ผู้เขียน หัวข้อ: การบำเพ็ญ ศีลเจ อยู่ที่ตัวเราเอง  (อ่าน 2200 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานไตรสรณะสุจิปุลิ
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด



อนุโมทนากับทุกท่านที่ตั้งใจรักษาศีลเจและเมตตาต่อเวไนยเพื่อนร่วมโลก
 
คนที่คิดจะละเนื้อสัตว์ได้นั้น ต้องมีความตั้งใจที่บริสุทธิ์และมุ่งมั่น และมีเหตุผลกับตนเองว่า เหตุใดตนเองจึงงดเว้นเนื้อสัตว์
 
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม แต่เราไม่ขอเกี่ยวกรรมใดๆกับสัตว์ หรือ ร่วมส่งเสริมการปาณาติบาตไม่ว่าทางอ้อมหรือทางตรง
 
แม้ว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม เราก็ต้องฉุดช่วยพวกเขาตามควรแก่กำลัง ไม่ซ้ำเติมพวกเขาและไม่ส่งเสริมตัวเราหรือใครผู้อื่นต้องก่อกรรม
 
พวกเรามนุษย์ยังมีกรรมเป็นของตน แต่พระพุทธะ พระโพธิสัตว์ก็ยังช่วยเรา สงสารเมตตาพวกเรา และยังเมตตาชี้ทางให้เรารับรู้ถึงธรรมและกฏแห่งกรรม
 
พระอริยเจ้า คือ ครูของมวลเวไนย
 
ผู้ที่จะเป็นครูของเวไนยสัตว์ทั้งสามโลกได้ หรือ โปรดสัตว์ไปทั่วหล้า ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีก่อน พระพุทธะและพระโพธิสัตว์ พระอริยเจ้า ถือว่าเป็น ครูของสัตว์โลก รวมทั้ง ยังเป็นครูและผู้โปรดสัตว์เดรัจฉานด้วย ไม่เพียงแต่โปรดมนุษย์เท่านั้น เพราะฉะนั้น ในเมื่อเป็นครูผู้เข้าถึงธรรมแล้ว จะลงมือทานเนื้อสัตว์ที่ตนโปรดเสียเองงั้นได้หรือ
 
สอนให้คนทำความดีเป็นบางอย่าง แต่สอนให้คนเสพสุขสบาย เสพสุขกับการเอาแต่นั่งสมาธิจนเกิดการหลงความสุขกับตัวเอง โดยที่ไม่สอนให้ขัดเกลาอนุสัย แต่ให้สัตว์ที่ไม่ใช่มนุษย์รับความทุกข์ไปเรื่อยๆ แบบนี้ มิใช่ครูและพระ เพราะใจนั่นมิใช่ใจพระ คือ ยังเมตตาไม่พอ ไม่ถ้วนหน้า
หากจะโปรดเวไนย ก็ต้องโปรดให้หมด
 
พระธุดงธ์จริงๆในป่าเขาที่ไม่ค่อยออกมาสุงสิงกับชาวบ้าน ก็คงไม่ไปฆ่าสัตว์เสียเองเพื่อเอามาเป็นอาหาร เพราะ การฆ่าสัตว์ คือ ผิดศีล พระท่านจะระมัดระวังสำรวมมาก การธุดงธ์นั้น สอนให้เรารู้จักความลำบากความทุกข์ต่างๆ เพื่อให้เราได้เข้าใจธรรมมากขึ้น พระธุดงธ์เวลาจะฉัน ก็ต้องหาของป่าตามธรรมชาติ เช่น พืชผลไม้ สมุนไพรเป็นต้น คนที่ไม่เคยผ่านความทุกข์ความลำบากมาก่อน ก็คงไม่เห็นธรรมแน่นอน อย่างเช่นพ่อแม่ที่เกิดมายากจนข้นแค้น ส่วนมากจะได้ลูกที่กตัญญู รู้จักช่วยพ่อแม่ทำมาหากินและดูแลพ่อแม่ เพราะเหตุใดเล่า พวกเขาจึงเห็นธรรมได้เร็วกว่าเด็กที่เกิดมาเสพสุขสบาย
 
