ผู้เขียน หัวข้อ: “เป็นข้าราชการทำงานรับใช้พระเจ้าอยู่หัว คือความภูมิใจสูงสุด” หมอล็อต  (อ่าน 1201 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
“เป็นข้าราชการทำงานรับใช้พระเจ้าอยู่หัว คือความภูมิใจสูงสุด” หมอล็อต - น.สพ.ภัทรพล มณีอ่อน

      หมอล็อต หรือนายสัตวแพทย์ภัทรพล มณีอ่อน  คือนักอนุรักษ์และหมอรักษาสัตว์ป่าคนแรกของประเทศไทย ที่ทำงานเพื่อการรักษาสัตว์ป่ายังถิ่นอาศัยมานานกว่า 10 ปี เขาเคยให้สัมภาษณ์กับ mars ในเดือนธันวาคม 2558 ใจความตอนหนึ่งว่า
       
      “สำหรับผม ผมได้เป็นข้าราชการ คำคำนี้หลายๆ คนอาจจะไม่ได้ให้ความสำคัญหรือรู้สึกอะไรมากนัก แต่ผมในฐานะที่เป็นประชาชนคนหนึ่งที่มีความจงรักภักดี  การเป็นข้าราชการก็คือผู้ทำงานต่างพระเนตรพระกรรณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  นั่นคือมงคลชีวิตของคนไทยคนหนึ่งที่ได้ทำงานเพื่อประเทศชาติ นั่นคือความภูมิใจสูงสุดเหนือสิ่งอื่นใดแล้ว”
       
       ภาพที่เราเห็นทุกครั้งในพระราชกรณียกิจของในหลวงนั้นก็คือการทำงานเพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้กับประชาชนทั่วทั้งผืนแผ่นดินไทย นั่นคือ ‘งาน’ ที่พระองค์เคยตรัสกับ ดร. สุเมธ ตันติเวชกุล ไว้ว่าหากเป็นอาชีพก็คือ ‘ทำราชการ’ ฉะนั้นความหมายของคำว่า  ‘ข้าราชการ’ อย่างแท้จริงจะเป็นอื่นใดไปเสียไม่ได้นอกจาก  ‘ผู้ทำงานต่างพระเนตรพระกรรณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว’  และนั่นคือหน้าที่อันทรงเกียรติในการบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้กับประชาราษฎร์โดยเฉพาะการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่พระองค์ทรงตรากตรำและพร่ำสอนพวกเรามาทั้งชีวิต




      ท่ามกลางปัญหาเรื่องธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมถูกทำลายอย่างต่อเนื่องมาตลอด การฟื้นฟูและอนุรักษ์ธรรมชาติที่เคยอุดมสมบูรณ์ให้คงอยู่ หรือที่มีอยู่แล้วก็รักษามันไว้ จึงเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนสำหรับนักอนุรักษ์อย่าง‘หมอล็อต-นายสัตวแพทย์ภัทรพล มณีอ่อน’
       
       “ตรงไหนที่เคยเป็นเคยมีเราก็ต้องฟื้นฟูเพิ่มจำนวนพื้นที่ป่าให้ได้ เขาให้ทางเลือกมาแล้วว่าอยากอยู่รอดก็ต้องเข้าหาธรรมชาติ คุณไม่ต้องไปหาเทคโนโลยีที่ยิ่งใหญ่หรอก แค่ย้อนกลับมา
       
       “อีกหนทางรอดหนึ่งคือ เราคนไทยมีในหลวงซึ่งถือว่าเป็นเทวดาที่มีชีวิต ท่านมีกรอบแนวทางในการดำเนินชีวิตให้กับคนไทยอยู่แล้วในเรื่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง หนึ่งในปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงคือใช้อย่างพอเพียง แล้วก็ไม่ให้เกิดการทำลายเพิ่มเติม สิ่งสำคัญก็คือพระองค์ท่านจะเน้นย้ำเรื่องการปลูกพืชสมุนไพร ประเทศไทยมีสมุนไพรนานาชนิดในการรักษาโรค ในการดูแลสุขภาพให้ดี นั่นคือกุญแจแห่งการอยู่รอด สมุนไพรที่เราปลูกตามบ้านล้วนเป็นยาอายุวัฒนะทั้งสิ้น ผมเองกินฟ้าทะลายโจรเป็นประจำ โอกาสเจ็บป่วยมันก็น้อย เรามีของพวกนี้อยู่แล้ว”
       
