“King of The World” ตลอดระยะเวลาครองราชย์กว่า 70 ปี พระบารมีและพระเกียรติคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ขจรขจายไปทุกหย่อมหญ้าทุกทวีป ปักหมุดความยิ่งใหญ่ให้สยามประเทศได้เป็นที่รู้จักในหน้าประวัติศาสตร์มาโดยตลอด
กระทั่งถึงวันแห่งความสูญเสียครั้งใหญ่ กษัตริย์จากทั่วทุกมุมโลกจึงพร้อมใจกันส่งพระราชสาส์นร่วมสดุดีพระมหากรุณาธิคุณ ผู้นำระดับโลกต่างร่วมถวายความอาลัยยิ่งต่อการสูญเสียครั้งใหญ่ พร้อมถ้อยคำสรรเสริญแซ่ซ้องดังกึกก้องในทำนองเดียวกันว่า “ประเทศไทยอาจไม่ได้เป็นประเทศที่ดีที่สุด แต่เป็นประเทศที่มีพระมหากษัตริย์ที่ดีที่สุดในโลก!!” ย้อนชมพระราชกรณียกิจของ “พ่อ” ในต่างแดน เมื่อ 50 กว่าปีก่อน ในสมัยต้นรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระราชกรณียกิจสำคัญอยู่ประการหนึ่ง คือการเสด็จเยือนไปยังดินแดนต่างๆ ทั้งในทวีปเอเชีย ทวีปยุโรป รวมถึงทวีปอเมริกา รวมแล้วกว่าหลายสิบประเทศ เพื่อเจริญสัมพันธไมตรี และคงไว้ซึ่งความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างราชอาณาจักรไทยกับหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งในการเสด็จแต่ละครั้งจะมีสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถโดยเสด็จด้วยเสมอ
ไม่ว่าจะเป็นดินแดนประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้เคยเสด็จมาแล้วในสมัยประธานาธิบดีไอเซนเฮาวร์ ทรงให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนชาวอเมริกันอย่างเป็นกันเอง ทั้งยังทรงพบปะบุคคลสำคัญของโลกแห่งวงการบันเทิงอีกหลายท่าน กระทั่งจารึกเป็นภาพประวัติศาสตร์ระดับโลกเอาไว้ ให้พสกนิกรได้เห็นเป็นบุญตามาจนถึงทุกวันนี้
คนระดับคลาสสิกของโลกในช่วงเวลานั้น ซึ่งมีโอกาสได้เข้าเฝ้าฯ พระองค์อย่างใกล้ชิด ได้แก่
ริชาร์ด บูน นักแสดงชายชื่อดังของฮอลลีวูด,
เอลวิส เพรสลี่ย์ ราชาเพลงร็อกแอนด์โรลของโลก,
วอล์ท ดิสนีย์ ผู้ให้กำเนิดตัวการ์ตูนชื่อดัง คือ มิกกี้ เม้าส์ รวมไปถึง เบนนี กู๊ดแมน นักดนตรีผู้ได้รับฉายา
“ราชาแห่งแจ๊ส” [ ทรงมีพระราชปฏิสันถารอย่างเป็นกันเองกับเอลวิส เพรสลี่ย์ ]
[ วอลท์ ดิสนีย์ ถวายธงมิคกี้เม้าส์ แด่เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ์ฯ และเจ้าฟ้าหญิงอุบลรัตน์ราชกัญญาฯ ]
ในการเสด็จเยือนอเมริกาครั้งนั้น ทรงเสด็จเยือนสถานที่พระราชสมภพ “โรงพยาบาลเมาท์ออเบิร์น” (Mount Auburn Hospital) ณ เมืองบอสตัน รัฐแมสซาซูเซตส์ ทรงพบกับพระสหายคนแรกคือ ดอกเตอร์ ดับบลิว.สจ๊วต วิตเมอร์ นายแพทย์ที่ทำคลอดและคณะพยาบาลอีก 4 คน คือ มิสซิส เลสลี่ เลตัน , มิส เจนีเวียฟ เวลด้อน , มิสซิสมาร์กาเร็ท เฟย์ และ มิสรูธ แฮริงตัน
[ ทรงมีพระราชปฏิสันถารกับแพทย์และคณะพยาบาล ]
เพื่อสานสัมพันธ์อันดีกับทวีปยุโรป พระองค์ก็ทรงเสด็จเยือนไปหลายแห่งเช่นกัน โดยได้พบปะกับกษัตริย์และบุคคลสำคัญหลายคน เช่น
พระสันตะปาปา จอห์นที่ 23 ณ กรุงวาติกัน ประเทศอิตาลี ,
สมเด็จพระนางเจ้าอลิซเบธที่ 2 และดยุคแห่งเอดินเบอระ พระสวามีถวายการต้อนรับที่สถานีรถไฟวิคตอเรีย ประเทศอังกฤษ ,
พระเจ้าเฟรเดอริก ที่ 9 และ
