ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ในห้วงเวลาแห่งความโศกเศร้า และอาลัยของพสกนิกรชาวไทย ต่อการสวรรคตของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช แน่นอนว่าบรรยากาศหมองหม่นระคนทุกข์ย่อมปกคลุมคนไทยทุกหมู่เหล่า ทุกเพศ ทุกวัย ทุกเชื้อชาติ ทุกศาสนา ทั่วทุกพื้นที่ของประเทศไทย และทั่วโลก แต่ในบรรยากาศความโศกเศร้าราวกับโลกทั้งใบจะหยุดหมุน ก็มี
“ปรากฏการณ์” ที่น่าสนใจหลายประการเกิดขึ้น
ไล่ตั้งแต่ภาพความสมัครสมานสามัคคีของคลื่นมหาชนชาวไทยที่ต่างหลั่งไหลเดินทางมายังท้องสนามหลวง จนแทบเหลือที่ว่าง ตลอดวันที่ 22 ตุลาคมที่ผ่านมา เพื่อร่วมร้องเพลง
“สรรเสริญพระบารมี” ถวายความอาลัยแด่
“องค์พ่อหลวง” เป็นบทพิสูจน์ ไม่ว่าฝนจะตก ฟ้าจะร้อง แดดจะร้อนแรงเพียงใด ก็ไม่อาจกั้นขวางความจงรักภักดีที่ประชาชนคนไทยมีต่อ องค์พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 และสถาบันพระมหากษัตริย์ ได้
ที่น่าเหลือเชื่อคือการเชิญชวนมาร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีถวายพระองค์ท่าน ร่วมกับวง Siam Philharmonic Orchestra พร้อมคอรัส 100 คน โดยวาทยากรชื่อดังอย่าง
อาจารย์สมเถา สุจริตกุล เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในภาพยนตร์เพลงสรรเสริญพระบารมี ฉบับประวัติศาสตร์ ที่ผ่านการรังสรรค์ของทีมงาน
“ท่านมุ้ย” ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล ที่ได้รับพระราชานุญาตในการจัดทำในวันนั้น ไม่ได้มีการออกบัตรเชิญอย่างเป็นทางการ มีเพียงการเชิญชวนกันแบบปากต่อปาก ผ่านสังคมออนไลน์ด้วยข้อความสั้นๆ เพียงไม่กี่วัน ก่อเป็นปรากฏการณ์ที่ต่างชาติยังต้องตื่นตะลึง
ภาพของคนไทยทุกหมู่เหล่า ทั้งที่เดินทางไปยังท้องสนามหลวง เปล่งเสียงร้องพร้อมชูพระบรมฉายาลักษณ์ หรือธนบัตรที่มีพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ขึ้นเหนือหัว หรือตะโกนร่วมร้องเพลงสรรเสริญอยู่ในสถานที่อื่น เป็นการแสดงพลังความรักที่มีแด่ “องค์พ่อหลวง” ของพสกนิกรชาวไทยได้อย่างเหนือคำบรรยาย
นอกเหนือจากความจงรักภักดีของพสกนิกรไทยที่สร้างความประทับใจ และเสียงชื่นชม จากนานาอารยประเทศแล้ว ยังมีปรากฏการณ์สำคัญ สะท้อนให้เห็นถึง “น้ำใจ” ของปวงชนชาวไทยผู้ที่มีหัวอกเดียวกัน ต่างเสียสละเกื้อกูลช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
ปวงชนชาวไทยจากทั่วทุกสารทิศพร้อมใจกันเดินทางมายังท้องสนามหลวงในวันที่ 22 ตุลาคม พุทธศักราช 2559 เพื่อร่วมร้องเพลง “สรรเสริญพระบารมี” (ภาพโดย ภูริต เนติมงคลชัย) เริ่มตั้งแต่ในช่วงแรกที่มีผู้ขับขี่มอเตอร์ไซด์
“จิตอาสา” ทั้งสาธารณะและส่วนบุคคล พร้อมใจกันมาให้บริการฟรีแก่ประชาชนที่จะเดินทางเข้ามายังพระบรมมหาราชวังและบริเวณโดยรอบ ที่มีชาวไทยหลั่งไหลมาจากทั่วทุกสารทิศ เพื่อร่วมถวายสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช อย่างไม่ขาดสาย หรือกระทั่งการที่ประชาชนทั่วไปร่วมกันเดินเก็บกวาดขยะสิ่งปฏิกูลรอบบริเวณ โดยไม่มองว่าเป็นความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ภาครัฐเท่านั้น
ตลอดจนการแบ่งปัน อาหาร เครื่องดื่ม และสิ่งของจำเป็น ให้แก่กันโดยไม่คิดมูลค่า ทั้งในรูปแบบส่วนตัว องค์กรเอกชน ภาครัฐ หรือมูลนิธิสาธารณะต่างๆ
และที่เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ คือ
“น้ำพระทัย” จาก
“พระบรมวงศานุวงศ์” ในการพระราชทานอาหารเครื่องดื่ม รวมถึงการอำนวยความสะดวกให้แก่พสกนิกรที่มุ่งหน้ามายังพระบรมมหาราชวัง
ดังที่
