ผู้เขียน หัวข้อ: ฝากพวกคนพุทธ ไปแจ้ง พระเถระชั้นผู้ใหญ่ ของพวกคุณ ให้สำเหนียก ด้วยว่า…!?!  (อ่าน 6894 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ บัวผ่อง

  • www.facebook.com/maneemess
  • ต้นไม้เล็กพริ้วไหวดั่งสายลม
  • ***
  • กระทู้: 196
  • พลังกัลยาณมิตร 33
    • maneemess
    • ดูรายละเอียด
    • www.facebook.com/maneemess






เงินทอง ยกให้ พระศาสนา โลก สังคม น่ายกย่อง พระจิตอาสา ทำเพื่อส่วนรวม ประโยชน์สาธารณะ  ตัวอย่าง

 ทึ่ง! พระขายขนมปัง “รสพระทำ” นำเงินไปสร้างทั้งศาลา-เตาเผาผี เมรุไร้มลพิษ http://www.tairomdham.net/index.php/topic,12216.0.html

 ข้าวแกงรสพระธรรม หลวงพี่ช้าง พระนักพัฒนา แห่งพรหมพิราม http://www.tairomdham.net/index.php?topic=11592.0


ตอนแรกว่าจา ถก เรื่องนี้ ด้วยตั้งนานแระ
แต่สันยานเนตที่แฟลตเดี้ยง ติดๆดับๆ สามวันดี สี่วันไข้
เรยเพิ่งได้ฤกษ์  ถก ตอนนี้ อ่ะนะ

อ้อ ป้า ขอ นุยาด ถก ในนี้แระกันนะ ไอ้หลานลูกมด
ตอนแรกว่าจา ถก ในมู้ต้นทาง ช่วยเอ็งปั่นเรทติ้ง เหมือนกันนะ
แต่ไอ้ป้ามัน พวก เรียลลิสติก แอคชั่น แอนด์ ทริลเลอร์ ซะด้วยอ่ะดิ
ขืนไปโพสในมู้นู้น คง ได้ พล่าม ดับฝัน อิพวกโรแมนติก ดราม่า ซะกระจุย แน่ๆเรยว่ะ สงสารพวกมัน



อืม...น่าขำ  ...เห็นเรื่องหนมปังรสพระทำ ที่เอ็งเอามาอวดแล้ว
แทนทีป้าจะซาบซึ้งกับฟามเสียสละ ช่วยเหลือชาวบ้านของหลงพี่
ป้ากับรู้สึกต่างออกไปว่ะ่


เฮ้อ...ไม่รู้สินะ เห็น หนมปังรสพระทำ แล้ว ป้านึกถึง …
หลงเจ๊เจริญพวง กะเรื่องนี้ว่ะ



แหม? ก้อไม่ลู้เหมือนกันนะ ว่า …
ไอ้หนมปังรสพระทำ เนี่ย ทั้งปลา ทั้งคน ถ้าได้กืนแล้วนี่...
มันจา อาหย่อย จน ลืมกลับวัด ไหม ?


แต่ที่แน่ๆอ่ะนะ หญิงเดียรถีย์อย่างป้า ก้อพอจะรู้อ่ะนะ ว่า
5 อะรัย คือ กิจของสงฆ์  แล้ว 5 อะรัย คือ กิจของ ฆราวาส  ตามหลัก ทิศ 6
แน่นอน ป้าค่อนข้างชัวร์ ว่า การทำหนมปังขาย นี่...
น่าจะเป็นกิจของฆราวาสอย่าง อาสุมะ คาสุมะ
 มากกว่า หลงพี่ช้างนะ




ถึงแม้ จะมีคนพยามพรีเซ้นท์ บอกว่า…
เฮ้ย เมิงจะเถรตรง อนุรักษ์นิยม 5 อะรัยกันนักกันหนา
พระนั่น มันก้อทำโดยที่ไม่ได้กะจะเอากำรี้กำไร เข้าพกเข้าห่อซะหน่อยนี่หว่า
เงินทองที่ได้มาทุกบาททุกสตางค์ก้อเอาไปถวายหั้ยพุทธศาสนาทั้งนั้น บลาๆ

นั่นก้อจริงอ่ะนะ แต่เอ็ง เคยได้ยิน คำพังเพยนี้ป่ะ ?

