คลังธรรมปัญญา > หนอนหนังสือ

อสุราอาหม : ประวัติศาสตร์ ชาติพันธุ์ ของญาติเรา คนไทย ใน อินเดีย

<< < (2/2)

มดเอ๊กซ:
ชัยธวัชสิงห์กู้ชาติ

แม้อาหมจะเสียเมืองหลวง แต่ชัยธวัชสิงห์นั้นยังอยู่ ราษฎรยังมีความเชื่อมั่นในศักดิ์ศรี ไม่ยอมให้ต่างชาติมาข่มเหง เกิดมีกองโจรขึ้นตามหมู่บ้านตำบลต่างๆ ลอบโจมตีสร้างความปั่นป่วนแก่ทหารโมกุล

มีรชุมลาเห็นดังนั้นก็คิดจะปราบปรามอย่างเฉียบขาด จึงสั่งการว่า “หากมีทหารโมกุลถูกทำร้ายในหมู่บ้านใด ผู้ชายหมู่บ้านนั้นจะต้องโทษประหารทั้งหมด!” จากนั้นทำจริงให้เห็นสองสามหมู่บ้าน

ชาวไทยแทนที่จะหวาดกลัว กลับมีความโกรธแค้น ทำกองโจรโจมตีพวกโมกุลหนักกว่าเดิม จนกระทั่งโมกุลไม่สามารถรักษาหมู่บ้านตำบลต่างๆได้ ต้องพากันถอยเข้าราชธานีกาหะกอน


นักรบอาหม

ชัยธวัชสิงห์ออกจากป่ามาควบคุมหัวเมืองต่างๆดังเดิม จึงให้ทัพไทยตั้งล้อมเมืองกาหะกอนเอาไว้ ตัวเขาบัญชาการแนวหน้า สั่งให้ยิงทหารศัตรูทุกคนที่เดินออกมาจากนอกค่ายทำจนฝ่ายโมกุลหวาดกลัวอย่างหนัก ชัยธวัชสิงห์จึงขอเจรจากับมีรชุมลา บอกว่าให้ถอนทัพกลับไป อาหมจะยอมส่งบรรณาการแก่โมกุล มีรชุมลาย่อมอยากพิชิตทั้งอาณาจักรมากกว่าได้แค่รัฐบรรณาการ การเจรจาจึงล้มเหลว

ชัยธวัชสิงห์โกรธก็สั่งบุกเมืองกาหะกอน แต่ถูกตีถอยกลับมา ทั้งสองฝ่ายยันกันจนพวกโมกุลในเมืองอดอยากเกิดโรคระบาด มีรชุมลาก็ยังไม่ยอมถอยทัพ พอถึงหน้าแล้งพวกโมกุลส่งทัพหนุนมาแก้ไข ชัยธวัชสิงห์จำต้องพาคนหลบเข้าป่าอีกครั้ง


นักรบอาหม

จากนั้นมีรชุมลาพยายามส่งคนไปตามจับชัยธวัชสิงห์มาให้ได้ ส่วนชัยธวัชสิงห์ทำกองโจรต่อต้านต่อไป จนกระทั่งเกิดเหตุสำคัญสองประการ คือฝ่ายโมกุลเกิดภาวะข้าวยากหมากแพง ประกอบกับตัวมีรชุมลาล้มป่วย

แม่ทัพโมกุลเห็นว่าคงยากจะยึดครองดินแดนนี้ต่อไปได้ อย่ากระนั้นเลยหากยอมตามข้อเสนอการเป็นรัฐบรรณาการของฝ่ายไทย ก็ยังถือว่ารบชนะ จบสวย ดีกว่าดันทุรังต่อไปและอาจจะแพ้ เขาจึงติดต่อชัยธวัชสิงห์ให้มาเจรจากันอีกครั้ง เรียกร้องค่าปฏิกรณ์สงครามมากมายแลกกับการถอนทัพกลับ

ชัยธวัชสิงห์ย่อมยอมตามข้อเสนอดังกล่าว สำหรับเขาการเจรจานี้เป็นเพียงข้ออ้างให้พวกโมกุลถอนทัพ ให้พวกอาหมมีเวลาเตรียมตัวสู้ใหม่

พอมีรชุมลาถอนทัพไปแล้ว ชัยธวัชสิงห์ก็เร่งให้คนตระเตรียมกำลังไพร่พลสำหรับทำการรบต่อ แต่ยังไม่ทันคืบหน้าอย่างใดเขาก็ป่วยตาย เนื่องจากต้องตรากตรำกับศึกสงครามมานาน...



อาหมเตรียมกำลัง

ในช่วงที่มีรชุมลาปกครองกาหะกอนนั้น มีนักเขียนโมกุลบันทึกว่าอาณาจักรอาหมนั้นประกอบด้วยหลายชนชาติ เฉพาะชนชาติไทยนั้นมีจำนวนไม่มาก แต่เป็นพวกกระหายเลือด มีความทารุณ โหดร้าย หยาบคาย คดโกง ครบถ้วนในความเลว แต่เพราะแบบนี้จึงรบเก่งมาก และเป็นผู้ปกครองชนชาติอื่นๆทั้งหมด


ชาวไทย

นอกจากเลวแล้วชาวไทยยังเย่อหยิ่ง ถือว่าตัวเองสืบเชื้อสายมาจากผีแถนเลงดอน (ชาวอาหมนับถือศาสนาฮินดู แต่เป็นเวอร์ชันที่ปนๆกับศาสนาผีเก่า) ไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจใครทั้งสิ้น

บันทึกของโมกุลมีส่วนถูก เพราะนับแต่อาหมทำสัญญาสวามิภักดิ์แล้วก็เร่งรวบรวมกำลังคิดการหักหลังเรื่อยมา

ชัยธวัชสิงห์จากไปโดยไร้ทายาท พวกขุนนางจึงอัญเชิญเจ้านายที่เข้มแข็งคนหนึ่งขึ้นเป็นเป็นกษัตริย์ นามไทยว่าเสือพึ่งเมือง นามอินเดียคือจักรธวัชสิงห์


กษัตริย์อาหม

จักรธวัชสิงห์เปิดท้องพระโรงเรียกประชุมเสนา กล่าวว่า “เราชาวไทยมีความสูงส่งกว่าชนชาติอื่นๆ ไหนเลยจะยอมเป็นเมืองขึ้นพวกมันได้ แต่หากมันเห็นเราไม่ส่งบรรณาการให้จะต้องยกทัพมาอีกแน่ ...เฮ้ย! เสนาตอนนี้เรามีอาวุธยุทธภัณฑ์เพียงพอทำสงครามหรือไม่อย่างไร?”