พระโพธิสัตว์ที่แท้จริง คือ ผู้เสียสละทุกอย่างทั้งสิ้น โดยเฉพาะ ความยากลำบาก หรือ ความเจ็บปวดของกายสังขาร ความตาย แม้จะให้ตัดเนื้อเฉือนแขนตนเอง ก็ยอม เพราะฉะนั้น จะให้เสียสละความสุขความสบายโดยการงดเนื้อสัตว์ทุกชนิดตลอดไปนั้น ย่อมเป็นเรื่องที่เล็กน้อยของพระโพธิสัตว์
 
ส่วนมากพวกเราที่ติดนิสัยความเคยชินกับความสุขสบายมักบอกว่า การงดเนื้อสัตว์ทำให้ตนเองลำบาก หากินยาก หรือเป็นการเบียดเบียตนเอง นั้นหมายความว่า เรากำลังแสวงหาความสุขความสบายใส่ตัว ความพอใจของตนเองเท่านั้น โดยที่ไม่คำนึงถึง ความลำบาก ความเจ็บปวดทรมานของสัตว์ เราเองยังกลัวความลำบากเล็กๆน้อยๆแค่นี้ แล้วเราจะได้ชื่อว่า เป็นคนที่เข้าใจธรรมะได้อย่างไร คนที่จะบำเพ็ญนั้น ต้องไม่กลัวความลำบากเล็กๆน้อยนี้อีกแล้ว เพราะการตัดกิเลสในเรื่องการกินที่ก่อให้เกิดความสบาย ความอิ่มหนำสำราญ นั้น คือ ด่านแรก
 
“ฉันรอดก็พอ คนอื่นตายช่างเขา”
 
ความเมตตาที่แท้จริงนั้น คือ การให้ผู้อื่นได้เป็นสุขมากกว่าที่ตนเองจะเสพความสุขความสบาย แต่หากความเมตตานั้น เป็นเหตุซึ่งทำให้คนอื่นเสพความสุขที่เห็นแก่ตัว นั้นมิใช่ความเมตตา เช่น “เมื่อเห็นคนอื่นฆ่าสัตว์ เราก็สุขใจไปด้วยที่คนอื่นเขามีความสุขกับสิ่งที่เขาทำ” สุขแบบนั้น มิใช่ความเมตตา แต่เป็นการเข้าข้างตัวเองต่างหาก หรือ เห็นเพื่อนกินเนื้อสัตว์อย่างเอร็ดอร่อย อิ่มสบาย เราก็มีความสุขไปด้วย อยากให้เพื่อนยอมรับในกลุ่ม แบบนั้น ก็มิใช่ความเมตตา เพราะ เมตตากับคนหนึ่งแต่อีกคนหนึ่งต้องเป็นทุกข์ คือ คนเป็นสุขแต่สัตว์มีทุกข์
 
บ้างก็บอกว่า “สัตว์มันตายแล้ว มันคงไม่รับรู้อะไรแล้ว” พูดง่ายมากเกินไปไหม แล้วเมื่อถึงวันที่เราตาย จิตวิญญาณเราจะรับรู้อะไรบ้างไหมล่ะ
ลูกหลานก็ไม่ทำบุญมาให้เลย เราคงไม่รับรู้ถึงความทุกข์ตรงนี้ ใช่ไหม อย่าคิดว่า ตายแล้ว “สูญ” แม้แต่สัตว์ที่ตายแล้ว ก็ไม่สูญ กายไปแต่จิตยังไม่ไปไหน พวกเขาก็จะเป็นวิญญาณที่อาฆาตและยังเวียนว่ายตายเกิดเหมือนเราใน 6 ภูมิ
 
เหตุผลหลักเพราะเหตุใด จึงไม่ควรกินเนื้อสัตว์ ก็เพราะว่า สัตว์ก็คือ คนเวียนมาเกิด นั่นเอง ในวัฏสงสาร ก็ยังคงมีภพภูมิเดรัจฉาน ไว้รองรับวิญญาณบาปมากมาย
 
“แม้ว่า เวไนยสัตว์ที่ตกนรกทุกจิตญาณ จะเป็นไปตามกฏแห่งกรรมที่พวกเขาเคยก่อไว้ครั้นตอนเป็นมนุษย์ หรือ สัตว์เดรัจฉาน แต่พระพุทธะ พระโพธิสัตว์ต่างก็ต้องเมตตาโปรดพวกเขาด้วยการกล่อมเกลาเทศนาธรรมให้พวกเขา ได้สำนึก เพื่อให้จิตญาณพวกเขาได้ระลึกถึงบาปเวรที่พวกเขาที่เคยก่อ ตราบเช่นเดียวกับ พวกเรามนุษย์ที่เห็นสัตว์เดรัจฉานผู้รับวิบากกรรมอันทุกข์ทรมานนั้น เราจะไม่เมตตาฉุดช่วยบ้างเลยหรือ
 