อัฐยาย ซื้อขนมยาย อ่ะนะ


กิจของสมณะ คือ การปฏิบัติ เพื่อ ละ รัก โลภ โกรธ หลง
แต่ ในสายตาป้า ไอ้พระอ้วนนั่นมัน ช่างอ่อนหัด
และถ้า ใส่บาตรให้ก้อ เสียข้าวสุกเปล่าๆ ปลี้ว่ะ


แม่รง….บวชเรียน ปฏิบัติมาตั้งนานนม
แต่กลับ ละ 5 อะไร ไม่ได้เลยอ่ะ
ถึงจะดูคล้ายๆ จะน่าชื่นชม ที่ไม่เอาเงินทองเข้าตัว
กำไร 5  อะรัย ถวายหั้ยพุทธศาสนา โม๊ดดดดดดด
แต่ ป้าว่า ...ไอ้อ้วนนั่นมันก้อแค่่เปลี่ยนไปหั้ยความสำคัญกับ “ของกู” มากกว่า ตัวกู ก้อเท่านั้น แหล่ะ


นี่ป้าอ่านเรื่องของไอ้อ้วนนี่แล้ว ป้ายังสงสัย ตะหงิด ๆ เลยว่า…
 ทำไมอิพวกคนพุด มันถึง ปลาบปลื้ม จังว้าาาา กะเคสไอ้อ้วนนี่
ป้าว่า นะ ถ้าไอ้อ่วนนั่นมันทำหนมปังขาย เพื่อเอาเงินไปช่วยเด็กด้อยโอกาส
หรือไปช่วยสร้างมัสยิต ป้ายังจะรู้สึกว่า มันยังดูน่าูเลื่อมใสกว่าเอาไปช่วยศาสนาตัวเองว่ะ

ทำไม ต้องเอาเงินไปช่วย แต่ เรื่องของพวกพ้องตัวเองวะ
ไอ้อ้วนนั่น มันเรียงลำดับความสำคัญ ของสิ่งที่่ควรช่วยเหลือ อย่างเร่งด่วน
โดย พิจารณา จาก 5 อะไร เป็นเหตุผลหลัก กัน แน่?
เรื่องนี้มันก้อคล้ายๆกับกระทู้ทีป้าถามว่า คนเป็นหมอควรเลือกช่วยคนไข้คนไหนก่อนนั่นแหล่ะ่


การใช้เงินสร้างศาลาวัด เพื่อให้ พวกคนพุดได้นั่งฟังธรรมแบบชิลๆ มันดูจำเป็นเร่งด่วน และ สำคัญกว่า การบริจาคเงินให้ยูนิเซฟเอาไปช่วยเด็กยากไร้ชาวมุสลิมในเอธิโอเปีย ที่ตรงไหน?


และที่สำคัญ หน้าที่หลัก ของพระ คือ การปฏิบัติ
ส่วนหน้าที่ในการทำนุบำรุงศาสนสถาน
มันหน้าที่ของ ฆราวาส แล โยมอุปฐาก ไม่ใชหน้าที่โดยตรงพระ ่
แต่ถ้าวางไม่ลงปลงไม่ได้ ยังกระสันอยากช่วยชาวบ้านนัก
ก้อไม่ควรทำ 5 อะรัยให้มันขัดกับหลักการของหน้าที่หลัก


การไปเป็นส่วนร่วมในกิจกรรมที่มีการค้ากำไรจากผู้อื่นนั้น
มันเป็นสิ่งที่สมณะผู้เห็นภัยแห่งสังสารวัฏพึงกระทำหรือไร
ทำไมไม่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ ฆราวาสบริหารจัดการกันเอง
ไปตามครรลอง ตามสภาพ แล ตามยถาสภาวะ ไปก้าวก่ายยุ่งเกี่ยวด้วยทำไม
หรือ กลัวว่า ศาลาที่ โยม สร้าง นั้น มันจะไม่หรูหรา ถูกใจ
หรือ กลัวว่าจะ สร้างแล้วเสร็จได้ ชักช้า ไม่ ทันใจ อาตมา ?


ถ้าคิดงั้น อ่ะนะ ถามว่า ทำไมไม่ทำตามขั้นตอนที่ถูกต้องตามครรลอง ที่เปิดช่องไว้ให้
อาทิเช่น สึกออกไป เป็น มรรคทายก ซะ แล้ว สร้างบอริสัด ขายหนมปัง
จากนั้นก้อ กำไรส่วนใหญ่ มาบริจาคสร้างศาลาวัด
หรือถ้า บริบัทหนมปังมันเจ๊ง ก้อค่อยเที่ยวจาริกไปขอทานก้อนข้าวชาวบ้านเขากินเหมือนเดิมก้อได้นิ