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร มีพระราชบัณฑูรในหลายวาระ โดยช่วงต้นได้รับสั่งผ่าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการทำความเข้าใจและไม่ก่อให้เกิดความสับสน กังวลใจเกี่ยวกับการสืบราชสันตติวงศ์ ที่ทรงขอเวลาทำพระทัยและแสดงความเสียใจร่วมกับประชาชนทั้งประเทศไปก่อนในระยะเวลานี้ ค่อยดำเนินการตามกระบวนการอัญเชิญขึ้นสืบราชสมบัติ
ในขณะที่การดูแลประชาชนที่เดินทางมาแสดงความไว้อาลัย ณ พระบรมมหาราชวังและพื้นที่โดยรอบ ก็ทรงรับสั่งกำชับว่า ไม่ให้เกิดความเดือดร้อนในเรื่องความปลอดภัย การเดินทาง สุขภาพอนามัย อาหารการกินและที่พัก อันเป็นที่มาของการตั้ง ศูนย์บัญชาการติดตามสถานการณ์ (ศตส.) ของรัฐบาล เพื่ออำนวยความสะดวก ประสานงาน ให้บริการ และให้ข้อมูลแก่ประชาชนในช่วงพระราชพิธี
ยิ่งไปกว่านั้น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ยังทรงรับสั่งด้วยว่า พสกนิกรที่มาเป็น
“แขกของพระองค์” ต้องทำให้ได้รับความสะดวกสบายที่สุด โดยโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้หน่วยทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ฯ มาตั้งเต็นท์เพื่อนำอาหาร ขนม ผลไม้ และเครื่องดื่มมาแจกจ่ายทั้ง 3 เวลา เช้า กลางวัน เย็น
“สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงรับสั่งว่าพสกนิกรที่มาเป็นแขกของพระองค์ ฉะนั้นต้องทำให้พสกนิกรได้รับความสะดวกสบายที่สุด ได้รับสิ่งที่ดีที่สุด จึงได้พระราชทานอาหาร โดยทรงมีรับสั่งอีกด้วยว่า ต้องดี ต้องอร่อย” เจ้าหน้าที่ทหารมหาดเล็กฯรายหนึ่ง ระบุ
รวมทั้งทรงมีพระราชบัณฑูร ให้แพทย์ทหารอากาศถวายงานร่วมกับแพทย์พระราชฐาน 904 ให้บริการประชาชนที่มาร่วมแสดงความอาลัยด้วย
ในขณะที่พระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ก็ได้ร่วมประทาน “น้ำพระทัย”ตั้งแต่กองงานในพระองค์
สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี แจ้งว่าทรงโปรดเกล้าฯพระราชทานเลี้ยงอาหารกล่องและน้ำดื่มแก่ ประชาชนซึ่งเดินทางมาถวายสักการะพระบรมศพ ทุกวันจันทร์-พุธ-ศุกร์ ต่อเนื่องจนครบ 100 วัน ณ ท้องสนามหลวง และโปรดให้จัดรถพยาบาล พร้อมแพทย์และพยาบาลจาก รพ.จุฬาภรณ์ เพื่อให้บริการและดูแลประชาชน
โดยผู้ปฏิบัติหน้าที่บริเวณเต็นท์กองงานในพระองค์ฯ ให้ข้อมูลว่า สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงมีรับสั่งว่า
“ให้ดูแลประชาชนให้ดีที่สุด ให้การดูแลให้ดีที่สุด” นอกจากนี้ ในวันที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ไปยังอาคารจักรพันธุ์เพ็ญศิริ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2559 ที่ผ่านมา ปวงชนชาวไทยยังได้รับทราบถึงความห่วงใยที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชอีกด้วย เมื่อสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี พระราชทานพระโอวาทแก่บัณฑิต ความตอนหนึ่งว่า
“ข้าพเจ้าขอให้ทุกคนมองพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ข้าพเจ้าเป็นลูกท่านตั้งแต่เด็กจนวาระสุดท้ายของท่าน ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นท่านทรงงานทำงานอะไรเพื่อตัวเองเลย ทุกอย่างเพื่อสังคม เพื่อประชาชน และความเป็นอยู่ของท่านก็เป็นทุกอย่างอย่างพอเพียงที่สุด และท่านไม่เคยตำหนิคน ถ้าคนไหนท่านเห็นว่าเขาจะพลาด และท่านเห็นว่าตักเตือนกันได้ เพราะเป็นคนสนิทสนม ท่านก็จะทรงตักเตือน แต่ถ้าตักเตือนแล้วเขายิ่งโกรธยิ่งแค้น ยิ่งตะแบงซ้าย ตะแบงขวา เหมือนม้าที่เฮี้ยว ๆ ท่านก็จะทรงหยุดและไม่ยุ่งด้วยเลยกับคนนั้น ก็ขอให้ทุกคนนำตัวอย่างของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไปเป็นตัวอย่างแก่ตนเอง และเป็นตัวอย่างสอนลูกหลานต่อไปในอนาคต” ขณะที่
ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ก็เสด็จฯ เยี่ยมเยียนประชาชนโดยรอบ พระบรมมหาราชวัง ภายหลังจากเสร็จสิ้นพระราชพิธีในช่วงค่ำของแต่ละวัน ทั้งยังได้ประทานอาหาร ขนม ผลไม้ และเครื่องดื่มให้แก่ ประชาชนจากพระหัตถ์ของพระองค์เอง
นอกจากนี้ มูลนิธิมิราเคิล ออฟไลฟ์ ในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ได้ร่วมกับกองทัพบก จัดรถบรรทุกบริการที่พักแก่ประชาชนฟรีที่เดินทางมาจากต่างจังหวัดได้พักอาศัยด้วย
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า โสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ได้รับสั่งให้ มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภา) ยามยาก สภากาชาดไทย นำรถหน่วยเคลื่อนที่ “เพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ช่วยด้วยใจคนไทยไม่ทิ้งกัน” มาบริการอาหารและน้ำดื่มแก่ประชาชนด้านนอกพระบรมมหาราชวัง บริเวณที่ให้ประชาชนตั้งแถวรอ โดยมีเมนูเด็ดเป็น ข้าวเหนียวไก่เนื้อนุ่ม ซึ่งเป็นสูตรหมักไก่ที่พระองค์ประทานให้
ไม่เพียงเท่านั้น “พระองค์โสม” ยังเสด็จฯเป็นการส่วนพระองค์มายังรถหน่วยเคลื่อนที่ฯ และทอดไก่ในกระทะด้วยพระองค์เอง ก่อนให้เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯนำไปแจกจ่ายแก่พสกนิกร บางช่วงยังทรงประทานข้าวเหนียวไก่ทอดให้ประชาชนด้วยพระองค์เองด้วย และนอกเหนือจาก ข้าวเหนียวไก่เนื้อนุ่ม แล้วยังมี ลองกองพระราชทานจาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มาแจกจ่ายให้แก่ประชาชนได้รับประทานโดยทั่วกัน
ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เสด็จฯเยี่ยมเยียนประชาชนโดยรอบ พระบรมมหาราชวัง ภายหลังจากเสร็จสิ้นพระราชพิธีในช่วงค่ำของแต่ละวัน ทั้งยังได้ประทานอาหาร ขนม ผลไม้ และเครื่องดื่มให้ ประชาชนจากพระหัตถ์ของพระองค์เองพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าโสมสวลีพระวรราชาทินัดดามาตุ เสด็จมายังรถเคลื่อนที่ ของมูลนิธิ เพื่อนพึ่งภายามยาก สภากาชาดไทย หน้ากรมศิลปากร ถนนหน้าพระธาตุ เพื่อทรงทอดไก่ประทานให้แก่พสกนิกรที่มาลงนามถวายความอาลัยแก่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช นอกเหนือจากการดูแลประชาชนที่เดินทางมายังพระบรมมหาราชวังแล้ว รวมถึงพระราชภารกิจในพระราชพิธีที่มีขึ้นทุกวันแล้ว พระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ก็ทรงไม่ละทิ้งพระราชกรณียกิจการดูแลอาณาประชาราษฎร์
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงมีพระราชบัณฑูรแสดงความห่วงใยต่อพี่น้องประชาชนที่ประสบภาวะอุทกภัยในหลายจังหวัด รับสั่งรัฐบาลให้ดูแล เพื่อไม่ให้ซ้ำเติมทุกข์โศกของราษฎรไปมากกว่านี้
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ยังทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจตามปกติ โดยเสด็จฯตามหมายกำหนดการล่วงหน้าแม้แต่ในต่างจังหวัดอย่างไม่ขาด โดยเมื่อวันที่ 20 ตุลาคมที่ผ่านมา เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ไปในการพระราชทานปริญญาบัตร แก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประจำปีการศึกษา 2558 ซึ่งถือเป็นพิธีพระราชทานปริญญาบัตร บัณฑิตจุฬาฯรุ่นสุดท้ายในรัชกาล พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีการเปิดเผยในภายหลังว่า เมื่อเสร็จพิธีพระราชทานปริญญาบัตรรอบเช้าแล้ว พระองค์ท่านทรงเสด็จฯ ไปยังพระบรมมหาราชวังในพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลสัตตมวาร (7 วัน) และกลับมาพระราชทานปริญญาบัตรต่อในช่วงบ่าย นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ สำหรับบัณฑิตจุฬาฯที่จบการศึกษาในปีนี้