จะให้อภัยพวกเขาหรือไม่ที่พวกเขาไม่มีโอกาสเกิดมาเป็นคนแบบเราได้ กว่าจะรวมจิตญาณเป็นจิตญาณมนุษย์ได้ ก็ต้องชดใช้กรรมหลายชาติเลยทีเดียว
 
จงปล่อยสัตว์ที่ถูกขังให้พวกเขาได้เป็นอิสระ หรือ ถูกทรมานจนเสียสิ้นชีวี จงหยุดการเกี่ยวกรรมกันทุกรูปแบบ หากชาติหนึ่ง เราต้องไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานบ้าง ความรู้สึกนั้นเป็นเช่นไร คงยอมรับความจริงไม่ได้เมื่อรู้ตัวว่า “ต้องชดใช้กรรมแม้ว่าความยุติธรรมของกฏแห่งกรรมนั้นมีอยู่” แต่สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้บริสุทธิ์ มิเคยเบียดเบียนใครก่อน มนุษย์เท่านั้นที่เริ่มเบียดเบียนก่อน เมื่อคิดจะปล่อยพวกเขาให้ดำรงขันธ์ไปตามธรรมชาติ เขาก็จะอยู่อย่างธรรมชาติในวงจรชีวิตของเขา
 
หากไม่ปล่อยให้พวกเขาได้ดำรงชีวิตของเขาอย่างอิสระตามธรรมชาติ การเกี่ยวกรรมนั้นย่อมเกิดขึ้นเป็นทอดๆ จากผู้สั่ง ผู้จับ ผู้ฆ่า ตลอดขบวนการ จนถึงผู้บริโภค แม้ว่าผู้บริโภคอาจมิได้รับรู้เห็นอะไรด้วย แต่การเกี่ยวกรรมก็เกิดขึ้นแล้ว เช่น โรคภัยไข้เจ็บมากมายที่มากับเนื้อสัตว์
 
การงดเนื้อสัตว์หรืออาหารที่ตนเองชอบนั้นมิเป็นการเบียดเบียตนเองเลย เป็นการบำเพ็ญธรรมอย่างหนึ่งที่ทวนกระแส
 
บำเพ็ญธรรม อย่ารักสบาย อย่าเอาแต่ใจ อย่าเห็นแก่ลาภปากตนเอง หรือ ความพอใจในตน เวลากินข้าวแต่ละมิ้อ ให้สำนึกขอบพระคุณฟ้าดินที่ประทานพืชผัก ผลไม้อันอุดมสมบูรณ์มาให้เรา ชาวนา วัวควายที่ไถนาให้เรา พ่อค้าแม่ค้าขายผักผลไม้ พ่อครัวแม่ครัวที่ทำอาหารที่ดีมีประโยชน์มาให้เรา สำนึกที่เรานั้นอยู่สบายกว่า สัตว์เดรัจฉาน ที่พวกเขาต้องรอคิวในแดนประหารทุกวัน ครอบครัวแล้วครอบครัวเล่าต้องมาอยู่บนจานเสริฟ์ให้เราได้ทานจนอิ่มหนำสำราญ
 
คนที่บอกว่า การทานอาหารละเว้นเนื้อสัตว์ นั้นคือ “การเบียดเบียนตนเอง ทำร้ายตนเอง เป็นบาป”
 
เราขอถามว่า ชีวิตของเราที่แท้จริงทุกวันนี้ลำบากมากขนาดนั้นเชียวหรือ เรากำลังพูดเข้าข้างตนเองหรือเปล่าว่า เราลำบากทุกข์ทรมานหากมิได้กินเนื้อสัตว์แม้เพียงวันเดียว แล้วสัตว์ที่รอคิวให้พวกเราฆ่ามาเป็นอาหารแต่ละวัน หรือ แต่ละชาติเล่า ไม่ลำบากเท่าพวกเราใช่ไหม ความทุกข์ใจที่พวกเราต้องมางดเนื้อสัตว์นั้นยังเล็กน้อยเหลือเกินกับ ความทุกข์ของพวกเขาที่สละกายสังขารและความเจ็บปวดทรมานมาให้เรากิน ความจริงแล้ว มันไม่คุ้มค่าเลยกับ ชีวิตเดียว เพื่อ ความอิ่มท้อง หรือ เพื่อ ความเอาตัวรอดของพวกเราไปวันๆ เพราะ ก็แค่เข้าปากแล้วจบสิ้น
 