หากทำเช่นที่ ป้า แนะนำมานี่... เช่นนี้แล้วจะมี วิญญูชนคนไหนออกมา ติเตียนได้วะ
แต่ที่ไม่ทำ ตามที่ป้าแนะนำนี่…
ไอ้อ้วนนั่น มันมีเหตุผล 5 อะรัยที่ดูชอบธรรม มารองรับได้บ้าง
นอกเสียจาก คำแก้ตัวที่ว่า…
สันดานของคน มันย่อมชอบเหยียบเรือ สองแคม
แล เลือกที่จะกระทำในสิ่งที่่มีแนวโน้มจะตอบสนองต่อความพึงพอใจ ของตนเอง เสมอ


อยากเป็นพระ ( เพราะมันสร้างอีโก้ และ โอกาส ให้ตน ได้ดีกว่า สถานะฆราวาส) หรือ ก้อ อยากเป็น
อยากจะช่วยชาวบ้าน สร้างศาลาวัด หรือก้ออยากช่วย
สรุป  คิดแต่จะกินรวบ เอาแม่งทุกทาง
โดยหลงลืมไปว่า คนเรานั้น ถ้าได้อย่าง มันก้อต้องยอมเสียบางอย่างไป มันถึงจะเกิดการสมดุลในธรรม่
ไม่ใช่เสือก งก จนไม่ยอมสละออก สักอย่างยังงี้้



นี่แหน่ะ เจ้าหลานลูกมด …
ถ้าป้า พล่าม จนปากเปียกปากแฉะซะ ขนาดนี้ เอ็งก้อยังไม่เก็ท ไม่ข้าใจอ่ะนะ
งั้นป้าก้อจะ ยก เคสใกล้ตัว เอ็ง มาเป็นกรณีศึกษา แระกัน
อืม...ไอ้หนุ่มเสื้อเหลือง อย่างเอ็งนี่ คงเคยไปกู้ชาติกะ โกตั๊บ ด้วยการเฮโลไปปิด สนามบิน แน่ๆ เรยใช่ป่ะ ?

เอาเป็นว่า เคสอิพวกเสื้อเหลืองสาวกเจ๊กลิ้ม เฮโลไปปิดสนามบิน
มันก้อคล้าย ๆ เคสไอ้พระอ้วน ทำเบอเกอรี่ขาย นั่นแหล่ะ
อยากไล่ พวกนอมินีทักกี้ ทำไมต้องปิดสนามบินจนชาวบ้านมันเดือดร้อน
ทำไมไม่ อดทนคอย ให้รัดถะบานอยู่ครบวาระที่ 4 ปี ตามสิทธิโดยชอบธรรมของเขา( ดังที่กติกากำหนดไว้ )้
แล้วไปโหวตสู้กับ อิพวกขี้ข้าแม้ว กันใหม อีกครั้ง่ ในสนามเลือกตั้งตามครรลองของวิถีแห่ง ประชาธิปไตย่
เหตุใดใยต้อง ใจร้อนด่วนได้ ใช้กฏหมู่ อยู่เหนือกฏหมาย


“ทางออก “  ตามกติกา ที่่กำหนดไว้ มันก้อมีอยู่ เสมอ
แต่ก้ออย่างที่เคยบอกนั่นแหล่ะนะ ว่า…
สันดานของคน มันย่อมชอบเหยียบเรือ สองแคม
แล เลือกที่จะกระทำในสิ่งที่่มีแนวโน้มจะตอบสนองต่อความพึงพอใจ ของตนเอง เสมอ่

ถึงได้บอกไง เรื่องนี้มันคล้าย ๆ เรื่องหนมปังรสพระทำ
นั่นการคือ แทนที่จะเลือกทำตาม กติกา  แบบตรงไปตรงมา
คนพวกนั้นกลับเลือกซิกแซก มาทำเนียนเดินในเส้นทางเดินที่ไม่อยู่กติกา
เพราะมันช่วยให้ตัวเองได้ในสิ่งที่ต้องการมากกว่า


อืม...รู้ป่ะ ? หากป้า เคยหน้ามืดไปร่วมทำสังฆกรรม
ด้วยการไปปิดสนามบิน กะพวกโกตั๊บ อ่ะนะ
หลังจากผ่านเหตุการณ์นั้นมา ป้าจะทำยังไง ?

ไม่ว่า ศาลจะตัดสินคดี โกตั๊บปิดสนามบิน เช่นไร หลุดหรือไม่
ป้าก้อจะแสดงความรับผิดชอบ ในส่วนที่เป็นความระยำของตัวเอง
ด้วยการออกมาขอโทษชาวบ้านที่ต้องเดือดร้อนลำบากเพราะป้าไปปิดสนามบิน
และป้าจะบริจาคเงินเพื่อเป็นสาธารณกุศล เท่าจำนวนความเสียหายที่ป้ามีส่วนสร้างไว้กับชาวบ้านที่ต้องตกเครื่องบินว่ะ

