ผู้เขียน หัวข้อ: หน่อเนื้อพระพุทธเจ้า!! ในหลวง ร. ๙ ทรงบำเพ็ญบารมีธรรมตาม คติแห่งพระโพธิสัตว์  (อ่าน 1119 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด



หน่อเนื้อพระพุทธเจ้า!! ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงบำเพ็ญบารมีธรรมตาม "คติแห่งพระโพธิสัตว์" เพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในภายภาคหน้า!!

"พระโพธิสัตว์" คือใคร?

พระโพธิสัตว์ คือ "ผู้ที่บำเพ็ญบารมีเพื่อจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล"  โดยระหว่างที่บำเพ็ญบารมีเพื่อจะตรัสรู้นั้น พระโพธิสัตว์ต้องบำเพ็ญบารมี ๑๐ ประการ เรียกว่า "ทศบารมี" อันได้แก่

(๑) ทานบารมี  (๒) ศีลบารมี  (๓) เนกขัมมบารมี  (๔) ปัญญาบารมี  (๕) วิริยบารมี  (๖) ขันติบารมี  (๗) สัจจบารมี  (๘) อธิษฐานบารมี  (๙) เมตตาบารมี  (๑๐) อุเบกขาบารมี

ในแต่ละบารมีนั้นแบ่งย่อยเป็น ๓ ขั้น ได้แก่

๑. บารมีขั้นต้น  คือ  การบำเพ็ญบารมีอันเนื่องด้วยวัตถุและทรัพย์สมบัตินอกกาย  เช่น  การสละทรัพย์เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นจัดเป็น "ทานบารมี"  การรักษาศีลแม้ว่าจะต้องสูญเสียทรัพย์สินเงินทองจัดเป็น "ศีลบารมี"  การยอมถือบวชโดยไม่อาลัยในทรัพย์สมบัติจัดเป็น "เนกขัมมบารมี"

๒. บารมีขั้นกลาง (อุปบารมี)  คือ  การบำเพ็ญบารมีอันเนื่องด้วยเลือดเนื้ออวัยวะ  เช่น  การสละเลือดเนื้ออวัยวะแก่ผู้อื่นจัดเป็น "ทานอุปบารมี"  การใช้ปัญญารักษาเลือดเนื้ออวัยวะของผู้อื่นจัดเป็น "ปัญญาอุปบารมี"  การมีความเพียรจนไม่อาลัยในเลือดเนื้ออวัยวะจัดเป็น "วิริยอุปบารมี"  การมีเมตตาต่อผู้ที่จะมาทำร้ายเลือดเนื้ออวัยวะของตนจัดเป็น "เมตตาอุปบารมี"  การมีความอดทนอดกลั้นต่อผู้ที่จะมาทำลายเลือดเนื้ออวัยวะของตนจัดเป็น "ขันติอุปบารมี"

๓. บารมีขั้นสูงสุด (ปรมัตถบารมี)  คือ  การบำเพ็ญบารมีอันเนื่องด้วยชีวิต  เช่น  การสละชีวิตเป็นทานแก่ผู้อื่นจัดเป็น "ทานปรมัตถบารมี"  การยอมสละแม้ชีวิตเพื่อรักษาคำพูดจัดเป็น "สัจจปรมัตถบารมี"  การตั้งจิตไม่หวั่นไหวต่อคำอธิษฐานแม้จะต้องเสียชีวิตจัดเป็น "อธิษฐานปรมัตถบารมี"  การวางเฉยต่อผู้ที่จะมาทำร้ายชีวิตของตนจัดเป็น "อุเบกขาปรมัตถบารมี"

ดังนั้น ทศบารมีหรือบารมี ๑๐ หากกล่าวโดยละเอียดจึงรวมเป็น "บารมี ๓๐ ทัศ"

เมื่อพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีจนเที่ยงแท้แล้วจะเรียกว่า "นิยตโพธิสัตว์" คือพระโพธิสัตว์ผู้จะต้องตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน  หากพระโพธิสัตว์ยังบำเพ็ญบารมีทั้ง ๑๐ ไม่มากพอที่จะตรัสรู้ จะเรียกว่า "อนิยตโพธิสัตว์" คือพระโพธิสัตว์ที่ไม่แน่ว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า