พวกเราทุกคนต่างมีกรรมมากมายเป็นของตัวเองทุกภพทุกชาติอยู่แล้ว เหตุใด ต้องซ้ำเติมผู้อื่นให้เพิ่มวิบากกรรมเข้าไปอีกเล่า แค่ความคิดในใจของเรา พวกวิญญาณสัตว์เดรัจฉานก็รับรู้ถึงสภาพจิตใจพวกเราได้เร็ว โดยเฉพาะ บุคคลที่ส่งเสริมเรื่องปาณาติบาตแล้วทำตัวเหมือนปล่อยวาง
ไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น เพราะฉะนั้น ให้เราไปลงมือฆ่าเขามากินเองจะกล้าทำหรือไม่ เราเองก็กลัวบาป ใช่ไหม จึงคิดว่า คนฆ่ารับกรรมไปคนเดียว แบบนี้ กฏแห่งกรรมมีไว้เพื่อเหตุใด กฏแห่งกรรมยุติธรรมที่สุด ภายใต้ฟ้าหรือบนดิน ไม่มีใครทำผิดแล้วรอดสายตาไปได้ ใครเกี่ยวข้องกับปาณาติบาตไม่ว่าทางตรง หรือ ทางอ้อม ก็ต้องรับกรรมไปเท่ากัน แบบนี้ คือ ความยุติธรรมของธรรมชาติ
 
ความลำบากที่เราหาอาหารเจทานยากนั้น ถือว่า คุ้มค่ามาก ความลำบากนี้จะสอนให้เราเห็นธรรม เข้าใจชีวิตของเวไนยและธรรมชาติมากขึ้นว่า เราลำบาก เราลำบากเพื่อใครเล่า ก็เพื่อความสุขของเวไนยสัตว์ทั้งหลาย คนที่จะบำเพ็ญธรรมแล้วกลัวความลำบากแต่รักสบาย ก็จะไม่มีวันเข้าใจตัวเองได้เลย
 
เราไม่กิน แต่คนอื่นทั่วโลกกิน ก็ไม่แปลกอะไร เพราะ กรรมนั้น เมื่อถึงวาระจะสอนพวกเขาเอง
 
เคยได้ยินไหมว่า เกิดเป็นคนก็โชคดีสุดๆแล้ว และยังได้อาหารที่อุดมสมบูรณ์ที่ธรรมชาติจัดสรรมาให้อีกด้วย มีพืชผักผลไม้ สมุนไพร ให้เราทาน ไม่พอเพียงหรอกหรือ
 
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม แต่เราก็สามารถฉุดช่วยพวกเขาให้พ้นทุกข์ได้มิใช่หรือ
 
ตอนเราเดือดร้อน เรายังเรียกหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือ พระสงฆ์ให้เมตตาช่วยเหลือเรา เพราะฉะนั้น เราควรสังวรณ์ไว้ว่า เราทุกคนก็ไม่ต่างจาก สัตว์ผู้เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายเหล่านั้นเลย ดีไหม”
 
ความเมตตาที่บริสุทธิ์ คือ เมตตาที่ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ เราก็ช่วยได้หมด จะช่วยได้มากหรือน้อยไม่สำคัญ อยู่ที่เจตนาที่บริสุทธิ์
 
การรักษาศีลเจ คือ การเริ่มต้นของการบำเพ็ญแบบพระโพธิสัตว์ นอกจากละกรรมปากแล้ว ยังต้องสร้างคุณงามความดีต่อทุกๆคนและสัตว์
เราอาจยังไม่ถึงขึ้นเป็นพระโพธิสัตว์ แต่ก็จงมุ่งมั่นเจริญรอยตามท่านเถิดที่ท่านอุตส่าห์เมตตา มอบคำสอนดีๆให้พวกเรามาตั้งมากมาย
 