เสนาบดีกลาโหมชื่อชัยนันท์ทูลว่า “มีพร้อมพะยะค่ะ!” จากนั้นพอเลิกประชุมจึงตามจักรธวัชสิงห์เข้าไปชี้แจงเป็นการส่วนตัวว่า “ความจริงเราบอบช้ำจากการต่อสู้กับมีรชุมลามาก เวลานี้ลูกธนูหน้าไม้หมดสิ้น กระสุนดินดำสักหีบหนึ่งก็ไม่ดี ข้าจำต้องทูลเท็จ เพื่อมิให้ประชาชนเสียขวัญ...”

จักรธวัชสิงห์ฟังดังนั้นจึงให้เร่งบำรุงกำลังเป็นการด่วน ตัวเขาลงไปควบคุมการฝึกรบของทหารด้วยตนเอง และให้กำลังใจชาวบ้านช่วยกันทำไร่ทำนาสะสมเสบียง

นอกจากนั้นจักรธวัชสิงห์ยังให้รวบรวมผู้มีสติปัญญาวิเคราะห์หนทางรับมือเทคโนโลยีทันสมัยของโมกุล ให้มีจัดระเบียบการบังคับบัญชาทหารให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ให้ทำการหล่อปืนใหญ่ ต่อเรือรบทั้งกลางวันกลางคืน นี่นับเป็นช่วงเวลาที่ไทยอาหมทั้งประเทศต้องร่วมแรงร่วมใจกันทำงานกอบกู้ชาติ

สำหรับแม่ทัพซึ่งจะทำการต้านรับโมกุลนั้น จักรธวัชสิงห์เลือกให้ขุนพลเอกชื่อ “ลาชิต” รับเกียรตินี้


อนุสาวรีย์ลาชิต ส่วนคนที่เห็นในภาพนั้นกำลังมาขูดขอหวย (อำ)

ลาชิตมาจากตระกูลต่ำ พ่อของเขาชื่อโมไมตามูลี แต่เดิมเป็นคนจน ต้องขายตัวเป็นบ่าวรับใช้ในบ้านของหลานที่มีฐานะดีกว่า กษัตริย์อาหมชื่อประตาปสิงห์ (เสือแสนฟ้า) ผ่านมาเห็นว่าลักษณะดี จึงขอมาอยู่ในวัง โมไมตามูลีแสดงความสามารถ ได้รับเลื่อนยศขึ้นเรื่อยๆ จนเคยเป็นถึงแม่ทัพ ทำศึกรบพุ่งกับโมกุลในยุคก่อนมีรชุมลาเป็นสามารถ จนพวกโมกุลเปรียบประตาปสิงห์ว่ามีอานุภาพเหมือนพระศิวะ และโมไมตามูลีนี้คือวัวนนทิ พาหนะของพระศิวะ

ลาชิตได้รับสืบทอดสติปัญญาจากบิดา สมัยเด็กๆนั้นเขาเคยเป็นเลขานุการของเจ้ากว้างเมือง ต่อมาได้เป็นเจ้ากรมอัศวราช ทำหน้าที่ฝึกม้าได้เป็นอย่างดี ต่อมาย้ายไปเป็นเจ้ากรมสรรพากร และเป็นเจ้ากรมทหารรักษาพระองค์ตามลำดับ ในสมัยที่มีรชุมลายกทัพมานั้น ลาชิตเคยยกทัพออกรบ เป็นไม่กี่คนที่รบชนะ จดหมายเหตุฉบับหนึ่งบันทึกว่าชายผู้นี้ “หน้าแบนคล้ายจันทร์เพ็ญ ไม่มีใครกล้าจ้องหน้าสบตาได้”


อนุสาวรีย์ลาชิตอีกแห่งหนึ่ง

ก่อนมอบตำแหน่งแม่ทัพนั้นจักรธวัชสิงห์ได้ทำการทดสอบสติปัญญาลาชิตหลายอย่าง ก็ได้รับผลน่าพึงพอใจมาตลอด ในการทดสอบขั้นสุดท้าย จักรธวัชสิงห์ให้มหาดเล็กคนหนึ่งวิ่งไปฉวยผ้าโพกศีรษะของลาชิตขณะเข้าเฝ้าอยู่กลางท้องพระโรง การกระทำนี้ถือว่าดูหมิ่นกันอย่างแรง ลาชิตโกรธก็ชักดาบไล่ฟันมหาดเล็กคนนั้น

จักรธวัชสิงห์เห็นดังนั้นก็พอใจว่าลาชิตกล้าชักดาบต่อหน้าตน นับว่าเถื่อนดี เหมาะทำการใหญ่ จึงขอชีวิตมหาดเล็กนั้นไว้ ชี้แจงว่านี่เป็นการทดสอบเท่านั้น (ถ้าใครไปจีบสาวอาหม เวลาเขาทดสอบอะไรต้องทำตัวเถื่อนๆเข้าไว้นะครับ ถึงจะผ่านการทดสอบ)

กษัตริย์แห่งอาหมจึงมอบดาบอาญาสิทธิ์แก่ลาชิต แต่งตั้งให้เป็น “ผู้ก้นหลวง” นำทัพรับมือโมกุล!