เช่น ถ้าความเสียหายนั้น มันประเมินอยู่ที่ แสนล้านบาท
มีคนไปปิดหนามบิน อยู่ แสนคน
และ ป้าเป็นหนึ่งในแสนคนที่่ร่วมสร้างความระยำในครั้งนั้น
ป้าก้อจะทะยอยบริจาคเงินเพื่อชดใช้ให้เจ้ากรรมนาย
จนกว่าจะครบหนึ่งล้านบาทตามสัดส่วนที่ป้าสมควรจะต้องชดใช้ว่ะ
อืม...ไม่ดิ ถ้ารวมดอกเบี้ยด้วย ป้าควรจะชดใช้คืนมากกว่า หนึ่งล้านด้วยซ้ำมั้ง


และที่ป้าทำเนี่ย ก้อไม่ได้คาดหวังจะให้ เจ้ากรรมนายเวรที่ป้าไปทำให้ตกเครื่องบิน เขามาอโหสิกรรม ให้ป้าหรอกนะ
เพียงแต่ป้าคิดว่า เมื่อเราเคยทำระยำ5 อะไรเอาไว้แล้ว
 การสำนึกผิด และ การแสดงความรับผิดชอบ
เพื่อชดใช้ให้ชาวบ้าน ต่อความระยำนั้น ๆ มันเป็นสิ่งที่สมควรกระทำ ว่ะ

เฮ้อ......ป้าก้อแค่ บ่นเรื่อยเปื่อย เพื่อเล่าสู่กันฟัง เฉย ๆ อ่ะนะ
ว่า มุมมองแลความคิดของป้า ต่อสรรพสิ่ง มันเป็นเช่นไร
ส่วนใคร อ่านแล้วจะได้ สาระ5อะรัย กลับไปบ้าง
อันนีัก้อช่างแมงมัน...เพราะป้าเข้าใจว่ะ...ว่า…
 ระดับ สติปัญญา ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี แล วาสนา ของคนเรานั้น... มันไม่เท่ากัน….






« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 09, 2016, 10:43:10 pm โดย บัวผ่อง »
.
หมายเหตุ

ถ้าพวกเมิง...เอ๊ย... เพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ลุง ๆป้า ๆ น้า ๆ อา ๆ
ทนอ่าน ตัวหนังสือ ของกรู...เอ๊ย.... ของนู๋บี มิได้...

นู๋บี จา กลั้นใจตาย ( จิง ๆ น๊ะ ) อ่ะซิก ... อ่ะซิก...

http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=bsonjb&month=09-2010&date=22&group=3&gblog=2



ออฟไลน์ บัวผ่อง

  • www.facebook.com/maneemess
  • ต้นไม้เล็กพริ้วไหวดั่งสายลม
  • ***
  • กระทู้: 196
  • พลังกัลยาณมิตร 33
    • maneemess
    • ดูรายละเอียด
    • www.facebook.com/maneemess
กระทู้สนทนา ว่าด้วยเรื่อง สัมมัปปทาน 4
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: ตุลาคม 29, 2016, 09:58:18 pm »
จาก กรณีศึกษา เรื่องการรับค่านิตยภัตของพระเถระชั้นผู้ใหญ่ !


หากว่า คุณเป็นพระเถระชั้นผู้ใหญ่  แล้ว เข้าเกณฑ์ ได้รับค่านิตยภัต จากรัฐบาล
แล้ว มาทราบในภายหลังว่า มีประชาชนเจ้าของเงินภาษีบางคน เขาไม่เต็มใจจะให้เงินค่านิตยภัต กับ คุณ ซึ่งอยู่คนละศาสนากับเขา


 อนึ่ง ถ้าใช้ หลัก สัมมัปปทาน 4 มาพิจารณา การกระทำ ในอดีต แล้ว


1. คุณคิดว่า การรับสินทรัพย์อย่าง ค่านิตยภัต 
ทั้งๆที่รู้ว่า เจ้าของทรัพย(์ที่อยู่ต้นทาง) เขาไม่เต็มใจจะให้ นั้น
 มัน  จัดเป็น สัมมาฯ หรือไม่ เพราะอะไร ?


2.และคุณคิดว่า เมื่อคุณ ทราบแล้ว ว่า ค่านิตยภัต ที่คุณเคยรับๆไว้ในกาลก่อนนั้น
เจ้าของทรัพย(์ที่อยู่ต้นทาง) เขาไม่เต็มใจจะให้


 ในตอนนี้คุณจะแสดงความรับผิดชอบต่อกรรมที่ได้กระทำไว้ในอดีต อย่างไรบ้าง ?