ทำไมพระสงฆ์มากมายยังไม่เห็นด้วยกับการงดเว้นเนื้อสัตว์ เพราะตัวท่านเหล่านั้นเองก็ยังกินเนื้อสัตว์เช่นกัน ใครเล่าจะยอมรับว่าตนเองว่า “บาป” ท่านทั้งหลายเหล่านั้นก็เลยต้องทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไป เวลาพูดก็เหมือนจะเป็นกลางบ้าง แต่เป็นพระสงฆ์ลำบากมาก เพราะวินัยสงฆ์ก็เคร่งครัดตั้งแต่ยุคพุทธกาลแล้ว ญาติโยมถวายอะไรมาก็ต้องรับหมด ห้ามเลือกแต่จะฉันหรือไม่ อยู่ที่ตัวท่านเอง พระรับอาหารที่ญาติโยมนำมาถวายแล้วก็จริง แต่พระปฏิเสธที่จะฉันได้ เช่น หลวงปู่สรวง ตอนที่มีลูกศิษย์นำเนื้อกระต่ายป่ามาถวายท่าน ท่านก็รับไว้แต่ไม่ได้ว่าอะไร แต่ท่านไม่ฉัน
 
แต่อย่างไรก็ตาม ยุคนี้ มีการฆ่าสัตว์มากมายขึ้นทุกวัน มากกว่า ยุคโบราณกาล หรือ ยุคพุทธกาล เพราะ ยุคนี้ มนุษย์นั้นทำเป็นเชิงเศรษฐกิจและธุรกิจ เช่น โรงฆ่าสัตว์ ฟาร์มกรมปศุสัตว์ โรงงานเนื้อสัตว์ โรงงานทำกระเป๋าหนัง ธุรกิจภัตตาคารอาหารชอ ดังนั้น เนื้อสัตว์ทุกชิ้นจึงถือว่า เป็นเนื้อสัตว์ไม่บริสุทธิ์ เพราะมิได้ตายเองทั้งสิ้น คนที่บริโภคก็มีมากขึ้นอยู่แล้ว จำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นทุกวันก็เป็นเหตุที่ต้องผลิตสัตว์เพื่อฆ่าและกิน เพิ่มขึ้นทุกวินาที การฆ่าจึงไม่เคยหยุด ดังนั้น การผิดศีลข้อ 1 จึงสูงเหนือกว่าเหตุผลของสัจธรรมที่จะบอกเตือนมนุษย์ได้ จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า เหตุใด ประชากรสัตว์ทั้งหมดบนโลกจึงมีมากมายเหลือเกิน ยิ่งฆ่ายิ่งเยอะ ยิ่งฆ่าก็ยิ่งมีสัตว์เวียนมาเกิดมากขึ้น
 
เหตุใดที่พระพุทธเจ้าไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของเทวฑัต
1. เทวฑัต โดยพื้นฐาน เป็นผู้ที่ไม่ชอบพระพุทธเจ้ามาตั้งแต่เด็กแล้ว ตอนเด็ก เทวฑัตก็กลั่นแกล้งพระองค์ ซ้ำยังล่าสัตว์เสียอีก พระพุทธองต์ทรงห้ามและตักเตือนเรื่องการฆ่าสัตว์ ก็ไม่ฟัง แล้วจะให้ได้ชื่อว่า เป็นผู้ที่มีศีลเจบริสุทธิ์ได้อย่างไรเล่า ปากกับใจอาจไม่ตรงกันก็ได้
2. เทวฑัตหมายปองร้ายพระพุทธองค์มาตลอด จะเอาชนะพระพุทธองค์ให้ได้ ทานผักแต่จิตใจโหดร้ายมันจะเป็นเหตุผลที่เข้ากันได้อย่างไร
3. อาจทำให้พระสงฆ์แตกแยกได้ เพราะพระสงฆ์บางองค์ก็ฉันเนื้อสัตว์ บางองค์ก็ไม่ฉัน จึงไม่ควรบังคับ ใครฉันเจก็ฉันไป ใครไม่ฉันก็ไม่เป็นไร
4. การไม่ฆ่าสัตว์ ก็ รวมอยู่ในทุกเหตุผลแล้ว
5. การฉันเนื้อสัตว์อาจมีผลไม่ดีต่อสุขภาพก็จริง แต่พระสงฆ์ยุคนั้น ต้องปลงเรื่องกายสังขารให้ได้ คือ แม้ว่าจะเจ็บไข้ได้ป่วยเพียงใด ก็ต้องปลงให้ได้ คือ ไม่กลัวความตาย ไม่กลัวการเผชิญหน้ากับกฏแห่งกรรม ยินดีที่จะรับผลกรรมอย่างอุเบกขา เชื่อมั่นในนิพพาน เพราะได้ทำงานรับใช้พุทธศาสนาอย่างคุ้มค่าแล้ว
6. เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องของสัจธรรม
 