(ยุคหลังอาหมมีตำแหน่งขุนนางใหญ่เพิ่มมาอีกสองตำแหน่ง ชื่อน่าหวาดเสียวมากคือ “ผู้เกหลวง” กับ “ผู้ก้นหลวง” ตำแหน่ง “ผู้ก้นหลวง” นี้ถึงจะแปลเป็นภาษาอินเดียสำเนียงอัสสัมก็ไม่ได้ช่วย เพราะมันคือ “บาร์ผู้ก้น” อาจจะฟังดูแปลกๆหน่อย แต่คำว่า “ก้น” ในภาษาอาหมนั้น คือคำว่า “ต้น” ในภาษาไทยปัจจุบัน)

ปี 1667 เพียงสี่ปีหลังศึกมีรชุมลา อาหมก็ตระเตรียมการพรักพร้อม ยกทัพไปตีเมืองเกาฮาตีซึ่งเคยเป็นของอาหม แต่ถูกพวกโมกุลชิงไป

มีรชุมลานั้นป่วยตายไปก่อนหน้านั้นแล้ว ข้าหลวงโมกุลที่ปกครองเกาฮาตีอยู่ชื่อฟีรุซข่าน ไม่สามารถต้านทานกำลังของลาชิตได้ก็นำทัพหนีไปตั้งค่ายบนภูเขาชื่ออิตาขุลี


ฟีรุซข่าน

ภูเขาอิตาขุลีนี้อยู่สูง สามารถมองเห็นรอบด้าน นายทหารอาหมคนหนึ่งเห็นชัยภูมินี้ถึงกับอุทานว่า “ใครตีอิตาขุลีได้ ฉันจะยอมเป็นทาส!” เนื่องจากทำให้ทหารคนอื่นเสียขวัญ เขาจึงถูกประหารโดยการควักหัวใจ

ลาชิตบอกว่าสมัยก่อนพวกชุติยะเคยอยู่บนเขาสูงกว่านี้พวกเราก็เคยปีนหน้าผาไปจับมันฆ่าได้ ไหนเลยภูเขาแค่นี้จะมีพิษสงต่อเรา เขาทำอุบายส่งสายลับไปเอาน้ำกรอกกระบอกปืนใหญ่โมกุลทั้งหมด จากนั้นยกพลทั้งหมดปีนขึ้นเขาพร้อมกันรวดเร็ว

พวกโมกุลใช้ปืนใหญ่ไม่ได้ก็ตกใจ ขณะทำอะไรไม่ถูกก็ถูกพวกอาหมบุกตีค่ายแตก ลาชิตจับตัวฟีรุซข่านมัดส่งจักรธวัชสิงห์ ทำให้จักรธวัชสิงห์ดีใจมาก ถึงแก่หัวเราะกล่าวว่า “บัดนี้ข้ากินข้าวคล่องคอแล้ว!”

...พอรบชนะ ลาชิตก็บัญชาการเตรียมการป้องกันชายแดนทันที...

ก่อนหน้านี้พวกอาหมวางแผนกันว่าถึงพวกโมกุลจะมีเรือปืน แต่ยังคงรบทางเรือดีกว่า เพราะโมกุลมีทหารม้าที่แข็งแกร่งมาก ยากเอาชนะได้หากต้องสู้กันตรงๆ



เมืองเกาฮาตีมีแม่น้ำพรหมบุตรไหลผ่าน เป็นปราการด่านหน้าของอาหมในเวลานั้น หากต้องการฝ่าด่านนี้ไป จะหักเอาเมืองทางบก หรือล่องเรือไปทางน้ำก็ได้

เพื่อป้องกันทหารม้า อาหมต้องสร้างป้อมค่ายที่แข็งแรง สามารถทนทานต่อปืนใหญ่ และอาวุธต่างๆ พวกโมกุลตีป้อมนี้ไม่แตกก็จะตั้งล้อมไว้ จนเสียเสบียงอาหาร ร้อนใจต้องยกทัพเรือมาทางแม่น้ำพรหมบุตร

พวกอาหมได้ตรวจดูแล้วว่าจุดที่แคบที่สุดของแม่น้ำนี้อยู่ในเขตศรายฆาต ลำน้ำมีความกว้างเพียงหนึ่งกิโลเมตร เป็นชัยภูมิอันเหมาะสมที่พวกอาหมจะสร้างคันโคลน วางขวากหนามค่ายกลป้องกัน และใช้ทัพเรืออันมีชื่อเสียงพิชิตโมกุลเป็นการแตกหัก!


ศรายฆาตในปัจจุบัน

ลาชิตให้ทหารเสริมความแข็งแกร่งแก่ป้อมค่ายทั้งกลางวันกลางคืน ไม่หยุดแม้แต่วันเดียว ตัวเขาตรวจตราเร่งรัดอย่างเข้มงวด

มีน้าชายของลาชิตคนหนึ่ง ไม่สามารถเสริมความแข็งแรงของป้อมเสร็จตามกำหนดเวลา ลาชิตก็ให้จับน้าคนนั้นไปประหารชีวิตเป็นตัวอย่าง ความเด็ดขาดของเขาทำให้พวกทหารหวาดกลัว ต่างเร่งรัดทำงานอย่างหนัก


เรื่องของรามสิงห์

จะกล่าวถึงแม่ทัพใหญ่ฝ่ายโมกุลที่ยกมารบกับลาชิตในศึกสำคัญข้างหน้า

แม่ทัพคนนี้มีชื่อว่ารามสิงห์ โดยตำแหน่งเป็นกษัตริย์แห่งเมืองอัมเบอร์ ซึ่งเป็นเมืองสำคัญ อยู่ใกล้กับเมืองหลวงเดลี (เนื่องจากผู้ปกครองโมกุลนั้นเป็นมหาจักรพรรดิ พวกขุนพลจึงเป็นกษัตริย์ได้) เขาและพ่อชื่อชัยสิงห์นั้นเป็นนักรบที่เก่งกาจ เคยรับใช้ชาห์จาฮันทำศึกชนะทั้งอัฟกานิสถานและอินเดียกลาง แผ่ขยายอิทธิพลให้จักรวรรดิโมกุลมากมาย ชัยสิงห์นั้นได้ยศทหารสูงสุดเท่าที่ขุนพลโมกุลสามารถดำรงตำแหน่งได้