อีกทั้งยังมีการเผยแพร่คลิปวิดีโอช่วงหนึ่งของพิธีพระราชทานปริญญาบัตรในวันนั้น บัณฑิตจุฬาฯในหอประชุมร่วมใจกันร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี ด้วยความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ และอาลัย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จนก่อให้เกิดกระแส “เห็นใจ” พระองค์ท่านและพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ในวงกว้าง
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในห้วงตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณของพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ทำให้นึกถึงคำว่า
“ราชประชาสมาสัย” ที่ถือกำเนิดขึ้น เมื่อครั้งที่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จฯพร้อมด้วย สมเด็จ พระนางเจ้าฯ พระ บรมราชินีนาถ ไปในพระราชพิธีวางศิลาฤกษ์ ณ สถานพยาบาลพระประแดง เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2501 จนการก่อสร้างเป็นที่เรียบร้อย กระทรวงสาธารณสุขได้ขอพระราชทานนามสถาบัน แห่งนี้ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานว่า “สถาบันราชประชาสมาสัย” ก่อนที่พระองค์จะเสด็จฯเปิดสถาบันฯอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2503 หรืออีก 2 วันให้หลัง
คำว่า “ราชประชาสมาสัย” มาจากการสมาสคำ “ราช - ประชา - สม - อาสัย” อันความหมายว่า ราชาและประชาชนอาศัยซึ่งกันและกัน ซึ่งคำว่า “ราชา” ก็ย่อมหมายรวมถึง “สถาบันพระมหากษัตริย์” ด้วย
กองงานหน่วยทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ ในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร นำอาหาร พร้อมเครื่องดื่มจำนวนมาก มาแจกให้กับประชาชน ที่เดินทางมาถวายการไว้อาลัย ตรงข้ามประตู มณีนพรัตน์ พระบรมหาราชวัง
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ยังได้พระราชทานแนวพระราชดำริเกี่ยวกับดวงตราประจำของ “สถาบันราชประชาสมาสัย” (ซึ่งต่อมาสถาปนาเป็น มูลนิธิราชประชาสมาสัย ในพระบรมราชูปถัมถ์) ควรเป็นรูป “ดอกบัว” (สีเหลือง) กับ “น้ำ” โดย ดอกบัว หมายถึง พระมหากษัตริย์ สีเหลืองคือสีประจำวันจันทร์ อันเป็นวันพระบรมราชสมภพ น้ำ หมายถึง ประชาชน โดยธรรมชาติ แล้ว ดอกบัวกับน้ำต้องอาศัย ซึ่งกันและกัน จึงจะมีชีวิตเจริญอยู่ได้
และคงไม่ผิดที่จะกล่าวว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในห้วงตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา และต่อๆไปหลังจากนี้ เป็น “ราชประชาสมาสัย” อย่างแท้จริง อันสะท้อนถึงความผูกพันระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับปวงชนชาวไทยได้เป็นอย่างดี
แม้ที่ผ่านมาพระบรมวงศานุวงศ์จะทรงพระราชทาน หรือประทาน “ราชประชาสมาสัย” แก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง แต่ก็หาเปรียบได้กับช่วงเวลาทุกข์โศกในขณะนี้ ที่พระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ทรงแสดงให้เห็นถึง “ความเข้มแข็ง” ในยามที่ทรงวิปโยคไม่น้อยไปกว่าใคร
และถ่ายทอด “ความเข้มแข็ง” ดังกล่าวเป็นกำลังใจให้แก่ปวงพสกนิกร เฉกเช่นเดียวกับภาพที่พระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์มีปฏิสันถาร หรือทักทาย และทรงโอบกอด เสมือนหนึ่งให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ในระหว่างพระราชพิธี นำมาซึ่งความปลื้มปีติของประชาชนที่ได้พบเห็น
นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณของพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ที่ทรงสานต่อพระราชกรณียกิจ
“เสาหลักของประเทศ” ในยามที่ไทยทั้งชาติโศกเศร้าที่สุดในชีวิต
สืบสานพระราชปณิธาน “ราชประชาสมาสัย” นำมาซึ่งความเข้มแข็งของปวงชน และรวมใจไทยให้เป็นหนึ่งเดียวจาก
http://astv.mobi/AzDF9Zp