       เช่นนี้แล้วเราจึงขอพาย้อนกลับไปดูความคิดความอ่านและการทำงานของข้าราชการหนุ่มท่านนี้ ซึ่งน้อมนำแนวทางของ ‘พ่อ’ มาเป็นหลักในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อปกป้องทรัพยากรธรรมชาติ และเพื่อให้เราตระหนักถึงความสำคัญของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม...
       
       แล้วเราจะเดินคู่กันไปอย่างไร ระหว่างความศิวิไลซ์กับการอนุรักษ์?

       
       เขาเรียก sustainable หรือการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน คือมีการใช้แล้วก็มีการทดแทน มีการรักษา ทำให้เพิ่มขึ้น เราใช้วันนี้ลูกหลานเราก็ยังมีใช้ ซึ่งต่างจากอดีตที่เราใช้กันอย่างไม่บันยะบันยัง ใครกอบโกยได้ก่อนก็ได้ทรัพยากรมาก วันนี้เราต้องมาดูว่าเราใช้ได้แค่เท่าไหร่ เราไม่ได้ต่อต้านเรื่องการพัฒนา แต่มองเรื่องการอนุรักษ์ควบคู่ไปด้วย
       
       อีกเรื่องก็คือการปรับทัศนคติ ในอดีตบ้านใครมีงาช้างก็จะมองเป็นเรื่องเจ๋ง เปลี่ยนมุมมองได้ไหม ใครมีเยอะสนับสนุนให้ไปเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์เป็นแหล่งเรียนรู้ซะ ในขณะที่ใครยังมีสิ่งเหล่านี้อยู่ในบ้านก็อย่าไปมองว่าเขาเจ๋ง จริงๆ มันเอาต์ไปแล้วกับการมีเขา มีงา มีซากสัตว์อยู่ในบ้าน อย่าไปยกย่องคนที่มีสิ่งเหล่านี้ เราควรจะชื่นชมบ้านที่ปลูกต้นไม้ไว้รอบบ้าน บ้านที่ปลูกพืชสวนครัวไว้กินตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง เรื่องของการครอบครองซากสัตว์หรืออะไรที่ผิดกฎหมายต่างๆ การแก้ไขปัญหานี้ไม่ใช่เอากฎหมายไปจับคนที่มีอยู่แล้ว เราควรจะป้องกันคนที่จะมีใหม่ด้วยการปรับทัศนคติของคนในสังคม ใครมีซากสัตว์ป่าเป็นเรื่องที่เชย



ในกลุ่มคนที่มองเรื่องการพัฒนาที่ดินเขาก็จะบอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวเราปลูกเพิ่มใหม่ได้ ถามจริงๆ ในความคิดหมอคิดว่ามันจะทันไหมกับภาวะโลกร้อนที่เราเผชิญอยู่?
       