ราชารามสิงห์


วังของรามสิงห์ที่อัมเบอร์

อย่างไรก็ตามเนื่องจากครอบครัวของรามสิงห์นับถือฮินดูจึงถูกโอรังเซบเกลียด ครั้งหนึ่งรามสิงห์เคยเกลี้ยกล่อมศิวะจีวีรบุรุษแห่งแคว้นมราฐ บอกว่าหากศิวะจีเข้าสวามิภักดิ์ต่อโมกุลแล้วนอกจากจะทำให้แคว้นมราฐอยู่รอด ยังจะได้รางวัลมากมาย เขายินดีรับประกันความปลอดภัยของศิวะจีด้วยชีวิตตนเอง

หากพอรามสิงห์เกลี้ยกล่อมสำเร็จพาศิวะจีเข้าเฝ้าได้แล้ว โอรังเซบกลับรังเกียจว่าทั้งสองคนเป็นฮินดู ทำการดูหมิ่นศิวะจีต่างๆนานา ศิวะจีทนไม่ไหวก็ร้องตะโกนออกมาลั่นท้องพระโรง แล้วผลุนผลันออกไป

โอรังเซบโกรธสั่งฆ่าศิวะจี แต่รามสิงห์ทูลทัดทานไว้ บอกว่าหากจะฆ่าศิวะจีก็จงฆ่าเขาเสียก่อน เพราะเขาเคยรับประกันความปลอดภัยของศิวะจีด้วยชีวิตตนเอง โอรังเซบเห็นว่าหากสังหารรามสิงห์คงจะทำให้แคว้นอัมเบอร์วุ่นวาย จึงให้รามสิงห์คุมขังศิวะจีไว้ไม่มีกำหนด


ศิวะจีได้รับการยกย่องเป็นวีรบุรุษแห่งชาติอินเดีย

ภายหลังศิวะจีหลบหนีไปได้ทำให้โอรังเซบโกรธหนักขึ้นไปอีก การณ์นั้นพอดีกับพวกอาหมแข็งเมือง โอรังเซบจึงใช้ให้รามสิงห์ยกกำลังไปปราบ เป็นการทำคุณไถ่โทษ

ฝ่ายโมกุลจัดทัพประกอบด้วยไพร่พล ช้าง ม้า ธนู ปืนใหญ่ มีความเกรียงไกรกว่าทัพของมีรชุมลาในอดีตเสียอีก ตั้งใจว่าจะยกไปบดขยี้พวกอาหมซึ่งมีประชากรน้อยลงง่ายๆ

ในลักษณะนี้การศึกระหว่างยอดแม่ทัพแห่งยุคคือ ลาชิต กับ รามสิงห์ ในสมรภูมิซึ่งจะเป็นจุดสูงสุดแห่งประวัติศาสตร์อาหมจึงอุบัติขึ้น!



ศึกแรก

ท่านผู้ท่านใดเคยอ่านเรื่องสามก๊กคงจะจำได้ว่าความเด่นอย่างหนึ่งของเรื่องนี้คือการมีแม่ทัพนายกองหลายคน ซึ่งแต่ละคนมีบุคลิกแตกต่างกัน

หลังจากผมอ่านประวัติศาสตร์อาหมช่วงนี้จบแล้ว เห็นว่ารามสิงห์นี้เป็นคนสุขุมรอบคอบ ทำการสิ่งใดก็ใช้สติปัญญา อุบาย และความใจเย็นเข้าชนะศึก ว่าไปคล้ายสุมาอี้ซึ่งเป็นแม่ทัพใหญ่ของฝ่ายวุยก๊ก

สำหรับลาชิตนั้นมีสติปัญญาพอประมาณ แต่ใช้ความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวเป็นหลัก ว่าไปเหมือนเกียงอุยทายาทของขงเบ้ง

ท่านผู้อ่านลองอ่านต่อไปดูนะครับว่าจะมีความเห็นเหมือนหรือแตกต่างกับผมอย่างไร

:::  :::  :::

กุมภาพันธ์ 1669

พอรามสิงห์รับงานพิชิตอาหม ก็ส่งสายลับจำนวนมากเข้าดินแดนอาหม ให้คอยส่งข่าวรายงานมาเป็นระยะ รับทราบประวัติของลาชิต และอุปนิสัยใจคอของพวกไทยอาหมเป็นอย่างดี


รามสิงห์

เขาเคลื่อนทัพถึงชายแดนอาหมในเดือนกุมภาพันธ์ปี ค.ศ. 1669 เริ่มเปิดฉากโดยยุทธวิธีพิสดาร คือปล่อยหมาดุหนึ่งพันตัววิ่งเข้าขย้ำศัตรูแล้วเอาปืนใหญ่ยิงถล่มซ้ำ พวกอาหมตกใจรีบล่าถอย ปล่อยให้ทหารโมกุลหัวเราะเยาะว่าทัพไทยนั้นแพ้หมา

อย่างไรก็ตามการล่าถอยนี้เป็นสิ่งที่อยู่ในการคาดการณ์ของลาชิตอยู่แล้ว โดยตั้งใจว่าอย่างไรก็ต้องรบชี้ขาดกันที่สมรภูมิเมืองเกาฮาตี ทัพไทยจึงค่อยๆถอยอย่างเป็นระเบียบให้พวกโมกุลตายใจ

รามสิงห์ก็รู้ว่าทัพไทยแกล้งล่าถอย เขาจับได้ทหารไทยสองคนจึงปล่อยให้ถือสารมาบอกลาชิตว่า:



ลาชิตโกรธมาก เข้าใจว่าสั่งประหารทหารสองคนนั้น

การประหารนี้บวกกับที่เขาเคยประหารน้าชายตัวเองมาก่อน ทำให้เกิดเสียงซุบซิบขึ้นในหมู่ไพร่พล เพราะปกติอำนาจสั่งประหารใครนั้นจะอยู่กับกษัตริย์แห่งอาหมเพียงผู้เดียว