นอกจากนี้ พระโพธิสัตว์ยังแบ่งได้อีก ๓ ประเภท คือ

๑. ปัญญาธิกโพธิสัตว์  คือ  พระโพธิสัตว์ที่สร้างบารมีโดยใช้ปัญญาเป็นตัวนำ  ระยะเวลาการสร้างบารมีทั้งหมด ๒๐ อสงไขย กับเศษแสนมหากัป คือ  ตั้งความปรารถนาอยู่ในใจเป็นเวลา ๗ อสงไขย หลังจากนั้นจึงออกปากกล่าววาจาต่อพระพักตร์พระพุทธเจ้าเป็นเวลา ๙ อสงไขย รวมเป็น ๑๖ อสงไขย และได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรกเป็นพระนิยตโพธิสัตว์เมื่อเหลือเวลาอีก ๔ อสงไขย กับเศษแสนมหากัป  ซึ่งเป็นการสร้างบารมีอย่างยิ่งและเข้มงวดขึ้นเรื่อย ๆ และได้รับพยากรณ์ซ้ำมาตลอดเมื่อได้พบกับพระพุทธเจ้าจนถึงสมัยพุทธภูมิของท่าน

๒. สัทธาธิกโพธิสัตว์  คือ  พระโพธิสัตว์ที่สร้างบารมีโดยใช้ศรัทธาเป็นตัวนำ  ระยะเวลาการสร้างบารมีทั้งหมด ๔๐ อสงไขย กับเศษแสนมหากัป คือ  ตั้งความปรารถนาอยู่ในใจเป็นเวลา ๑๔ อสงไขย หลังจากนั้นจึงออกปากกล่าววาจาต่อพระพักตร์พระพุทธเจ้าเป็นเวลา ๑๘ อสงไขย รวมเป็น ๓๒ อสงไขย และได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรกเป็นพระนิยตโพธิสัตว์เมื่อเหลือเวลาอีก ๘ อสงไขย กับเศษแสนมหากัป  ซึ่งเป็นการสร้างบารมีอย่างยิ่งและเข้มงวดขึ้นเรื่อย ๆ และได้รับพยากรณ์ซ้ำมาตลอดเมื่อได้พบกับพระพุทธเจ้าจนถึงสมัยพุทธภูมิของท่าน

๓. วิริยาธิกโพธิสัตว์ คือ  พระโพธิสัตว์ที่สร้างบารมีโดยใช้วิริยะเป็นตัวนำ  ระยะเวลาการสร้างบารมีทั้งหมด ๘๐ อสงไขย กับเศษแสนมหากัป คือ  ตั้งความปรารถนาอยู่ในใจเป็นเวลา ๒๘ อสงไขย หลังจากนั้นจึงออกปากกล่าววาจาต่อพระพักตร์พระพุทธเจ้าเป็นเวลา ๓๖ อสงไขย รวมเป็น ๖๔ อสงไขย และได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรกเป็นพระนิยตโพธิสัตว์เมื่อเหลือเวลาอีก ๑๖ อสงไขย กับเศษแสนมหากัป  ซึ่งเป็นการสร้างบารมีอย่างยิ่งและเข้มงวดขึ้นเรื่อย ๆ และได้รับพยากรณ์ซ้ำมาตลอดเมื่อได้พบกับพระพุทธเจ้าจนถึงสมัยพุทธภูมิของท่าน


สุเมธดาบสได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าทีปังกรว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า (องค์ปัจจุบัน) ในอนาคตกาล

ตั้งแต่ยังเป็นเด็กและเริ่มจำความได้ ทุกคนคงจะรับรู้เรื่องราวของพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชที่ทรงงานเพื่อปวงชนชาวไทยมาตลอด ซึ่งเป็นด้านหนึ่งของพระราชจริยาวัตรที่เราต่างก็ทราบกันดีอยู่แล้ว

แต่นอกเหนือจากนี้ เรายังสามารถสัมผัสกับมิติทางธรรมของพระองค์ท่านได้จากหนังสือธรรมะและคำบอกเล่าของครูบาอาจารย์ท่านต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มิติที่สอดคล้องกับการบำเพ็ญบารมี ๑๐ ประการของพระโพธิสัตว์ อันเป็นคุณธรรมที่จะทำให้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า  ดังเช่นคำกล่าวของครูบาอาจารย์ต่อไปนี้

พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต (เจ้าคุณนรรัตนฯ) แห่งวัดเทพศิรินทราวาส กล่าวว่า

"ในหลวงพระองค์นี้ท่านเป็นพระโพธิสัตว์นะ!"