แต่ก็น่าเห็นใจที่พระสงฆ์ต้องฉันเนื้อสัตว์หรือฉันตามอัตภาพ เพราะว่า เจตนาของญาติโยมที่ถวายมา แต่พระสงฆ์ในยุคนี้ก็เชนเดียวกัน ต้องปลงสังขารและปลงเรื่องกรรมนั่นเอง คือ ไม่กลัวความตาย ไม่กลัวการชดใช้กรรม จะเห็นได้โดยที่มีพระสงฆ์มากมายเจ็บไข้ได้ป่วยหนัก แม้ว่าจะต้องรับวิบากกรรมขนาดไหน หรือ เจ้ากรรมนายเวรมาทวงหนี้เวรกรรมหนักเพียงใด ต่อให้มีบารมีมาก ก็ต้องไม่พ้นกฏแห่งกรรมทั้งนั้น แต่พระสงฆ์มรณภาพอย่างมีคุณค่า คือ มีความดีให้ผู้คนรุ่นหลังจดจำ เชิดชูและเคารพ เจริญรอยตามคำสอนของท่าน เพราะถือว่า ได้ช่วยงานรับใช้พุทธศาสนาไปมากแล้ว ดังนั้น พระสงฆ์จึงฉันเนื้อสัตว์ไปตามอัตภาพโดยที่ไม่จำเป็นต้องห่วงสุขภาพสังขารเลย ว่า ท่านจะเจ็บไข้ได้ป่วยเพียงไร หรือ มรณภาพเพราะโรคร้าย เช่น ความดันโลหิตสูง มะเร็ง หัวใจ ฯลฯ การที่พระสงฆ์ไม่สามารถเลี่ยงเนื้อสัตว์จึงมีเหตุผลดีๆหลายประการ
 
พระท่านก็เป็นกลางและเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย คือ ไม่เข้าข้างคนกินเจและคนกินเนื้อสัตว์ ต้องเมตตาให้ทั่วถึง เวลามีหัวข้อนี้นำขึ้นมาถามพระทีไร ทำเอาพระปวดหัวทุกที เพราะฉะนั้น ในฐานะ ฆารวาส การทานเจ ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง หากเราละเนื้อสัตว์ได้ ถือว่า ดีกับตัวเราเอง สุขใจก็อยู่ที่ตัวเราเอง ไม่ต้องไปถามพระหรือถามใคร เพราะทุกคนก็นานาจิตตัง ถามไปก็ขัดแย้งกันเปล่าๆ เพราะในโลกนี้ มีทั้งคนที่กินเนื้อและคนกินผัก อย่าบังคับให้ใครกินเจหากตัวเองยังเอาตัวไม่รอด แต่ส่งเสริม นำข้อมูลมาเผยแพร่ได้ ให้คนรับรู้ได้ ส่วนกินไม่กิน อยู่ที่ตัวเองเป็นผู้ตัดสินใจ แต่ที่พบเห็นคนกินเจนำเรื่องคุณประโยชน์ของการกินเจมาเผยแพร่ ก็ถือว่า เป็น วิทยาธรรมเป็นทาน หากกินเจไม่ดีจริง พวกเขาจะนำมาเผยแพร่ทำไม คนเราคงไม่มีเจตนาร้ายต่อกัน จริงไหม เพราะหากเราทำได้ มันก็ดีต่อตัวเราเอง เราย่อมรับรู้ได้เอง เราไม่ได้อะไรเป็นการตอบแทนอยู่แล้ว เหมือนมีอะไรดีๆก็บอกต่อกันไป การส่งเสริมมนุษย์ด้วยกันให้ทานเจนั้น คือ ความปรารถนาดีต่อกัน เหมือนตัวข้าพเจ้าก็อยากให้คนอื่นรับรู้เรื่องข้อดีของการทานเจ แต่จะบังคับให้ใครมาทานเจ คงทำไม่ได้แน่นอน
 