หนักเข้าคนก็ลือว่าลาชิตมาจากสกุลต่ำ แต่คิดทำตนเทียมเจ้า มีคนเอาไปเพ็ดทูลจักรธวัชสิงห์ว่าลาชิตคิดกบฏ ดีที่จักรธวัชสิงห์เป็นคนหูหนัก (ตรงข้ามกับคนหูเบา) เมื่อเชื่อใจลาชิตทำงานแล้วก็ต้องเชื่อให้ถึงที่สุด จึงสั่งลงโทษคนที่เอาข่าวเสื่อมๆมารายงาน แล้วประกาศว่าศึกนี้ลาชิตเป็นผู้แทนกษัตริย์ มีอาญาสิทธิ์สั่งประหารคนได้ตามเหมาะสม ลาชิตฟังข่าวนั้นก็มีน้ำใจสู้ศึกกว่าเดิม ส่วนทหารทั้งหลายก็เคารพยำเกรงเขามากขึ้น

ครั้นทัพของรามสิงห์เคลื่อนพลประชิดเมืองเกาฮาตี ลาชิตขึ้นดูบนเชิงเทินเห็นทัพโมกุลมีระเบียบพรักพร้อม มีการจัดทัพที่ดี มีจำนวนมหาศาล สะท้อนให้เห็นอานุภาพของผู้นำศึก ก็วิตก:



เขาคิดว่าพวกโมกุลเดินทัพมาไกลเช่นนี้ การขนส่งเสบียงย่อมลำบาก ทางที่ดีควรจะถ่วงเวลาให้นานที่สุดตามแผนการบังคับให้โมกุลทนไม่ไหวต้องเปิดศึกทางน้ำ

คิดดังนั้นลาชิตจึงบังคับให้ฟีรุซข่านข้าหลวงเกาฮาตีเก่าเป็นคนถือสารไปหารามสิงห์

<<< ลาชิตกับรามสิงห์ส่งสารตอบโต้กันอย่างเผ็ดร้อนดังนี้>>>

ลาชิตเริ่มสารว่า:



รามสิงห์ได้สารนั้นก็ตอบว่า:



ลาชิต (เริ่มโกรธ):



หลังจากฟังคนเขียนสารพูดกันแล้ว เรามาสัมภาษณ์หัวอกคนส่งสารอย่างท่านฟีรุซข่านดูบ้าง:



<<<ต่อมารามสิงห์ได้ส่งเมล็ดงาถุงใหญ่ไปให้ลาชิต>>>

รามสิงห์:



<<<ลาชิตโกรธจึงเทงาออก แล้วเอาทรายละเอียดใส่กลับเข้าไปในถุงนั้น ส่งคืนรามสิงห์>>>

ลาชิต:



รามสิงห์ฟังดังนั้นก็ขำๆ ชิลล์ๆ เขาเห็นทูตไทยที่มานั้นหน้าตาบ้านนอก จึงปล่อยนกยนต์ที่ทำจากไม้ บินร่อนอยู่ในกองบัญชาการ ทูตไทยเห็นก็อยากได้จึงขอหนึ่งตัว รามสิงห์ใจดีแถมให้ไปสองตัวเลย

...ลาชิตเห็นทูตไทยไปรับของเล่นโมกุลกลับมา ในทางหนึ่งมันคือการยอมรับว่าฝ่ายตรงข้ามมีเทคโนโลยี (การทำของเล่น) เหนือกว่า ก็ทั้งโกรธทั้งอายจับทูตขังคุก การเจรจาจึงยุติแต่เพียงนั้น...
   
เมษายน 1669

รามสิงห์สั่งบุกโจมตีเมืองเกาฮาตี

แม้ว่าเขาจะได้เปรียบในการเจรจา สามารถยั่วโมโหฝ่ายตรงข้ามได้ แต่การจัดการป้อมค่ายเมืองเกาฮาตีกลับไม่ง่ายนัก

...เพราะมันถูกเสริมกำลังด้วยหยาดเหงื่อแรงงานของฝ่ายอาหมที่ก่อสร้างเตรียมตัวติดต่อกันมานาน จึงมีความแข็งแรงอย่างที่สุด...

พวกโมกุลพยายามใช้แสนยานุภาพบุกทำลายป้อมก็ถูกตีแตกกลับมา รามสิงห์ไม่ย่อท้อยิงถล่มป้อมค่ายจนพังทลายไปบางส่วน แต่พวกอาหมเตรียมการมาแล้ว ป้อมถูกทำลายตรงไหนก็ซ่อมแซมเสร็จอย่างรวดเร็วแล้ว ยิงตอบโต้กลับไปอย่างหนัก ผลคือหลานชายของรามสิงห์คนหนึ่งถูกธนูถึงแก่ความตาย ส่วนรามสิงห์ต้องยอมถอย

จากนั้นเมืองเกาฮาตีเข้าสู่ฤดูมรสุม มีฝนตกอย่างหนักฝ่ายโมกุลทำการไม่ถนัด การรบจึงเหลือเพียงประปราย

มิถุนายน 1669

ฝนซาลงบ้าง พวกโมกุลส่งทหารม้าสองร้อย ทหารราบสองร้อย และพลแม่นปืนสองร้อย เข้าโจมตีอาหม

ฝ่ายไทยล่อโมกุลเข้าสังหารได้มาก แล้วยกทัพใหญ่ตามตีกลับไปถึงค่ายโมกุล คราวนี้รามสิงห์ออกบัญชาการรบเอง สามารถตีทัพไทยแตก ขับไล่ไปถึงแม่น้ำแล้วสังหารลงมากต่อมาก ยึดเรือรบได้หลายลำ ทำให้ลาชิตร้อนใจนัก

...เป็นอันเข้าใจว่าหากสู้กันบนป้อมค่าย อาหมจะได้เปรียบ แต่ถ้าสู้กันตรงๆ โมกุลจะได้เปรียบนั่นเอง...


มีต่อ..................... แต่ขอตัวก่อน ง่วงงงง เด๋วมา ลงให้ ............................