เจ้าคุณนรรัตนราชมานิต
 

นอกจากนี้ยังมีครูบาอาจารย์อีกหลายท่านที่กล่าวถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่าทรงเป็นพระโพธิสัตว์  เช่น  หลวงปู่สิม พุทธาจาโร แห่งสำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า

"ครูบาขาวปี วัดพระพุทธบาทผาหนาม เคยเป็นช้างนาฬาคิริง ... ส่วนในหลวงองค์ปัจจุบันเป็นช้างป่าเลไลยก์นะ!" (ช้างป่าเลไลยก์คือพระโพธิสัตว์ผู้สร้างบารมีมาเป็นอันมากและจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล)


หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
 

เช่นเดียวกับหลวงปู่แหวน สุจิณโณ แห่งวัดดอยแม่ปั๋ง จังหวัดเชียงใหม่ ก็ได้กล่าวถึงน้ำพระทัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า

"พระองค์มัวแต่เป็นห่วงคนอื่น แต่ไม่ทรงห่วงพระองค์เองบ้างเลย!"



หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
 

ครูบาอาจารย์อีกท่านหนึ่งที่กล่าวถึงเรื่องนี้ก็คือ หลวงพ่อพุธ ฐานิโย แห่งวัดป่าสาลวัน จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งได้กล่าวว่า

"วันหนึ่งข้างหน้า ในหลวงจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งของโลก ... ในหลวงเป็นพระโพธิสัตว์ ทรงปรารถนาพุทธภูมิ!"



หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
 

อย่างไรก็ตาม  คำกล่าวทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องที่ครูบาอาจารย์แต่ละท่านได้รู้ด้วย “ญาณวิถี” ซึ่งเป็นเรื่องเฉพาะตนของครูบาอาจารย์  แต่ถึงกระนั้น หากเราทราบว่าพระราชกรณียกิจต่าง ๆ ของพระเจ้าอยู่หัวมีความสอดคล้องกับการบำเพ็ญบารมีทั้ง ๑๐ ประการ อันเป็นคุณธรรมที่ทำให้พระโพธิสัตว์ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เราก็อาจตัดสินใจเองได้ว่า...พระองค์เป็นพระโพธิสัตว์จริงหรือไม่!!

ที่มา : หนังสือ "พุทธภูมิพล : ทศบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว", ผศ.ดนัย ปรีชาเพิ่มประสิทธิ์ และ คณิตา หอมทรัพย์


จาก http://panyayan.tnews.co.th/contents/209402/

http://pantip.com/topic/30523637





พุทธภูมิพล!! "ทศบารมี" ที่สถิตในพระราชหฤทัย ... คือประจักษ์พยานแห่ง "ปณิธานพระโพธิสัตว์" อันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙!!


พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่านเป็นพระโพธิสัตว์!!
 

ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่านเป็นพระโพธิสัตว์ที่ปรารถนาพุทธภูมิ"!!

จริงหรือไม่จริง... ด้วยภูมิจิตภูมิธรรมของคนทั่วไปยังไม่อาจทราบได้  แต่เมื่อพิจารณาจากพระราชจริยาวัตรของพระองค์ท่านแล้วทำให้เชื่อได้ว่า คำกล่าวของครูบาอาจารย์นั้นน่าจะเป็นความจริง เพราะพระราชจริยาวัตรทั้งหลายดำเนินไปตาม "ทศบารมี" (บารมี ๑๐ ประการ) ดังนี้

๑. ทานบารมี



ด้วยการพระราชทานกำเนิดมูลนิธิราชประชานุเคราะห์เพื่อสงเคราะห์ช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัยที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ สงเคราะห์ด้านการศึกษาและป้องกันสาธารณภัยที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ รวมทั้งให้การสงเคราะห์ช่วยเหลือเป็นส่วนรวมแก่ประชาชนที่ได้รับความทุกข์ยากเดือดร้อนประการอื่นอีกด้วย

 
๒. ศีลบารมี



หมายถึง การที่พระองค์ท่านมีพระราชจริยาวัตรที่พิเศษอีกประการหนึ่งซึ่งคนทั่วไปทำได้ยาก คือ ในคืนวันอุโบสถนั้น พระองค์จะทรงรักษาอุโบสถศีลอย่างเคร่งครัด
 