       เรื่องโลกร้อนมนุษย์เห็นผลแล้วว่าการทำลายธรรมชาติมันมีผลกระทบต่อมนุษย์ แน่นอนการทำลายมันเกิดขึ้นซึ่งใช้เวลาสั้น ส่วนการฟื้นฟูใช้เวลายาว การฟื้นฟูที่ใช้เวลายาวๆ เนี่ยมันเป็นไปได้ยากเพราะผลกระทบเราเกิดขึ้น ณ วันนี้แล้ว จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลยที่นานาประเทศจะขวนขวายหาดาวดวงใหม่ คือวันนี้ดาวดวงเดิมก็ยังพออยู่ได้ แต่อนาคตมันอยู่ไม่ได้แน่ๆ ทวีปอื่นเขาหาดาวดวงใหม่กันแล้ว แต่ทวีปเรายังทำลายกันอยู่เลย ฉะนั้นเรือโนอาห์ไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ในอนาคตอาจจะมี แต่ว่าใครล่ะจะได้ไป ตอนนี้ธรรมชาติกำลังคัดเลือกเราด้วยโรคต่างๆ เรื่องภัยธรรมชาติ ถ้าวันหนึ่งเกิดวิกฤติขึ้นมาจนโลกเราอยู่ไม่ได้ มนุษย์ก็ต้องคัดเลือกกันเองแล้วว่าใครจะได้ไปอยู่ที่ใหม่
       
      ในฐานะคนเมือง เราจะมีวิธีช่วยดูแลธรรมชาติกันยังไงบ้าง?
       
       เริ่มจากตัวเราเองในชีวิตประจำวันนี่แหละ ใช้น้ำอย่างประหยัด อย่างตัวผมก็ไม่รีดเสื้อ ใส่เสื้อยับๆ เพื่อประหยัดไฟ เรามองภายนอกแต่งตัวเนี้ยบเรียบหรูใช่ว่าจะเป็นคนดีเสมอไป เรามาสร้างเทรนด์ใส่เสื้อยับกันดีกว่า เพราะเวลาเรารีดผ้าคนรีดก็ร้อน พอร้อนก็เปิดแอร์รีดผ้าอีก แค่คุณเสียเวลาสลัดผ้าตากหน่อยมันก็เรียบแล้ว
       
       แล้วห้ามเดินห้างไหม? เดินเลย เพราะมันเป็นการสร้างความสบายให้กับตัวคุณเอง มันเป็นกิจกรรมของมนุษย์อยู่แล้ว อย่าไปสุดโต่ง ขอให้มีสติ ตอนนี้ทุกคนรู้ว่าความเปลี่ยนแปลงมันเกิดจากอะไร ทุกคนรู้แต่ไม่ปรับตัว เราไม่อยู่ในสถานะผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับสิ่งที่เกิดขึ้น แนวทางของเราแค่พูดเขาก็อาจจะไม่อิน ต้องดึงเขาเข้ามาสัมผัส ให้เขาเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย อย่างสมมุติผมกำลังรณรงค์เรื่องขยะในอุทยาน เราบอกว่าอย่าทิ้งขยะในอุทยานนะ สัตว์ป่ามากินแล้วจะไม่ดี คนก็บอกว่าทิ้งให้ถูกที่ก็พอมั้ง แต่พอขยะมันเยอะๆ เข้าก็ขนทิ้งไม่ทัน สัตว์ป่าก็ไปคุ้ยกิน ฉะนั้นเราต้องเอาคนเหล่านี้มาสัมผัส อย่างเช่นเห็นลิงตัวนี้ไหมที่คนเอาอาหารมาให้เมื่อ 15 นาทีที่แล้ว แต่ปัจจุบันมันถูกรถชนตายเพราะคนให้เขาคิดว่าทำบุญ แต่สำหรับลิงกลับเรียนรู้ว่าเมื่ออยู่ข้างถนน คนก็จอดรถเอาขนมให้กิน พอได้กินติดใจรสชาติ มันก็เรียนรู้ต่อว่าถ้ากระโดดขวางรถ รถจะหยุดแล้วมีคนเอาอาหารให้ มันเริ่มต้นจากการทำบุญแต่ท้ายสุดก็เป็นบาป เราต้องพาคนเหล่านี้มาดูมาสัมผัส อย่างเราผ่าท้องกวางก็ชี้ให้เขาเห็นเลยว่าในท้องมันมีถุงพลาสติกอัดอยู่เต็มเลย เมื่อคนเหล่านี้มาเห็นก็จะเกิดการกลั่นกรอง การปรับทัศนคติด้วยตัวเขาเอง แล้วมันจะกลายเป็นข้อมูลนำเสนอต่อคนอื่นๆ ดังนั้นหน้าที่ของเราก็ต้องเป็นคนสื่อความหมายของธรรมชาติ โจทย์คือเราจะทำยังไงให้คนเหล่านี้รู้ได้มาก เราต้องสร้างฮีโร่ขึ้นมา ทุกคนเป็นฮีโร่ได้ ให้เขาไปขยายในวงของเขา เราเรียกว่าฮีโร่แชร์ลูกโซ่