พระราชินีอิงกริด แห่งราชอาณาจักรเดนมาร์ก รวมถึงจอมพล
ฟรังโก และภรรยา แห่งราชอาณาจักรสเปน
[ สมเด็จพระสันตะปาปา จอห์นที่ 23 ทรงต้อนรับทั้ง 2 พระองค์ ณ สำนักวาติกัน ]
ในครั้งที่เสด็จพระราชดำเนินเยือนราชอาณาจักรสเปน ยังได้เสด็จไปทอดพระเนตรการแข่งขันฟุตบอลที่สนาม ซานติอาโก้ เบร์นาเบว ของสโมสรฟุตบอล เรอัล มาดริดอีกด้วย สร้างความปลื้มปีติให้แก่ผู้คนและแฟนบอลที่ได้มีโอกาสชื่นชมพระบารมีของทั้ง 2 พระองค์เป็นอย่างมาก
[ ทอดพระเนตรการแข่งขันฟุตบอลของสโมสรเรอัล มาดริด คลิป :
http://www.britishpathe.com/video/king-and-queen-of-thailand-in-madrid ]
แม้แต่ในทวีปเอเชียด้วยกันเอง พระองค์ก็ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากผู้นำของแต่ละประเทศเมื่อได้เดินทางไปเยือน ไม่ว่าจะเป็น ประธานาธิบดี
โง ดินห์ เดียม แห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม, ประธานาธิบดี
อู วินหม่อง สหภาพพม่า , ประธานาธิบดีและมาดาม
เจียง ไคเช็ค แห่งไทเป และ
ตนกู อับดุล ราห์มัน นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย
[ ประธานาธิบดีและมาดามเจียง ไคเช็ค ให้การต้อนรับทั้ง 2 พระองค์ ]
ที่สำคัญ
การไปเยือนแต่ละประเทศของพระองค์นั้น ไม่ใช่ไปเพื่อหาความสุขส่วนพระองค์ หากแต่เป็นการสร้างสัมพันธไมตรีทางการทูตให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น และถ้าสังเกตให้ดี หลังจากพระราชกรณียกิจการเสด็จฯ ทรงเยือนต่างประเทศในครั้งนั้น พระองค์ก็แทบไม่เคยย่างพระบาทออกไปจากแผ่นดินไทยเลย
องค์เหนือหัวรัชกาลที่ 9 ทรงใช้เวลาส่วนใหญ่ เดินทางไปทั่วทุกตารางนิ้วของประเทศไทยเพื่อขจัดทุกข์ บำรุงสุข ให้กับประชาชนของพระองค์ มากกว่าเลือกที่จะเสด็จฯไปต่างประเทศเพื่อความสุขส่วนพระองค์ เนื่องจากไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่พระองค์จะทรงห่วงไปมากกว่าพสกนิกรชาวไทยอีกแล้ว ดังเช่นหลักฐานจากหนังสือความทรงจำในการตามเสด็จต่างประเทศทางราชการ ซึ่งสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้พระราชนิพนธ์ถ่ายทอดความในพระราชหฤทัยเอาไว้ดังนี้
"...ข้าพเจ้าเคยคิดมาแต่ไหนแต่ไรแล้วว่า การไปต่างประเทศย่อมเป็นการสนุกสนานน่าตื่นเต้นยิ่งนัก โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว นับตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๕ เป็นต้นมา เมื่อข้าพเจ้ามีอายุเพียง ๑๙ ปี ได้ตามเสด็จพระเจ้าอยู่หัวกลับมาเมืองไทย พร้อมด้วยลูกสาวคนโตซึ่งมีอายุยังไม่ถึงขวบ จนข้าพเจ้ามีอายุ ๒๗ ปี ก็ยังมิได้เคยย่างกรายไปจากบ้านเกิด เมืองนอนอีกเลย
ทั้งนี้ก็เพราะพระเจ้าอยู่หัวทรงตั้งพระทัยไว้อย่างแน่วแน่ว่า จะไม่เสด็จออกนอกประเทศถ้าไม่ทรงมีเหตุผลที่สำคัญพอ ในฐานะที่ทรงเป็นพระประมุขของ ชาวไทย สมควรที่จะประทับอยู่ในเมือง เพื่ออยู่ใกล้ชิดกับราษฎรของท่านให้มากที่สุด