มดเอ๊กซ:
อุบายชั่ว

กรกฎาคม 1669

ลาชิตรู้ว่าออกไปรบตรงๆก็แพ้ จึงแต่งกองโจรออกไปปล้นสะดม ลอบฆ่าทหาร ลอบขโมยหรือทำลายเสบียงโมกุลในเวลากลางคืน

การโจมตีแบบโจรในเวลากลางคืนเช่นนี้ผิดธรรมเนียมนักรบอินเดีย รามสิงห์จึงส่งสารไปว่า:



ลาชิตคิดในใจว่าตูจะโง่ไปสู้ตรงๆ ทำไม แต่ครั้นจะไม่ตอบอะไรเลยก็กลัวเสียหน้า ทูตที่ไปหารามสิงห์จึงบอกว่า:

“จริงๆแล้วคนไทยเรามีเกียรติมีศักดิ์ศรี เรื่องแบบลอบโจมตีในเวลากลางคืนนั้นมันช่างน่าอดซู้ อดสู เราไม่แตะต้องเด็ดขาด แต่พอดีเรามีปีศาจอยู่ในกองทัพด้วยจำนวนหนึ่งแสนตัว พวกนี้ออกหากินกลางคืน และชอบดื่มเลือดมนุษย์...”

หลังจากนั้นลาชิตให้ทหารใส่เสื้อดำกางเกงดำ มือข้างหนึ่งถือปลาย่าง มืออีกข้างถือขามนุษย์ ไปเต้นอุมบะๆอยู่หน้าค่ายรามสิงห์ในเวลากลางคืน

ทหารโมกุลบางคนขวัญอ่อนเห็นแบบนั้นก็นึกว่าเป็นปีศาจจริงๆ ส่วนรามสิงห์คิดในใจว่า “ไอ้พวกบ้า!”

...การทำกองโจรของลาชิตนั้นแม้จะได้ผลทางสงครามประสาทบ้าง แต่ในระยะยาวแล้วไม่อาจทำให้เกิดปัจจัยนำไปสู่การรบแตกหัก เพราะค่ายทหารรามสิงห์มีการจัดวางเวรยามเข้มงวด มีระเบียบวินัยดีมาก กองโจรไม่อาจโจมตีโดยง่าย หากไม่ระวังอาจเป็นฝ่ายถูกจับฆ่าเสียเอง

รามสิงห์เหมือนนั่งงอนอยู่ในค่าย จริงๆ ก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ เขาแอบส่งสายลับไปสร้างข่าวลือบ่อนทำลายอยู่ตลอดเวลา

มีการปล่อยข่าวในเมืองกาหะกอนว่าลาชิตแอบรับสินบนจากรามสิงห์ก้อนใหญ่ ทำให้ไม่ยอมนำทัพออกรบ นอกจากนั้นยังมีการยิงธนูเข้าไปยังค่ายอาหม เขียนเป็นจดหมายว่า:



ทหารอาหมผู้หนึ่งเก็บธนูได้ อ่านแล้วก็ตกใจจึงลอบนำข่าวไปบอกจักรธวัชสิงห์

จักรธวัชสิงห์เป็นคนหูหนักก็ไม่ยอมเชื่อ แต่คนรอบข้างเขาบางคนเชื่อก็ซุบซิบนินทากันเรื่อยๆ จนจักรธวัชสิงห์เริ่มรู้สึกหวั่นไหว ...เหมือนน้ำตกลงบนหินทุกวัน หินมันยังกร่อน...

รามสิงห์ฟังจากสายลับว่าจักรธวัชสิงห์เริ่มหวั่นไหวแล้ว จึงปล่อยท่าไม้ตาย ส่งสารไปหาจักรธวัชสิงห์ตรงๆว่า: 



จักรธวัชสิงห์ฟังอย่างนั้นก็โกรธมาก เพราะจริงๆรามสิงห์มันแค่ขุนพล ดันข้ามขั้นจะมารบกับกษัตริย์ จากนั้นก็พาลไปโกรธลาชิตที่ไม่ยอมรบแตกหักเสียที กษัตริย์แห่งอาหมจึงส่งผ้าซิ่นผู้หญิงกับขวานไปให้ลาชิตเล่มหนึ่ง บอกว่าถ้ามัวแต่ทำกองโจรน่าเบื่อไม่เป็นการ ก็จงนุ่งผ้าซิ่นผู้หญิงแล้วเอาขวานนี้เฉาะหัวใจตัวเองเสีย

ลาชิตอ่านสารแล้วก็คิดเสียใจว่า:



จักรธวัชสิงห์ที่เคยเชื่อมั่นในตัวตนมาตลอด วันนี้กลับถูกอุบายมาระแวงตนแล้ว แต่ถูกสั่งขนาดนี้จะไม่รบก็ไม่ได้ จึงส่งสารเจรจากับรามสิงห์นัดหมายกันว่าจะส่งกำลังมารบกันตรงๆฝ่ายละสองหมื่นคน

รามสิงห์ได้ยินดังนั้นก็ดีใจ จึงให้เตรียมการรบอย่างเต็มที่

ความที่เขาเชื่อว่าสู้กันตรงๆยังไงก็ชนะ แทนที่รามสิงห์ส่งทหารไปสองหมื่น ก็ต่อให้ส่งไปเพียงหนึ่งหมื่นคน และแม่ทัพที่คุมไปนั้นเป็นยอดฝีมือหญิงชื่อมัทนวตี

รามสิงห์คิดว่าหากพวกอาหมสองหมื่นคนต้องพ่ายแพ้ให้กับทหารโมกุลเพียงหนึ่งหมื่นคนที่มีแม่ทัพเป็นผู้หญิงแล้วไซร้ ก็คงต้องอับอายขายขี้หน้า ไม่เป็นอันสู้รบต่อไปทีเดียว

สิงหาคม 1669

การศึกเกิดในเช้าวันที่ 5 สิงหาคม 1669 ณ ทุ่งราบริมเขาอลาบอย มัทนวตีแสดงความกล้าหาญ นำทัพพุ่งม้าเข้าใส่แนวป้องกันของอาหม สามารถตีฝ่ายไทยแตกกระจัดกระจาย สังหารตายลงนับไม่ถ้วน


ทหารม้าราชปุตที่รามสิงห์ใช้

พวกอาหมหนีไปเรื่อยๆ มัทนวตีก็บุกตามตีอย่างไม่ลดละ สามารถทำลายแนวป้องกันอาหมได้ถึงสามแนว พอถึงแนวที่สี่ แม่ทัพหญิงก็รู้สึกผิดสังเกตว่าทำไมพวกไทยแถวนี้เยอะนัก...