   10 กว่าปีในการทำงานด้านอนุรักษ์ อะไรคือข้อดีที่เกิดขึ้นทั้งตัวหมอและสังคมรอบข้าง?
       
       สำหรับผม ผมได้เป็นข้าราชการ คำคำนี้หลายๆ คนอาจจะไม่ได้ให้ความสำคัญหรือรู้สึกอะไรมากนัก แต่ผมในฐานะที่เป็นประชาชนคนหนึ่งที่มีความจงรักภักดี การเป็นข้าราชการก็คือผู้ทำงานต่างพระเนตรพระกรรณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นั่นคือมงคลชีวิตของคนไทยคนหนึ่งที่ได้ทำงานเพื่อประเทศชาติ นั่นคือความภูมิใจสูงสุดเหนือสิ่งอื่นใดแล้ว ฉะนั้นข้าราชการก็คือมีหน้าที่บริการประชาชน พอเราเป็นตรงนี้เรายิ่งต้องเข้าถึงประชาชนให้มาก เพราะภาษีที่เขาจ่ายมามันคือค่าตอบแทนเรา เกียรติยศชื่อเสียงมันเป็นแค่รอยยิ้มที่มุมปาก แต่มันไม่ได้ทำให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น
       
       สังคมได้อะไร? ได้ความตระหนัก ได้ความรับรู้ ได้รู้สึกว่าเขามีส่วนได้ส่วนเสียอย่างแท้จริง เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ต้องมาประคับประคอง ป้องกัน และแก้ไข เราเป็นแค่คนที่ประชาชนเขาจ้างมา เราเป็นสัตวแพทย์รับจ้างที่ทำงานให้กับประชาชนทั้งประเทศ แต่ถามว่าความฝันสูงสุดในชีวิตคืออะไร เราแค่อยากเป็นผู้นำครอบครัวที่อบอุ่น เราคิดว่ามันเป็นสิ่งที่บ่งบอกตัวตนของเราได้ดีที่สุดว่าเราคือคนธรรมดา สังคมอาจจะมองว่าหมอล็อตเป็นฮีโร่ แต่รู้ไหมว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำมันคือหน้าที่ที่เราต้องทำให้สำเร็จ ตอนเข้าป่าถามว่าคิดอะไรอยู่ เราคิดแต่ว่าทำให้เสร็จแล้วเราจะได้กลับบ้าน คำว่ากลับบ้านมีความหมายกับเราและลูกน้องมาก เมื่อเสร็จภารกิจแล้วเราขับรถไปส่งลูกน้องที่บ้าน เราได้เห็นลูกเมียของเขายืนรออยู่หน้าบ้าน ลูกวิ่งมาหาพ่อ ภาพเหล่านั้นมันเป็นภาพที่ประทับใจในฐานะที่เราเป็นหัวหน้าทีม เราพาเขาไปเสี่ยงชีวิตกับสัตว์ป่าแล้วก็พาเขามาส่งบ้านได้มันเป็นอะไรที่มีความสุขมาก
       