ถึงแม้เมื่อเสด็จแปรพระราชฐาน ก็ทรงแปรอยู่ในประเทศเรานี่เอง ทางเหนือบ้าง ทางใต้บ้าง แล้วแต่โอกาสจะอำนวย ไม่ได้ทรงคิดที่จะเสด็จไปทรงสกีนอกประเทศตอนหน้าหนาว หรือเสด็จเมืองใกล้เคียงเพื่อทรงเที่ยวเตร่ ซื้อของหรือเปลี่ยนบรรยากาศ อย่างคนอื่นในฐานะเดียวกันนี้เลย ส่วนข้าพเจ้าก็ไม่เคยคิดที่จะไปไหนถ้าท่านไม่เสด็จ..." ทั่วโลกร่วมไว้อาลัย น้อมเกล้าฯถวาย ด้วยความที่ราชอาณาจักรไทยและประเทศต่างๆ ทั่วโลก มีความสัมพันธ์ที่ดีมาโดยตลอด ข่าวการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชผู้เป็นที่รักยิ่งของพสกนิกรชาวไทย จึงนำมาซึ่งความเศร้าเสียใจแก่ผู้คนทั่วทั้งโลก
ราชวงศ์ต่างชาติได้ส่งพระราชสาส์น เพื่อเป็นการแสดงความเสียใจ รวมถึงสดุดีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุยเดชกันอย่างไม่ขาดสาย และตามสถานที่ต่างๆ ทั่วทั้งโลก ก็ได้มีการเปิดให้ประชาชนได้ลงนามถวายความอาลัยกันโดยพร้อมเพรียง
ในการนี้ สมเด็จพระราชาธิบดี
จิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก แห่งภูฏาน และสมเด็จพระราชินี
เจ็ตซุน เปมา วังชุก แห่งภูฏาน ทรงวางพวงมาลาถวายราชสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
ประเทศไทยกับประเทศภูฏาน มีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น สมเด็จพระราชาธิบดี จิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก ตรัสว่า ข่าวคราวการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือ ความเศร้าโศกครั้งยิ่งใหญ่ โดยพระองค์และพระบรมวงศานุวงศ์นำคณะสงฆ์ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลและประชาชนชาวไทยในภูฏาน จุดดวงประทีป 1,000 ดวง และสวดมนต์เพื่อระลึกถึง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพระบรมโกศ ณ วิหารเกนราแห่ง ทาชิโชซอง ในกรุงทิมพู เมืองหลวงของภูฏาน
ทางด้านของผู้นำประเทศอย่าง ประธานาธิบดี
บารัค โอบามา กล่าวสรรเสริญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่า ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ไม่เคยเหน็ดเหนื่อยในการพัฒนาประเทศชาติ และชื่นชมที่อุทิศพระองค์อย่างไม่ย่อท้อในความพยายามพัฒนาชีวิตภายใต้ร่มพระบริบาล “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นมิตรผู้ใกล้ชิดกับสหรัฐฯ และหุ้นส่วนที่มีคุณค่ายิ่งของประธานาธิบดีสหรัฐฯหลายคน”
ส่วน ประธานาธิบดี
วลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ได้ส่งสาส์นแสดงความอาลัยใจความว่า “ตลอดหลายสิบปีที่ทรงครองราชย์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงเป็นที่รักและเทิดทูนอย่างจริงใจของพสกนิกรชาวไทย และทรงเป็นที่เคารพนับถืออย่างยิ่งในต่างประเทศ”
นอกจากกษัตริย์และผู้นำประเทศต่างๆ แล้ว หน่วยงานสำคัญอย่างสหประชาติ ก็ได้มีการยืนสงบนิ่งเพื่อเป็นการไว้อาลัยที่สำนักงานใหญ่ของยูเอ็นในนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา
"สรรเสริญพระบารมี" กึกก้องโลก ไม่เพียงแค่ในต่างประเทศที่พร้อมใจกันถวายความอาลัยต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอดุลยเดช ในประเทศไทยเองก็มีอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่ต้องจารึกลงในหน้าประวัติศาสตร์ของไทย เพราะพสกนิกรชาวไทยให้ร่มพระบารมีของพระองค์ ได้ร่วมกับเปล่งเสียงถวายความอาลัย ด้วยเพลง