______


อันนี้ คำตอบจาก ญิ๋งเดียรถีย์ อย่างเราอ่ะ


1. คุณคิดว่า การรับสินทรัพย์อย่าง ค่านิตยภัต  ทั้งๆที่รู้ว่าเจ้าของทรัพย(์ที่อยู่ต้นทาง) เขาไม่เต็มใจจะให้ นั้น
 มัน  จัดเป็น สัมมาฯ หรือไม่ เพราะอะไร ?


ตอบ ไม่จัดเป็น สัมมา แต่จัดเป็น มิจฉา
เหตุเพราะ การครอบครองและหาประโยชน์จากทรัพย์ ที่มีที่มาที่ไปไม่บริสุทธิ์
เช่น เป็นทรัพย์ ที่เจ้าของทรัพย์( ที่อยู่ต้นทาง ) เขาไม่เต็มใจจะให้นั้น
มันก้อคือ การไปละเมิดสิทธในทรัพย์สินโดยชอบธรรมของผู้อื่น จัดเป็นการก้าวล่วงศีลข้อ 2 (อทินนาทานา ฯ ) ดีๆนี่เอง
ยิ่งถ้าครองสมณะเพศ แล้วรับค่านิตยภัตที่มีเงินเกิน 5 มาสก จากคนที่เขาไม่เต็มใจจะให้ พระรูปนั้นย่อมต้อง อาบัติปราชิกแน่นอน




2.และคุณคิดว่า เมื่อคุณ ทราบแล้ว ว่า ค่านิตยภัต ที่คุณเคยรับๆไว้ในกาลก่อนนั้น
เจ้าของทรัพย(์ที่อยู่ต้นทาง) เขาไม่เต็มใจจะให้


 ในตอนนี้คุณจะแสดงความรับผิดชอบต่อกรรมที่ได้กระทำไว้ในอดีต อย่างไรบ้าง ?


ตอบ เราจะเอ่ยปากขอโทษ และ แสดงความสำนึกผิด ที่เรามักง่ายคิดจะเอาแต่ได้โดยไมใช้สติปัญญา มา่โยนิโสให้ละเอียดรอบคอบเสียก่อนที่จะรับเงินค่านิตยภัต


อนึ่งเราจะกลับไปนั่งทบทวนดูว่า ที่ผ่านมา เรารู้เท่าไม่ถึงกาล รับประเคนเงินค่านิตยภัตที่ชาวบ้านไม่เต็มใจจะให้ไปเท่าไร และนานแค่ไหนแล้ว
จากนั้นเราจะแสดงความรับผิดชอบต่อความระยัมของตน ด้วยการสึกไปทำงานประกอบสัมมาอาชีวะ เพื่อหาเงินมาชดใช้คืนให้เขา ทั้งต้นทั้งดอก


หรือถ้า เราหาทางคืนเงิน ให้เจ้าของทรัพย์นั้นไม่ได้จริงๆเพราะมีหลายคนมาก
เราก้อจะเอาเงินทั้งต้นทั้งดอก ที่ตั้งใจจะคืน นั้น ไปบริจาคเป็นสาธาณกุศล
โดยไม่เก็บเข้าพกเข้าห่อ เพื่อเอาไว้ยังประโยชน์สนองความต้องการของตัวเอง


และที่สำคัญ เมื่อเรารู้แล้วว่า เงินค่านิตยภัต เป็นเงินที่ไม่บริสุทธิ์
 อันเกิดจาก เจ้าของทรัพย์บางคน เขาไม่เต็มใจจะยกมาประเคนให้เรา
ต่อไป เราก้อจะ งดรับเงินค่านิตยภัตโดยเด็ดขาด !




เฮ้อออออออ...อันนี้เราก้อตอบเรื่อยเปื่อยไปตามระดับสติปัญญา
เฉกเช่นหญิงเดียรถีย์ผู้มีภูมิศีลต่ำ ภูมิธรรมด้อย ภูมิรู้น้อย อ่ะนะ
ไงก้อวาน บรรดาผู้ที่มีวาสนาได้เกิดเป็นคนพุทธ ช่วยชี้แนะ หน่อยแระกัน




















////////////////////////____////////




กระทู้สนทนา ว่าด้วยเรื่อง สัมมัปปทาน 4 จาก กรณีศึกษา เรื่องการก่อม็อบปิดสนามบิน !


หากว่าเมื่อหลายปีก่อน นักปฏิบัติ อย่างคุณ เคยไปร่วมปิดสนามบินกับแกนนำพันธมิตร …
ณ ตอนนี้ ถ้าใช้ หลัก สัมมัปปทาน 4 มาพิจารณา การกระทำ ในอดีต แล้ว


1. คุณคิดว่า การไปร่วมปิดสนามบินในอดีตของคุณ จัดเป็น สัมมาฯ หรือไม่ เพราะอะไร ?


