้นแนวหน้าของเนปาลเชื้อสายอินเดียที่จู่ ๆ ก็ตัดสินใจผันตัวเองมาบวชเป็นภิกษุณี
เธอโกนผม ไม่แต่งหน้า และทำสิ่งที่สวนทางกับอาชีพนักแสดงอย่างยิ่ง จนหลายคนตกใจ ซึ่งมีทั้งเสียงยินดี ไม่พอใจ และสนับสนุนในคราวเดียวกัน
หลังจากการเป็นนางเอกมิวสิกวิดีโอกว่า ๒๕ เรื่อง และอาชีพนางแบบกว่า ๑๐ ปี บน Catwalks Bikini Shoots และนิตยสารเสื้อผ้าแฟชั่น ... ตอนนี้เธอได้ชื่อใหม่ทางพระพุทธศาสนาแบบเนปาล
เธอกล่าวว่า ที่เธอเลือกจะบวชเป็นภิกษุณีในพระพุทธศาสนาก็เพราะพระพุทธศาสนานั้นเรียบง่ายและเป็นความจริงของชีวิต และสอนให้เธอได้เป็นตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง
ชื่อเกิดของเธอคือ "ทิพปา" ต่อมาเมื่อเข้าวงการดารานางแบบก็กลายเป็น "โคฮีนัว" ในขณะที่แม่ของเธอชอบเรียกเธอว่า "ชนะคยา" ส่วนพ่อของเธอให้นิกเนมใหม่กับเธอหลังบวชเป็นภิกษุณีว่า "Buddha"
ภิกษุณีสาวสวยให้สัมภาษณ์อย่างติดตลกเกี่ยวกับชื่อเหล่านั้น ... แต่อย่างไรก็ตาม ชื่อของเธอตามแบบสงฆ์ซึ่งเป็นตัวตนจริงของเธอก็คือ
"Ani Losang Dolma"นอกจากนี้ ภิกษุณีคนสวยยังกล่าวว่า เธอไม่เคยรู้สึกตื่นเต้นหรือดีใจกับการได้เป็นนักแสดงหรือเวลามีคนมาชมในความสวยของรูปร่างหน้าตาของเธอ เพราะสำหรับเธอมันก็เป็นแค่อาชีพหรือภาระหน้าที่อันหนักหน่วงเท่านั้น ผู้คนที่เข้ามามองดูเธอแค่เพียงรูปร่างภายนอกซึ่งไม่ใช่ตัวตนจริง ๆ ของเธอ บางคนชื่นชมในความสวยก็ดีไป ในขณะที่มีอีกหลาย ๆ คนในสังคมโบร่ำโบราณของอินเดียและเนปาลที่มองว่า นักแสดงนางแบบเป็นพวกขายเรือนร่าง
ภิกษุณีสาวอดีตนักแสดงยังกล่าวอีกว่า เธอรู้สึกชื่นชมการเป็นภิกษุณีมาก ตั้งแต่เด็กเวลาที่เธอพบพวกภิกษุณีที่ Swayambhu นางดูมีความสุขและแต่งกายแบบเดิมเสมอ เรียบง่าย และปราศจากเครื่องหน่วงเหนี่ยวจิตใจให้ตกต่ำเช่นสังคมของคนธรรมดาที่ต้องนึกถึงภาพลักษณ์และปั้นแต่งอยู่เสมอ ยิ่งเวลาอายุน้อยมีกิเลสอยากได้มากเท่าไร สังเกตได้ว่าความสุขก็น้อยลงเท่านั้น
หลายคนคิดว่า ที่เธอบวชภิกษุณีก็เพื่อสร้างข่าวให้ตัวเองดังยิ่งขึ้น แต่ภิกษุณีสาวกล่าวว่า ไม่เป็นความจริงเช่นนั้น เพราะเธอไม่ได้บอกสื่อมวลชนเลยตลอดเดือนที่เริ่มบวช แต่คนอื่นก็มาสืบรู้กันเอาเอง
ภิกษุณีสาวกล่าวว่า เธอเป็นนางแบบที่ดังอยู่แล้ว และไม่จำเป็นต้องสร้างข่าวเทียมเพื่อทำลายชื่อเสียงที่มีอยู่แล้วด้วยการโกหก เธอคิดว่า ตลอดระยะเวลาในการเป็นดารานางแบบนี้ เธอก็ได้สร้างชื่อมามากเกินพอแล้ว และเธออยากจะละทิ้งมันไปทั้งหมดจริง ๆ ... แล้วสื่อมวลชนก็เป็นสิ่งที่เธอยอมแพ้
เวลาที่ใครสักคนเกิดมา...ไม่มีใครรู้หรอกว่าตัวเองจะโตขึ้นแล้วเป็นอะไร เราทุกคนซึมซับเรียนรู้สิ่งรอบตัวและก็กลายเป็นเราในอนาคต ... และแน่นอน ภิกษุณีไม่ใช่คนของสื่อมวลชน
เธอกล่าวว่า ความแตกต่างระหว่างตอนเป็นโคฮีนัวกับตอนนี้ก็ตลกดี เจอเหตุการณ์ที่ต่างกัน ตอนเป็นโคฮีนัวก็มีแฟนคลับผู้ชายโทรมาให้เธอเลิกกับแฟนของตัวเอง (ที่เป็นดาราด้วยกัน) ในขณะที่แฟนคลับผู้หญิงของแฟนเธอก็โทรมาบอกให้เขาเลิกกับเธอ
พอมาตอนนี้เป็นภิกษุณีโกนหัวใส่จีวร...มีวันหนึ่งเดินไปบิณฑบาต เจอกลุ่มเด็กผู้ชายกำลังเตะฟุตบอล พวกเขาบังเอิญเตะลูกบอลมาโดนหัวเรา แล้วพวกเขาก็คิดว่าเราเป็นเณรผู้ชาย ... ภิกษุณีสาวกล่าวพลางหัวเราะ
ภิกษุณีสาวกล่าวว่า เธอจะไม่มีทางกลับไปเดินบนเส้นทางเดิมของนักแสดงอีกตลอดไป เพราะการเป็นภิกษุณีคือสิ่งที่เธออยากเป็นมาตลอด
ทั้งหมดนี้คือหนทางของหญิงสาวที่ก้าวสู่การเป็นภิกษุณีในต่างแดน ... ซึ่งแน่นอนว่ามีทั้งเสียงคัดค้านและต้อนรับ
ผู้สื่อข่าวถามคำถามสุดท้ายกับเธอว่า เธอมีอะไรที่จะบอกเยาวชนรุ่นเด็กบ้าง
ภิกษุณีสาวตอบว่า
"คนเรานั้นเกิดมาก็ง่ายต่อการพบเจอสุขและทุกข์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตอันแสนสั้น สิ่งที่เป็นอมตะคือวิญญาณของเรา คนที่สามารถอยู่กับทั้งสุขและทุกข์โดยไม่สะทกสะท้านคือผู้ที่ค้นพบสุขอันแท้จริง ..."
*********************************************
ที่มา : คัดลอกจากคุณ Thuncharin Panpittinunt (
http://board.postjung.com/566283.html)
จาก
http://panyayan.tnews.co.th/contents/205291/