ส่วนพระก็สามารถเทศนาธรรม เรื่อง ศีลเจ ให้ญาติโยมฟังได้ ไม่ผิดอะไรเลย จึงเป็นการช่วยให้ญาติโยมเข้าใจ ศีลปาณาติบาต มากขึ้น พระสงฆ์ คือ ผู้ที่ญาติโยมเคารพนับถือ เมื่อฟังแล้ว ย่อมปฏิบัติตามกัน การงดเว้นเนื้อสัตว์ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาบังคับ แต่เป็นเรื่องที่จำเป็นกับชีวิตของเราเองและผู้อื่น
 
แม้ว่า การทานเจอาจเป็นเรื่องยากของพระสงฆ์ในประเทศไทยเรา แต่การทานเจ ก็ยังเหมาะกับฆารวาสผู้ที่ปฏิบัติบำเพ็ญธรรม เพราะว่า ฆารวาสทั่วไป มิได้ทำงานรับใช้พุทธศาสนาอย่างเต็มที่เหมือนพระสงฆ์ คือ ยังใช้ชีวิตหาเช้ากินค่ำในท่ามกลางสังคมที่เต็มไปด้วยกิเลส แสง สี เสียงอยู่ จึงมีโอกาสสร้างกรรมกับสัตว์โลกมากกว่าพระสงฆ์ เพราะฉะนั้น ฆารวาสที่ไม่ได้ทานเจ ก็อาจต้องสร้างบุญกุศล ขัดเกลาอนุสัยจิตใจตนเองให้หนักกว่าฆารวาสที่ทานเจ เพราะการทานเนื้อสัตว์ ทำให้ลำบากในการบำเพ็ญเพียร เพราะ กายและเลือดไม่บริสุทธิ์ อาจทำให้เจ็บไข้ได้ป่วยระหว่างการบำเพ็ญ จึงต้องรักษาถนอมกายสังขารเป็นพิเศษ กายสังขารนี้อาจเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่เราก็ควรใช้กายสังขาร หรือ กายปลอมสมมตินี้ บำเพ็ญต่อไป ดังนั้น การมีอายุยืนยาวเพื่อบำเพ็ญธรรมสมัยนี้จึงสำคัญมาก
 
คำว่า เดินสายกลางนั้น มิใช่ ทำจิตว่างเปล่าไม่รับรู้อะไรเลย คำว่าเดินสายกลางนั้น มีความหมายที่แยบยลมาก หากเดินสายกลาง แต่ขาดองค์ต่างๆของจิตซึ่งคุณธรรมต่างๆ เช่น เมตตาธรรม มโนธรรมสำนึก จริยธรรม สัตย์ธรรม ก็คงมิใช่สายกลางเสียแล้ว เพราะสายกลางนั่น หากจิตใจไม่กว้างพอ ยังมีแบ่งเขาแบ่งเรา เรามนุษย์เขาสัตว์ จิตใจแบ่งแยก จิตใจไม่เห็นความเท่าเทียมกัน จิตใจไม่รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ตัวกูของกู ศาสนาใครศาสนามัน หรือ แม้กระทั่งความหวงแหนนามธรรมต่างๆ ก็คงไม่พอกับคำว่า สายกลาง คือ ยังไม่เข้ากับ ทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติที่แท้จริงนั่นเอง
 
การที่คนทำความชั่วมากขึ้นทุกวันนี้นั้น ที่เห็นตามข่าวในสังคมเรา คือ ความเสื่อมของศาสนาแล้ว แล้ว อนุตตรธรรม ที่มุ่งสอนให้เวไนยสัตว์กลับตัวกลับใจเป็นจิตญาณที่ดีขึ้นมากมาย จะเป็นเหตุให้ศาสนาพุทธเสื่อมได้อย่างไรเล่า
 
ขออนุโมทนากับความตั้งใจจริงแห่งธรรมทาน เพื่อส่งเสริมให้ผู้คนหันมาละเนื้อสัตว์ทั้งปวง เพราะยุคนี้ สำคัญมากๆกับการโปรดสัตว์ให้ทั่วถึง
 
เดี่ยวนี้ คนหันมาทานเจและมังสวิรัติกันทุกวันพระ วันเกิด กันมากขึ้น เป็นนิมิตหมายที่ดี

http://www.oknation.net/blog/tycill/2010/03/24/entry-1

" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ ดอกโศก

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • *
  • กระทู้: 862
  • พลังกัลยาณมิตร 595
    • rklinnamhom
    • ดูรายละเอียด
Re: การบำเพ็ญ ศีลเจ อยู่ที่ตัวเราเอง
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: กรกฎาคม 11, 2010, 04:33:50 pm »
อนุโมทนาค่ะ    :45:

ออฟไลน์ แก้วจ๋าหน้าร้อน

  • สิ่งใดคือธรรมะ สิ่งนั้นย่อมดีแล้วสูงสุด
  • ทีมงานกวาดลานดิน
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 6503
  • พลังกัลยาณมิตร 1741
  • ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครอง
    • kaewjanaron
    • facehot
    • ดูรายละเอียด
    • ใต้ร่มธรรม
Re: การบำเพ็ญ ศีลเจ อยู่ที่ตัวเราเอง
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: กรกฎาคม 11, 2010, 10:00:22 pm »
อนุโมทนาครับ :07:
การโพสภาพโดยใช้เว็บฝากไฟล์ภาพ imageshack.us/ (เว็บกบ)
การปรับแต่งห้องสมาชิกไร้ขีดจำกัด Ultimate Profile + ห้องเพลงส่วนตัว
การตั้งกระทู้และการโพสกระทู้ในเว็บใต้ร่มธรรมครับ
การแก้ไข้ข้อมูล ชื่อ ระหัส ส่วนตัวของสมาชิกใต้ร่มธรรมครับ
การใส่รูปประจำตัวเรา Avatar รวมทั้งลายเซ็นต์ ในกระทู้หรือโพสของเราครับ
เพิ่มไอคอน ทวิสเตอร์ เฟชบุ๊ค ยูทูบ ในโปรโปรไฟล์ของเรา
การสร้างอัลบั้มภาพส่วนตัวในห้องสมาชิก Profile Pictures
การเพิ่มเพื่อน กัลยาณมิตรใต้ร่มธรรม ในห้องสมาชิกส่วนตัว
การดูกระทู้ทั้งหมดที่เรายังไม่ได้อ่านครับ
โค้ดสี bb color code ไว้สำหรับโพสกระทู้ครับ
*วิธีเคลียร์แคชในทุกเว็บเบราว์เซอร์ครับ เมื่อคอมอืด*

ห้องประชุมของทีมงาน
~ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครองครับ~

ออฟไลน์ ดอกไม้ในที่ลับตา ~ ღ

  • ทอฝัน~..ปันรัก & น้ำใจ ..ห่วงใย~ ให้ และ แบ่งปัน..เกื้อกูลกัน ด้วยความจริงใจ แบบไร้เงื่อนไข ดุจดั่ง ครอบครัวเดียวกัน นะคะ ^^ ..
  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • *
  • กระทู้: 759
  • พลังกัลยาณมิตร 365
  • ๏ นิ่ง .. ดับ ~ .. ขยับ .. เกิด ๏
    • ดูรายละเอียด
Re: การบำเพ็ญ ศีลเจ อยู่ที่ตัวเราเอง
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: กรกฎาคม 22, 2010, 09:10:32 pm »
 
:13:  :07: .. สาธุ!~ .. อนุโมทนาบุญด้วยนะคะ คุณมด ^^
.. จงมอง "ปัญหา" ให้เป็น "กล้องถ่ายรูป".. เวลาเจอต้อง "ยิ้มสู้" ^^ .. แล้ว "ชูสองนิ้ว".. 


:13:. .. .:19:
จิตอ่อนน้อมเป็นกุศล จิตถ่อมตนเป็นบารมี..
รักษาสุขภาพนะคะ คุณพระคุ้มครอง ความดีรักษาค่ะ..

. . รั ก ษ า ธ ร ร ม ๏ อ ยู่ คู่ ก า ย . .

ออฟไลน์ rain....

  • ศรัทธาในสิ่งที่ค้นหา มั่นคงในสิ่งที่เป็น แบ่งปันในสิ่งที่ค้นพบ
  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • *
  • กระทู้: 994
  • พลังกัลยาณมิตร 379
  • สุขลึกๆในความเหงา แม้จะโดดเดี่ยวแต่ไม่เคยเดียวดาย
    • ดูรายละเอียด
Re: การบำเพ็ญ ศีลเจ อยู่ที่ตัวเราเอง
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: กรกฎาคม 24, 2010, 09:21:53 pm »
สาธุ  อนุโมทนาวันทามิ

...........................................
"ข้าพเจ้า ขอถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่อุบัติขึ้นมาในโลก  ทุกๆพระองค์
พร้อมทั้งพระธรรม และ พระสงฆ์
ว่าเป็น  สรณะ  ที่พึ่งตลอดชีวิต"