2.และคุณคิดว่าในตอนนี้คุณจะแสดงความรับผิดชอบต่อกรรมที่ได้กระทำไว้ในอดีต อย่างไรบ้าง ?




______________


อันนี้ คำตอบจาก ญิ๋งเดียรถีย์ อย่างเราอ่ะ


1. คุณคิดว่า การไปร่วมปิดสนามบินในอดีตของคุณ จัดเป็น สัมมาฯ หรือไม่ เพราะอะไร ?


ตอบ ไม่จัดเป็นสัมมา ฯ แตจัด่เป็น มิจฉา ฯ
เหตุเพราะ เป็นการดึงดันจะเอาแต่สนองความต้องการของตัวเองเป็นหลัก
โดยไม่สนใจว่า การกระทำของตนนั้นได้ไปละเมิดสิทธิโดยชอบธรรม ในการใช้สนามบิน ของชาวบ้านมากน้อยแค่ไหน และตนนั้น ได้ทำให้คนไม่รู้อิโหน่อิเหนอีกกี่ชีวิต่ต้องเดือดร้อนตกเครื่องบิน








2.และคุณคิดว่าในตอนนี้คุณจะแสดงความรับผิดชอบต่อกรรมที่ได้กระทำไว้ในอดีต อย่างไรบ้าง ?


ตอบ อันนี้เคยเขียนเปี่ยวกับเรื่องนี้ไว้เมื่อ ไม่นานมานี้
_______________________________________
_______________________________________

อืม...รู้ป่ะ ? หากป้า เคยหน้ามืดไปร่วมทำสังฆกรรม
ด้วยการไปปิดสนามบิน กะพวกโกตั๊บ อ่ะนะ
หลังจากผ่านเหตุการณ์นั้นมา ป้าจะทำยังไง ?


ไม่ว่า ศาลจะตัดสินคดี โกตั๊บปิดสนามบิน เช่นไร หลุดหรือไม่
ป้าก้อจะแสดงความรับผิดชอบ ในส่วนที่เป็นความระยัมของตัวเอง
ด้วยการออกมาขอโทษชาวบ้านที่ต้องเดือดร้อนลำบากเพราะป้าไปปิดสนามบิน
และป้าจะบริจาคเงินเพื่อเป็นสาธารณกุศล เท่าจำนวนความเสียหายที่ป้ามีส่วนสร้างไว้กับชาวบ้านที่ต้องตกเครื่องบินว่ะ


เช่น ถ้าความเสียหายนั้น มันประเมินอยู่ที่ แสนล้านบาท
มีคนไปปิดหนามบิน อยู่ แสนคน
และ ป้าเป็นหนึ่งในแสนคนที่่ร่วมสร้างความระยำในครั้งนั้น
ป้าก้อจะทะยอยบริจาคเงินเพื่อชดใช้ให้เจ้ากรรมนาย
จนกว่าจะครบหนึ่งล้านบาทตามสัดส่วนที่ป้าสมควรจะต้องชดใช้ว่ะ
อืม...ไม่ดิ ถ้ารวมดอกเบี้ยด้วย ป้าควรจะชดใช้คืนมากกว่า หนึ่งล้านด้วยซ้ำมั้ง




และที่ป้าทำเนี่ย ก้อไม่ได้คาดหวังจะให้ เจ้ากรรมนายเวรที่ป้าไปทำให้ตกเครื่องบิน เขามาอโหสิกรรม ให้ป้าหรอกนะ
เพียงแต่ป้าคิดว่า เมื่อเราเคยทำระยัม5 อะไรเอาไว้แล้ว
 การสำนึกผิด และ การแสดงความรับผิดชอบ
เพื่อชดใช้ให้ชาวบ้าน ต่อความระยำนั้น ๆ มันเป็นสิ่งที่สมควรกระทำ ว่ะ


เฮ้อ......ป้าก้อแค่ บ่นเรื่อยเปื่อย เพื่อเล่าสู่กันฟัง เฉย ๆ อ่ะนะ
ว่า มุมมองแลความคิดของป้า ต่อสรรพสิ่ง มันเป็นเช่นไร
ส่วนใคร อ่านแล้วจะได้ สาระ5อะรัย กลับไปบ้าง
อันนีัก้อช่างแมงมัน...เพราะป้าเข้าใจว่ะ...ว่า…


 ระดับ สติปัญญา ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี แล วาสนา ของคนเรานั้น... มันไม่เท่ากัน….