ปรากฏว่าลาชิตเล่นโกง! แทนที่จะส่งทหารมาสองหมื่นตามสัญญา ก็ยัดเข้าไปสี่หมื่น!

ทหารไทยล่อโมกุลเข้ามาในแนว แล้วล้อมทำลายศัตรูที่มีเพียงหนึ่งหมื่นนั้นด้วยพลังอันมหาศาล ซึ่งเรียกว่า “หมาหมู่” ...น่าเสียใจว่านาน ๆ ทีจะมีแม่ทัพผู้หญิงในประวัติศาสตร์ มัทนวตีอุตส่าห์จะได้โชว์วีรกรรมให้โลกประจักษ์กลับถูกฆ่าตายอยู่ตรงนั้นด้วยความคดโกงชั่วร้ายของชาวไทย...

ลาชิตนั่งดูการรบอยู่บนที่สูง ถามโหรกองทัพว่าข้าศึกคนไหนจะตาย คนไหนจะบาดเจ็บอย่างไร โหรก็ทำนายถูกทุกครั้ง จนลาชิตมีความเชื่อมั่น

รามสิงห์นั่งดูอยู่บนที่สูงเหมือนกัน เห็นทหารศัตรูมันมีมากกว่าสองหมื่นก็โกรธ



มดเอ๊กซ:
ศรายฆาต

...การรบที่อลาบอยนั้นไม่ได้จบลงด้วยชัยชนะของอาหม...

ตอนบ่ายวันเดียวกันรามสิงห์ได้สั่งให้ทหารม้าราชปุตซึ่งมีความแข็งแกร่งที่สุดพุ่งเข้าโจมตีฝ่ายไทย

ทหารม้าผู้โกรธเกรี้ยวเข่นฆ่าศัตรูที่คดโกงลงอย่างไม่ปราณี พวกอาหมต่อสู้อย่างดุเดือด แต่สู้ไม่ได้ ถูกสังหารลงมากมาย ประมาณวันนั้นวันเดียวมีทหารอาหมตายถึงหนึ่งหมื่นคน

...ความเสียหายนี้ใหญ่หลวงนักสำหรับประเทศที่มีทหารน้อยแบบอาหม...

หลังศึกนั้นรามสิงห์ส่งสารมาเยาะเย้ยว่าทีหลังอย่ารบโง่ๆแบบนี้อีกเลย ไม่สนุกมืออะไรนักหรอก ส่วนลาชิตนั่งเสียใจที่โกงแล้วยังแพ้ เขารำพันว่าทหารทุกคนเหมือนเสาหินที่ค้ำประเทศ บัดนี้เราเสียเสาหินไปถึงหมื่นต้นในวันเดียว...

เจ้ากว้างเมืองซึ่งเป็นสหายของลาชิตเตือนสติเขาว่า อะไรที่เสียไปแล้วก็เสียไป ตอนนี้ประเทศมีภัยคับขันกว่าเดิมมาก แม่ทัพใหญ่อย่างลาชิตไม่ควรมานั่งร้องไห้ แต่ควรคิดหาทางต่อสู้อย่างเต็มกำลังต่างหาก ลาชิตได้สติจึงดำเนินการป้องกันป้อมค่ายต่อไป

ต่อมารามสิงห์ส่งจดหมายหาลาชิต บอกว่าซึ่งรบแพ้นั้นอย่าเสียใจเลย ถ้าหากลาชิตถอยทัพออกจากเมืองเกาฮาตี เขายินดีจ่ายค่าทำขวัญให้ถึงสามแสนรูปี หลังจากนั้นก็ยัดทรัพย์สมบัติมีค่ามากมายใส่มือทูตไทย บอกให้เอาไปแบ่งแก่แม่ทัพนายกองทุกคน เฉพาะตัวลาชิตนั้นให้สร้อยเพชรพิเศษเส้นหนึ่ง

แต่สมบัติเหล่านี้ไม่อาจซื้อตัวลาชิต เขายังคงตั้งหน้ารักษาป้อมอย่างแข็งขัน ทัพไทยยกไปตีตรงๆไม่ได้ โมกุลก็บุกเข้ามาตีป้อมไม่ได้ ทั้งสองฝ่ายตั้งยันวัดความอดทนกันเช่นนี้อยู่อีกแรมปี จนลุเข้าปี 1671 ฝ่ายที่มีปัญหาก่อนกลับเป็นโมกุล...

กล่าวคือโอรังเซบรำคาญว่ารามสิงห์ทำการเชื่องช้า จึงส่งจดหมายไปถาม รามสิงห์ตอบกลับมาว่าพวกอาหมสร้างป้อมค่ายที่แข็งแกร่งมาก ไม่อาจตีหักตรงๆ ตอนนี้จึงตั้งทัพรอจังหวะอันเหมาะสมอยู่ โอรังเซบเดือดดาล จึงจับบุตรของรามสิงห์ชื่อกฤษณะสิงห์มาบังคับให้สู้กับเสือโดยมีเพียงโล่กับดาบสั้น ให้โอรังเซบชมดูเป็นที่สำราญ


การสู้กับเสือ ศิลปะโมกุล

กฤษณะสิงห์เป็นเชื้อสายนักรบก็สู้อย่างดุเดือด อุตส่าห์ฆ่าเสือตาย เอาตัวรอดมาได้

แม่และภรรยาของรามสิงห์ที่อยู่ ณ เมืองหลวงเดลีเสียขวัญนัก จึงส่งจดหมายไปบอกรามสิงห์ว่าให้เร่งรัดการศึก มิฉะนั้นโอรังเซบอาจส่งลูกเขาไปสู้กับเสืออีกรอบ

รามสิงห์อ่านจดหมายแล้วเคร่งเครียด เพราะรู้ว่าหากตีป้อมตรงๆก็จะสูญเสียมาก แต่หากออกศึกทางน้ำเขาก็พอรู้ว่าพวกอาหมเตรียมการเผด็จศึกไว้แล้ว ที่ทำทุกอย่างเพื่อล่อให้เขาออกรบทางน้ำนั่นแหละ โอรังเซบบีบรามสิงห์ครั้งนี้คล้ายจักรธวัชสิงห์เคยบีบให้ลาชิตออกรบในสมรภูมิซึ่งเขาไม่ถนัด ผิดกันแต่ที่จักรธวัชสิงห์ทำนั้นเกิดจากอุบายของรามสิงห์ แต่ที่โอรังเซบทำเกิดจากความลำเอียงของตนเอง