       ภาพตรงนี้เราอยากให้เขาเห็นให้ชัด ให้เขาเห็นว่าเราอยู่ในเมืองได้ ไปปั่นจักรยาน ไปดูหนัง หรือแฮงก์เอาต์กับเพื่อนได้ มันไม่ใช่ว่าคนที่มาทำงานด้านนี้ต้องตัดส่วนอื่นๆ ของชีวิตไปเลย มันไม่ใช่! คุณสามารถบาลานซ์ชีวิตได้ ใช้ชีวิตปกติได้ สิ่งที่เราทำคือทำโดยหน้าที่ บางคนอาจจะมองว่าผมรัก ผมไม่รักนะ ผมอยากใส่สูทผูกไทขับ BMW หรูๆ รับสาวไปกินข้าว หรือเป็นเพลย์บอยกันไป แต่เป็นอย่างนั้นสังคมไม่ได้ประโยชน์ ฉะนั้นคนเราอาจจะไม่จำเป็นต้องเป็นในสิ่งที่เราชอบหรือเรารักก็ได้ แต่ควรจะเป็นในสิ่งที่สังคมได้ประโยชน์ ถ้าสังคมดีตัวเราก็ดี ถ้าสังคมแย่ตัวเราก็แย่
       
       ในเมื่อเราไม่ได้รักยังทำได้ขนาดนี้ แล้วถ้าคนที่รักมาทำแบบเรามันต้องดีกว่าสิ ถ้าใครรักมาทำเลย เพราะสังคมจะได้ประโยชน์จากสิ่งที่เราทำ



  เมื่อไหร่ที่คิดจะวางมือจากการเป็นสัตวแพทย์สัตว์ป่า?
       
       ผมคือสัตวแพทย์มืออาชีพ ผมจะทำงานนี้ไปเรื่อยๆ และอย่าลืมว่าผมถือไมโครโฟนจับปากกาก็รักษาสัตว์ได้ เมื่อเราเป็นสัตวแพทย์มืออาชีพมันก็จะติดตัวเราไปตลอด เพื่อนๆ ถามว่าเมื่อก่อนดูก๊อกแก๊ก แต่หลังๆ ทำไมเท่ เราก็บอกว่าทำความดีสิ หน้าตาเราก็เหมือนเดิมไม่ได้ทำอะไรมา สิ่งที่เพิ่มเติมคือทำความดีเดี๋ยวมันหล่อเอง อยากหล่อก็ทำความดี หน้าที่มันดูดีกว่าหน้าตา หน้าตาหล่อตามอายุขัย แต่ความดีมันหล่ออมตะ ตายยังหล่อ (หัวเราะ)
       
       ความภูมิใจในฐานะลูกผู้ชายสำหรับเรามี 3 สิ่งที่ต้องทำ  1.รับใช้ชาติ  2.สืบทอดพระพุทธศาสนา  3.ดูแลผู้หญิงที่เรารักให้ดีที่สุด สองอย่างแรกเราทำแล้ว ถามว่าวันนี้ทำไมยังไม่มีแฟน?  นั่นเพราะเราไม่ใช่คนเจ้าชู้ บุคลิกอาจจะทะเล้นแอบหล่อ แต่ผมไม่เจ้าชู้นะ แล้วให้เกียรติผู้หญิงด้วย อย่าลืมนะครับว่าทำงานกับสัตว์ป่าถ้าใจคุณไม่บริสุทธิ์คุณทำไม่ได้ เคยมีคนมาแข่งกับผม เขาเข้าถึงตัวสัตว์ยังไม่ได้เลยแต่ทำไมสัตว์เขาให้ผมเข้าไปรักษาได้ ตอนนั้นที่มีข่าวหมอล็อตเดินนำช้างตกมันเข้าป่า ช้างเขาไม่รู้หรอกครับว่าเราเป็นสัตวแพทย์ แต่เจตนาของเรานั่นแหละมันสื่อออกมาเอง  สัตว์ป่าเขารับรู้ได้ ตอนแรกเราก็ไม่เชื่อ  แต่หลายครั้งมันก็ทำให้เราเชื่อไปเอง เวลาที่ผมจะรักษาช้างเราก็ยกมือไหว้ สิ่งเหล่านี้มันทำให้เราเป็นตัวการันตีว่าเราต้องไม่ผิดศีล ต้องมีคุณธรรมจริยธรรม  ถ้าเราไปมีเรื่องชู้สาวมันก็ทำให้ตัวเราไม่บริสุทธิ์