๓. เนกขัมมบารมี



หมายถึงการออกบวชหรือความปลีกตัวปลีกใจจากกาม  ในข้อนี้พระองค์ท่านไม่ได้ออกบวชทางกาย (เพียงเคยทรงผนวชระยะสั้น)  แต่สำหรับการบวชทางใจที่เป็นการปลีกตัวปลีกใจทางกามในช่วงอุโบสถศีลย่อมถือเป็นบารมีข้อนี้เช่นกัน  ครูบาอาจารย์องค์หนึ่งคือหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ท่านได้กล่าวเกี่ยวกับการบวชใจไว้อย่างนี้
 

๔. ปัญญาบารมี



พระบารมีข้อนี้เห็นได้ชัดเจนมากจากพระราชดำริในเรื่องต่าง ๆ  เช่น  โครงการพระราชดำริ มูลนิธิชัยพัฒนา รวมทั้งพระอัจฉริยภาพในเกือบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านการสื่อสาร ด้านกีฬา ด้านดนตรี ด้านจิตรกรรม หรือแม้แต่ด้านโหราศาสตร์ก็ตาม และยังรวมไปถึงพระราชปฏิภาณไหวพริบที่น่าอัศจรรย์


๕. วิริยบารมี



บารมีนี้เห็นได้เด่นชัดจากพระราชจริยาวัตรของการออกไปช่วยเหลือแก้ไขทุกข์ร้อนของพสกนิกรที่ทรงทำอย่างต่อเนื่องยาวนาน และยังมิทรงหยุดหย่อนจนถึงทุกวันนี้ ดังเช่น พระราชนิพนธ์ “พระมหาชนก”  หรือแม้ในด้านพระศาสนา พระองค์ทรงทำสมาธิ เจริญสติทุกวัน และทรงอุโบสถศีลทุกวันอุโบสถ  เหล่านี้ล้วนเป็นพระวิริยบารมี
 

๖. ขันติบารมี



คือ ความอดทน ข่มกายและใจต่อความลำบากทั้งพระวรกายและพระทัย ในการช่วยเหลือประชาชนของพระองค์ท่าน  แม้จะเป็นที่ทุรกันดารห่างไกล ข้ามน้ำ ข้ามภูเขา ก็มิได้เป็นอุปสรรคต่อพระองค์  ในฐานะของความเป็นมนุษย์ผู้หนึ่งและสามารถปฏิบัติภารกิจที่ยิ่งใหญ่ยาวนานได้ขนาดนี้ ถ้าขาดซึ่ง “ขันติบารมี” แล้ว ยากที่จะทรงงานมาได้จนตราบเท่าทุกวันนี้

คำว่า “ป่วยไข้” แบบธรรมดาอาจจะเป็นคำต้องห้ามสำหรับพระองค์ท่าน  ถ้าไม่หนักหนาสาหัสถึงขนาดต้องทรงเข้าโรงพยาบาลแล้ว พระองค์ท่านยังทรงปฏิบัติพระราชภารกิจทั้งหลายทั้งปวงมิว่างเว้น  แม้แต่งานที่ดูไม่น่าจะสำคัญ แต่สำคัญสำหรับกำลังใจของผู้รับ อย่างเช่น การพระราชทานกระบี่หรือปริญญาบัตร พระองค์ท่านก็ยังทรงปฏิบัติอย่างสงบ ไม่ทรงแสดงถึงความเบื่อหน่ายหรือเมื่อยล้าให้เห็นเลย  นับเป็นตัวอย่างของขันติบารมีที่น่าบูชายิ่ง

 

๗. สัจจบารมี



นับแต่ทรงมีพระปฐมบรมราชโองการเมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ ว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม” ... นับถึงวันนี้ พระราชโองการนี้ย่อมประจักษ์แจ้งแก่ใจของชาวไทยทั้งชาติว่าเป็นสัจจบารมีที่แท้จริง

 

๘. อธิษฐานบารมี



ความมุ่งมั่นในน้ำพระทัยที่ทรงประกาศเป็นพระปฐมบรมราชโองการเป็นทั้งสัจจบารมีและอธิษฐานบารมี รวมทั้งน่าจะเป็นการมุ่งมั่นต่อพระราชปณิธานที่อธิษฐานบารมีเพื่อพระโพธิญาณในอนาคตกาล จึงได้ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจต่าง ๆ ตามแนวทางบารมี ๓๐ ถ้วน