“สรรเสริญพระบารมี” กันอย่างกึกก้องไปทั่วมณฑลพิธีท้องสนามหลวง คาดว่าเป็นการทำลายสถิติการขับร้องเพลงร่วมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในหนังสือสถิติโลกอีกด้วย
22 ตุลาคม 2559 เป็นวันที่ประชาชนทั่วทุกสารทิศมารวมตัวกัน ณ ท้องสนามหลวง จนเต็มแน่นไปทั่วทั้งบริเวณ ซึ่งแต่ละคนพกหัวใจที่เต้มเปี่ยมไปด้วยความรักและสดุดีต่อพ่อหลวง เพื่อมาขับร้องเพลง “สรรเสริญพระบารมี” ร่วมกับวงดนตรีออร์เครสตา เพื่อจะนำไปใช้ในการเผยแพร่ในโรงภาพยนตร์ต่อไป ซึ่งในช่วงเวลากลางคืนได้มีการร่วมร้องเพลงนี้อีกครั้งพร้อมทั้งจุดเทียนสีขาวแสดงความไว้อาลัย
ก่อนหน้านี้
อ.ถ่ายเถา สุจริตกุล ผู้รับหน้าที่อำนวยการเพลงในงานนี้ ได้ให้ข้อมูลผ่านเฟซบุ๊กตัวเองว่า การขับร้องเพลงร่วมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในหนังสือสถิติโลก Guinness Book of Record ก็คือ ที่บังกลาเทศ ซึ่งมีผู้ร่วมขับร้องจำนวน 250,000 คน แต่หลังจากที่มีการสรุปตัวเลขของผู้เข้าร่วมงานเมื่อวานทำให้ทราบว่า
มีประชาชนมาเข้าร่วมกว่า 300,000 คน กลายเป็นว่าเหตุการณ์ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีที่ท้องสนามหลวงนั้น น่าจะเป็นเหตุการณ์การร้องเพลงร่วมกันที่ทำลายสถิติโลกไปแล้ว
ไม่เพียงแต่ในประเทศไทย ในวันเดียวกันที่สนามฮิลส์โบโร่ห์ของสโมสรฟุตบอล
เชฟฟิลด์ เวนสเดย์ (Sheffield Wednesday) ในประเทศอังกฤษ ซึ่งมี
เดชพล จันศิริ ชาวไทยเป็นเจ้าของสโมสร ก็ได้มีการการเปิดเพลง สรรเสริญพระบารมี และยืนสงบนิ่งเป็นเวลา 2 นาที ก่อนทำการแข่งขัน ได้ร่วมแสดงความไว้อาลัย แด่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ด้วย
คลิป
https://www.facebook.com/SWFCTH/videos/vb.715581288486802/1277909205587338/?type=2&theaterhttps://www.youtube.com/v/PvaR6HLwYWw ปิดท้ายกันที่การถวายความอาลัยจากวงการลูกหนังอีกหนึ่งภาพคือ
เคลาดิโอ รานิเอรี กุนซือ
เลสเตอร์ ซิตี พร้อมด้วยนักเตะในสโมสร ถือพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ก่อนเริ่มศึก พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ พบ คริสตัล พาเลซ ที่สนาม คิง เพาเวอร์ สเตเดียม คืนวันเสาร์ที่ 22 ตุลาคมที่ผ่านมา และโพสต์ภาพผ่าน เฟซบุ๊ก
Leicester City Football Club ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีอีกหลายสโมสรฟุตบอลร่วมแสดงความอาลัยเช่นกัน
ภาพ จาก
https://www.facebook.com/lcfc/photos/a.10151687441212769.1073741827.324520502768/10154642546227769/?type=3&theater ทั้งหมดที่กล่าวมาจะเห็นว่า ไม่ว่าจะเป็นอาชีพใด ศาสนาใด วงการใด เชื้อชาติใด หรือแม้แต่ราชวงศ์ในต่างประเทศเอง ก็ยังร่วมกันไว้อาลัยและถวายสดุดีให้แก่พระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งประเทศเล็กๆ อย่างประเทศไทย ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงไร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ก็จะยังคงสถิตอยู่ในใจประชาชนทั้งโลก สมดังคำกล่าวที่ว่า “พระองค์คือ King of the world”…จาก
http://astv.mobi/Ax5XQMN