        เรื่อง : วรชัย รัตนดวงตา
       ภาพ : พาณุวัฒน์ เงินพจน์


จาก http://astv.mobi/AHqoIcw




หมอล็อต กับ "ความดีที่สานต่อ ไม่ทำให้พ่อผิดหวัง"

ในชั่วโมงนี้ นอกจากความรู้สึกเศร้าโศกเสียใจ ความเข้มแข็งและสามัคคีคือสิ่งที่ควรกระทำเพื่อให้พ่อหลวงทอดพระเนตรลงมาอย่างสบายพระทัย

            รูปที่มีทุกบ้านกับคำสอนของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทำให้เด็กธรรมดาคนหนึ่งเดินมาถึงจุดที่สังคมยอมรับในฐานะสัตวแพทย์สัตว์ป่าคนแรกของไทย

        ภัทรพล มณีอ่อน หรือ หมอล็อต เล่าว่าตั้งแต่เกิดก็ได้เห็นพระองค์ท่าน จากพระบรมฉายาลักษณ์ที่มีกันทุกบ้าน แม้ตอนเด็กจะไม่รู้ประสีประสานัก แต่ก็ถูกปลูกฝังจากพ่อแม่เสมอว่า ก่อนออกจากบ้านให้ไหว้พระองค์ท่าน ไหว้พ่อ ไหว้แม่ เขาจึงทำอยู่เสมอตั้งแต่เด็กๆ และยามก่อนนอน ก็ต้องสวดมน

“กราบหนึ่ง กราบสอง กราบสาม กราบพระพุทธ กราบพระธรรม กราบพระสงฆ์ กราบในหลวง กราบราชินี กราบพ่อ กราบแม่ กราบพี่ กราบน้อง”

พอโตขึ้นรู้ภาษามากขึ้น หมอล็อตจึงได้รับรู้เรื่องพระราชกรณียกิจ ได้รู้ลึกซึ้งว่าพระองค์ท่านเป็นใคร ทรงทำอะไร ตลอดเวลาที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน เขาจึงรู้สึกว่าพระองค์ท่านคือที่ยึดเหนี่ยวในการดำเนินชีวิต

“ยิ่งช่วงที่ผมทำงานช่วงแรกๆที่ค่อนข้างยากลำบากเพราะทำงานในป่า เจอปัญหาเจออุปสรรค ความท้อแท้มีอยู่แล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เรามีกำลังใจ คือ เมื่อเราไปที่ไหนก็จะพบเห็นพระบรมฉายาลักษณ์ และพระบรมสาทิสลักษณ์ ทำให้เราระลึกถึงแล้วมีกำลังใจ

            สำหรับการทำงาน สิ่งที่เราคิดอย่างเดียวคือเรามีหน้าที่บริการประชาชน ช่วยเหลือประชาชนในฐานะที่เราเป็นข้าราชการ เป็นตัวแทนของพระองค์ท่าน เวลาเราทำงานมันมีคำถามว่าเราจะเสียสละไปทำไม เราให้ไปแล้วเราจะได้อะไร เราควรทำสิ่งที่ทำแล้วได้อะไรตอบแทนไม่ดีกว่าหรือ สำหรับในหลวงพระองค์ทรงใช้คำว่าหลักสังฆทาน ซึ่งมีความหมายลึกซึ้งคือ ให้เพื่อให้ เป็นการให้โดยไม่เลือก ไม่ได้ให้เพื่อหวังผลตอบแทน”