 

๙. เมตตาบารมี



บารมีในข้อนี้มีมากล้นเกินพรรณนา  ความทุ่มเท ความวิริยะ ความอุตสาหะ ที่ทรงกระทำเพื่อประโยชน์สุขของพสกนิกรอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่า ๗๐ ปี ย่อมเกิดได้เพราะน้ำพระทัยเมตตาที่เปี่ยมล้นเท่านั้น



๑๐. อุเบกขาบารมี



บารมีข้อนี้พิจารณาได้ยาก เนื่องจากต้องอาศัยการสังเกตอย่างใกล้ชิด ซึ่งผู้ที่จะยืนยันบารมีข้อนี้ต้องเป็นผู้ที่ใกล้ชิดกับพระองค์ท่าน  และโชคดีที่พสกนิกรอย่างเราได้รับรู้แง่มุมเกี่ยวกับอุเบกขาบารมีของพระองค์จาก พล.ต.อ. วสิษฐ เดชกุญชร อดีตข้าราชบริพารผู้มีโชควาสนาได้ทำงานรับใช้เบื้องพระยุคลบาท  ดังความบางส่วนต่อไปนี้

“ผมรับราชการสนองพระเดชพระคุณใกล้พระยุคลบาทอยู่นานกว่า ๑๒ ปี  และแม้จะพ้นหน้าที่มานานแล้ว แต่ก็ยังสดับตรับฟังข่าวเกี่ยวกับพระราชจริยาวัตรและพระราชกรณียกิจอยู่มิได้ขาด ทั้งจากสื่อและจากผู้ที่ยังรับราชการอยู่ใกล้พระยุคลบาท จึงรู้ เชื่อ และขอยืนยันว่า  พระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นห่วงบ้านเมืองยิ่งกว่าพระอนามัยหรือพระชนม์ชีพอย่างแน่นอนและตลอดเวลา แต่ความห่วงใยของฝ่าละอองธุลีพระบาทนั้นจะเรียกไม่ได้เป็นอันขาดว่าเป็นความทุกข์

พระเจ้าอยู่หัวไม่ทรงเป็นทุกข์และไม่เคยเป็นทุกข์ เพราะทรงฝึกพระสติ ฝึกพระองค์ด้วยการปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าจนเป็นพระนิสัย  เมื่อมีวิกฤตการณ์ไม่ว่าจะร้ายแรงเพียงใด จะทรงพิจารณาด้วยความเยือกเย็นและสุขุมคัมภีรภาพ แล้วจึงทรงตัดสินพระทัยทำสิ่งที่ทรงเห็นว่าควรทำ  และเมื่อทรงทำแล้วก็จะทรงถือว่าหน้าที่สำเร็จไปอีกครั้งหนึ่งอย่างหนึ่ง  หากยังไม่จบสิ้น แต่มีเรื่องเกี่ยวพันต่อเนื่องต้องทำต่ออยู่อีก ก็จะทรงถือว่าเป็นหน้าที่อีกครั้งหนึ่งอย่างหนึ่งและทรงทำต่อ

ในการปฏิบัติพระราชกรณียกิจทั้งหลายนั้น หลักที่ทรงยึดถือและปฏิบัติอย่างมั่นคงและแน่วแน่คือ  ไม่ทรงสนพระทัยว่าใครจะชมหรือใครจะตำหนิ เพราะทรงถือว่าทรงทำ ‘หน้าที่เพื่อหน้าที่’  แต่ไม่ได้หมายความว่าทำแล้วทิ้ง  แต่จะทรงทบทวนไตร่ตรอง  ถ้าหากทรงเห็นว่าที่ทรงทำไปแล้วนั้นยังบกพร่องไม่สมบูรณ์ ครั้งต่อไปก็จะทรงพยายามปรับปรุงแก้ไข  ซึ่งเป็นไปตาม ‘อิทธิบาท’ ข้อที่ ๔ คือ ‘วิมังสา’ อันเป็นหลักธรรมที่ทรงใช้และพระราชทานให้ผู้อื่นอยู่เสมอ ๆ เพราะทรงศึกษาและปฏิบัติธรรมมาอย่างต่อเนื่อง”

-------------------------------------------------------------------------------------------------------
 

ที่มา : www.facebook.com/notes/jarunee-nugranad-marzilli

จาก http://panyayan.tnews.co.th/contents/209221/
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...