_______________________________________
_______________________________________


เฮ้อออออออ...อันนี้เราก้อตอบเรื่อยเปื่อยไปตามระดับสติปัญญา
เฉกเช่นหญิงเดียรถีย์ผู้มีภูมิศีลต่ำ ภูมิธรรมด้อย ภูมิรู้น้อย อ่ะนะ
ไงก้อวาน บรรดาผู้ที่มีวาสนาได้เกิดเป็นคนพุทธ ช่วยชี้แนะ หน่อยแระกัน
.
หมายเหตุ

ถ้าพวกเมิง...เอ๊ย... เพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ลุง ๆป้า ๆ น้า ๆ อา ๆ
ทนอ่าน ตัวหนังสือ ของกรู...เอ๊ย.... ของนู๋บี มิได้...

นู๋บี จา กลั้นใจตาย ( จิง ๆ น๊ะ ) อ่ะซิก ... อ่ะซิก...

http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=bsonjb&month=09-2010&date=22&group=3&gblog=2



ออฟไลน์ บัวผ่อง

  • www.facebook.com/maneemess
  • ต้นไม้เล็กพริ้วไหวดั่งสายลม
  • ***
  • กระทู้: 196
  • พลังกัลยาณมิตร 33
    • maneemess
    • ดูรายละเอียด
    • www.facebook.com/maneemess
อืม...พออ่านความเห็น ที่เหล่านักปฏิบัติชาวพุทธ พล่ามแล้ว
หญิงเดียรถีย์อย่างเรา นึกถึง  รูป ปิรามิดของการโต้แย้ง อันนี้นะ


Ad Hominem  &  Responding to Tone ?





คือปกติ เวลาสนทนาธรรมตามกาล ตามหลัก มงคล 38  นี่
เวลา มีใคร กระทู้ถาม สนทนาโต้แย้งกัน
มานี มักจะ ใช้ ปิรามิด ดังกล่าว มาวิเคราะถึง รากเหง้าสันด่าน ที่เป็น อนุสัย ของ คน ๆ นั้นนะ
ว่าเขาเป็น วิญญูชน หรือเป็น อวิญญูชน


เฮ้ออ...เอาเป็นว่าจาก คำตอบในโพส ที่ อ่าน ๆ มา
ทำให้หญิงเดียรถีย์คนนี้สงสัยเหลือเกินเจ้าค่ะ ว่า


1.ตกลง พวกคนพุทธอย่างคุณ นี่ รู้จักที่ใช้สามัญสำนึกเฉกเช่น วิญญูชนพึงมี มาวิเคราะห์ แยกแยะ ได้หรือไม่
ว่า อะไร หรือ สัมมา ฯ อะไร คือ มิจจฉา ฯ ตามแนวทาง สัมมัปปทาน 4 ?
หรือว่า พวกคนพุทธอย่างคุณ ขาดแคลน Secular morality ( คุณธรรมโลกวิสัย ) เสียจนใช้สติปัญญา ของตน แยกแยะผิดชอบชั่วดี ไม่ได้




2.นักปฏิบัติ อย่างพวกคุณนี่ เคย ทวนศีลทวนจิต
ตามแนวทาง สัมมัปปทาน 4 เพื่อให้รู้เท่าทัน อนุสัยในด้านมืดของตนบ้างหรือไม่ ?
จากกรณีศึกษา ในกระทู้ ที่ เราเอามาเปิดประเด็นสนทนา เป็น ธรรมวิจัยยะ นั้น
มันก้อแค่แบบทดสอบภายใต้ สถานการณ์สมมุติ เพื่อ ใช้พิจารณา ตน
ให้ตะหนัก ถึงแรงขับเคลื่อน แห่งพฤติ ก้อเท่านั้น เอง ว่าเมื่อ มี factor แบบนี้เข้ามาในชีวิต


อาทิเช่น การได้รับค่านิตยภัต , การออกไปชุมนุมปิด สนามบิน  เราจะตอบสนองต่อ สถานการณ์นั้น ๆ อย่างไร
และ อะไร คือ แรงขับเคลื่อน แห่งพฤติ เหล่านั้น  เราแยกแยะได้ไหม ว่า สิ่งที่ได้กระทำ มันเป็นสัมมาหรือไม่
ซึ่งถ้า แยกแยะไม่ได้ มันก็น่าสงสัย นะ ว่า ศาสดาของพวกคุณได้เคยสั่งสอนเรื่องนี้กันไว้บ้างหรือเปล่า ?
พวกคุณ ถึงได้ ขาดหลักการและ บรรทัดฐาน ในการ แยกแยะว่าอะไร คือ กุศล และ อกุศล
แถมยัง ขาดความซื่อสัตย์ต่อ กิเลสตัณหา และ อัตตาตัวเอง เช่นนี้