            ณ ปัจจุบัน หมอล็อตเป็นคนที่สังคมรู้จัก แต่การที่ได้มาถึงจุดนี้ เขาพึงระลึกเสมอว่าสิ่งสำคัญที่ทำให้คนมารักก็อยู่ที่ว่าเขาได้ทำอะไรให้แก่สังคม เนื่องจากต้องทำงานเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสัตว์ป่า เขาจึงยึดหลักปฏิบัติอย่างพระองค์ท่าน อันจะเห็นได้ว่าตลอดเวลาที่พระองค์ท่านทรงงาน พระองค์เสด็จยังพื้นที่ป่า ทุรกันดาร เสด็จในที่ที่ยากลำบาก พระองค์ท่านจะใช้วิธีการให้ธรรมชาติช่วยธรรมชาติ คือ ให้ประชาชนเข้าใจธรรมชาติ มองปัญหาธรรมชาติอย่างละเอียดลออ เพราะการแก้ไขปัญหาธรรมชาติต้องใช้ธรรมชาติมาช่วยเหลือ เช่น การแก้ปัญหาป่าเสื่อมโทรม พระองค์ทรงพระราชทานแนวทางแก้ปัญหาคือ ปลูกป่าโดยไม่ต้องปลูก ให้ธรรมชาติได้ฟื้นฟูธรรมชาติ พระองค์ทรงเข้าใจธรรมชาติและมนุษย์ให้อยู่อย่างเกื้อกูลกัน สิ่งเหล่านี้ทำให้สัตวแพทย์หนุ่มผู้นี้นำมาเป็นอาวุธทางปัญญา เมื่อต้องปฏิบัติงานในพื้นที่จริง

            “และกรณี ในหลวงทรงได้รับเชื้อไมโครพลาสม่าจากการเสด็จไปที่สะเมิงนี้เอง อันเป็นสาเหตุของโรคพระหทัยเต้นผิดปกติเรื้อรังมาถึงปัจจุบัน แม้คณะแพทย์จะพยายามเท่าใด ก็ไม่อาจถวายการรักษาให้หายขาดได้ ทำได้เพียงถวายพระโอสถประคองพระอาการมาตลอด จนกระทั่งต้องทรงรับการผ่าตัดใหญ่เมื่อปี 2538 ในหลวงเคยมีพระราชกระแสเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า... "ฉันขึ้น-ลงสะเมิงอยู่หลายปี จนได้รับเชื้อไมโครพลาสม่า ซึ่งในที่สุดทำให้ฉันเป็นโรคหัวใจเต้นไม่ปกติ จนเกือบต้องเสียชีวิต" นี่เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า ท่านนึกถึงสิ่งอื่นก่อนมากกว่าตัวเอง ในการทำเพื่อประชาชน”

นอกจากบทบาทผู้พิทักษ์ชีวิตสัตว์ป่า หมอล็อตมีโอกาสเป็นวิทยากรให้ความรู้ในหลายวาระและโอกาส สิ่งที่เขาภาคภูมิใจที่สุดคือได้นำเรื่องราวพระราชกรณียกิจไปถ่ายทอด โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ สัตว์ป่า และสิ่งแวดล้อม ให้แก่ประชาชน ชาวบ้าน หรือองค์กรต่างๆ ซึ่งเขาสัญญาว่าจะทำตลอดชีวิต

            “ตลอดเวลาที่ผ่านมา สายตาลูกทุกคนมองพ่อ บอกรักพ่อ และตั้งปณิธานว่า "ทำแบบพ่อ ทำดีเพื่อพ่อ" ขณะนี้ พ่อไปอยู่บนสรวงสวรรค์ มองเห็นลูกทุกคน และเฝ้ามองดูอย่างให้กำลังใจว่าจะทำอย่างที่ปฏิญาณไว้หรือไม่?

          และเหนือสิ่งอื่นใดที่พ่อต้องการเห็นและลูกควรจะทำ ในขณะนี้คือ "เข้มแข็งและสามัคคี" ท่านมอบสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ให้ทุกคนสานต่อ อย่าให้พ่อผิดหวัง”

จาก http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/724342


'ทำความดีเดี๋ยวมันหล่อเอง' หมอล็อต - น.สพ.ภัทรพล มณีอ่อน

http://www.tairomdham.net/index.php/topic,11572.0.html

http://www.sookjai.com/index.php?topic=181967
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 27, 2016, 10:15:47 pm โดย มดเอ๊กซ »
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...