มันยากตรงไหน ที่จะตอบว่า การกระทำที่ยกมาถามในกระทู้ ตามข้อ 1 ,2 นั้น
แบบไหนทำแล้ว เป็น กุศล แบบไหน ทำแล้วเป็น อกุศล ? ตามหลักสัมมัปปทาน 4
เมื่ออยู่ใน สถานการณ์นั้น ๆ  คือ


1.ถ้า มานีเป็นพระ มานีตั้งใจจะ สละสิทธิ ไม่รับ ค่านิตยภัต
เพราะเห็นว่า การรับเงิน ที่ เจ้าของภาษี( ที่อยู่ ต้นทาง ) เขาไม่เต็มใจจะให้เรา นั้น มันไม่สมควรกระทำ
หาก สิ่งที่ มานี ตั้งใจกระทำนี้ มิใช่ ทางแห่งสัมมา มิใช่ กุศลกรรม
พวกคุณก็ แย้งมาสิ ว่า สิ่งที่มานีกระทำ เป็น อกุศล เพราะ เหตุผล 1-2-3-4
สิ่งที่สมควรกระทำ และเป็น กุศล คือ มานีควรใช้สิทธิที่มีอย่างคราบในการรับค่านิตยภัต
จงอย่าได้ไปแคร์ แม้ เจ้าของเงินภาษี( ที่อยู่ ต้นทาง ) เขาจะไม่เต็มใจจะให้เงินเรา




2.มานีตั้งใจว่า ถ้ามานี มีส่วนร่วมไปชุมนุมปิดสนามบิน กับ โกตั๊บ
จนทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน ต้องตกเครื่องบินโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่ 
มานีก้อตั้งใจจะสำนึกผิด และ ขอโทษเขา
พร้อมกับ แสดงความรับผิดชอบ โดยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนค่าเสียหายให้
ด้วยการ บริจาคเงินตาม สัดส่วนของความเสียหายที่มีการประเมินออกมา


หาก สิ่งที่ มานี ตั้งใจกระทำนี้ มิใช่ ทางแห่งสัมมา มิใช่ กุศลกรรม
พวกคุณก็ แย้งมาสิ ว่า สิ่งที่มานีกระทำ เป็น อกุศล เพราะ เหตุผล 1-2-3-4
สิ่งที่สมควรกระทำ และเป็น กุศล คือ มานีควรทำไม่รู้ไม่ชี้ กับ เวรกรรมที่เคยไปละเมิดสิทธิผู้อื่น
ไม่จำเป็นต้องสำนึกผิด หรือ แสดงความรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายใด ๆ ให้เปลืองเงิน
ถือซะว่า เป็นวิบากกรรม ของชาวบ้านเมื่อ ชาติปางก่อน คนพวกนั้นเลยตก เครื่องบิน






อนึ่งจะสนทนาธรรมตามกาลกัน ทั้งที ก้อช่วยตอบคำถาม ในสไตล์ ยอดปิรามิด มั่งก้อดีนะ
โพส ตอบมาแต่แบบ ที่เป็น ส่วนฐานของปิรามิดเนี่ย พวกคนพุทธอย่างคุณ จะกลายเป็นตัวตลก ให้คนต่างศรัทธา ขบขันเอาได้ ในความไร้เดียงสา ของพวกคุณ




เฮ้ออ ด๊อกฯ สม สุจิรา  หมอฟัน ที่ผันตัวเองไปเรียนจิตวิทยา ป.โท เคยเขียนไว้ ว่า




อ้างถึง




" การตอบสนองของมนุษย์แต่ละคน ต่อ ผัสสะ(สิ่งเร้า)ที่เกิดขึ้นไม่เหมือนกัน
การตอบสนองที่ต่างกัน นี่เองที่ทำให้ มนุษย์แต่ละคน มีวิถีแห่งชีวิตที่แตกต่างกัน
ทุกคนมีชีวิตอยู่ในธรรมชาติเดียวกัน  แต่วิธีการตอบสนองของมนุษย์แต่ละคนที่มีต่อธรรมชาติต่างหาก คือ ลิขิตแห่งชีวิต "






พวกคุณก้อเลือก ลิขิตแห่งชีวิต เอาเองตาม อนุสัย แล ขันธสันดาน ของพวกคุณก้อแระกัน





.
หมายเหตุ

ถ้าพวกเมิง...เอ๊ย... เพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ลุง ๆป้า ๆ น้า ๆ อา ๆ
ทนอ่าน ตัวหนังสือ ของกรู...เอ๊ย.... ของนู๋บี มิได้...

นู๋บี จา กลั้นใจตาย ( จิง ๆ น๊ะ ) อ่ะซิก ... อ่ะซิก...

http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=bsonjb&month=09-2010&date=22&group=3&gblog=2