พอดีตอนนั้นมีข่าวลาชิตล้มป่วยด้วยไข้ป่า รามสิงห์ร้อนใจอยากช่วยลูก จึงถือข่าวนี้เป็นโอกาสซึ่งรอคอยมานาน เขาบัญชาการให้จัดทัพเรือ โจมตีอาหมทางแม่น้ำพรหมบุตร

ทัพเรือของโมกุลถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ประกอบด้วยเรือปืนหลายสิบลำ แต่ละลำมีปืนใหญ่นับสิบกระบอก มีนายทหารใหญ่บัญชาการอยู่ถึงสามคน หมายมาดจะล่องทำลายอาหม เหมือนเมื่อครั้งมีรชุมลาพิชิตกาหะกอน

ครานั้นทหารอาหมเห็นรามสิงห์ยกมา แม่ทัพของเขาก็กำลังล้มเจ็บ ต่างคนต่างเสียขวัญจึงปรึกษากันว่าให้ถอยทัพไปก่อน ลาชิตซึ่งป่วยอยู่ได้ยินคำปรึกษานั้นก็พยุงร่างกายมาสั่งการว่า “...ที่เราอดทนมานานปีก็เพื่อล่อให้โมกุลยกทัพเรือมา บัดนี้การณ์ใกล้สำเร็จ เราหาควรล่าถอยเพียงเพราะความเจ็บป่วยของข้าไม่...”

พวกนายกองพากันทัดทานว่าศึกมีรชุมลาคราวที่แล้วเราก็สู้เรือปืนไม่ได้ คราวนี้มีอะไรมารับประกันว่าเราจะสู้ได้เล่า ยิ่งตัวลาชิตเจ็บป่วย ยิ่งควรถอยไปรักษาตัวให้หาย ค่อยกลับมารบไม่ดีกว่าหรือ

ลาชิตฟังดังนั้นก็ว่า “เมืองเกาฮาตีนี้เป็นด่านสำคัญ หากพวกโมกุลยึดได้ก็จะใช้เป็นฐานมาตีกาหะกอนแตกโดยง่าย พระเจ้าอยู่หัวไว้วางใจให้ข้าเป็นแม่ทัพรักษาที่นี่ ไหนเลยข้าจะถอยทัพได้”

พวกนายกองพากันทัดทานอีก คราวนี้ลาชิตโมโหตวาดว่า “ไอ้พวกขี้ขลาด! ใครอยากหนีก็หนี ถึงหนีกันหมด ข้าแต่เพียงผู้เดียวก็จะอยู่รักษาเมืองเกาฮาตี ให้พวกแกไปทูลพระเจ้าอยู่หัวว่าลาชิตใช้ทุกสิ่งทุกอย่างของเขาปฏิบัติตามหน้าที่จนลมหายใจสุดท้ายก็พอ!”

...ถึงขั้นนี้ทุกคนก็มีแต่ต้องยอมตามลาชิต...

มีนาคม 1671

วันที่ทัพเรือโมกุลเคลื่อนพลมาถึงนั้นลาชิตกำลังป่วยเป็นไข้หนาวสั่น เขาสั่งให้ยกเตียงไปอยู่ในจุดที่สามารถเห็นการรบได้ถนัด เพื่อบัญชาการรบอย่างทันท่วงที

แผนการคือล่อให้เรือโมกุลล่วงเข้ามาในจุดที่ลำน้ำแคบ แล้วส่งทัพเรือใหญ่ของอาหมเข้ากระหนาบ โดยโหรกองทัพจะเป็นผู้ให้ฤกษ์ในการเข้ากระหนาบนี้ (ลาชิตเป็นคนเชื่อถือโชคลางมาก เนื่องจากที่ผ่านมาโหรทายถูกตลอด)


แผนที่การยุทธที่ศรายฆาต

ตอนแรกเรือไทยเจอเรือปืนโมกุลก็แตกพ่ายไม่เป็นกระบวน ลาชิตเห็นทัพล่อกำลังเพลี่ยงพล้ำ กลัวว่าโมกุลจะสามารถฝ่าผ่านจุดที่ตั้งใจไว้ได้ เขาเฝ้าถามโหรกองทัพว่าตอนนี้เป็นฤกษ์หรือยังๆ? แต่โหรกองทัพก็บอกว่ายัง

ครั้นโมกุลล่วงเข้ามาอีก ทัพไทยแตกตายมากกว่าเดิม แต่โหรยังไม่ยอมให้ฤกษ์ ลาชิตร้อนใจ ก็คิดว่า “นี่ข้ากำลังทำอะไรอยู่? ข้ามีหน้าที่สำคัญต้องปกป้องประเทศ แต่มาเชื่อโชคลางทำให้เสียการอย่างนั้นหรือ?” เขาลุแก่โทสะชักดาบออกมาจี้คอโหร บอกว่า “ไม่รู้แล้ว! ตอนนี้คือฤกษ์ดี ข้าจะฆ่าคนไม่เชื่อทุกคนรวมทั้งแกด้วย!”

ปรากฏว่าโหรกองทัพ นอกจากจะไม่แสดงอาการกลัวแล้ว ยังคำนวณฤกษ์ต่อ แล้วยื่นคอไปติดดาบลาชิตบอกว่า “เชิญฟันได้!”

ลาชิตได้สติจึงดูสถานการณ์ต่อไป เขาดูจนเห็นทัพเรือฝ่ายตนใกล้พินาศสิ้น ก็กระวนกระวายใจอย่างหนัก จึงเขย่าโหรร้องว่า “ว๊าก นี่จะตายกันหมดแล้วโว้ย! ข้าจะตาย แกจะตาย ทุกคนก็จะตาย ข้าศึกมันจ่อมาถึงคอหอย มันจะมาฆ่าเราหมดแล้ว มันต้องเป็นฤกษ์ดีแล้วโว้ย!”

โหรคำนวณๆ ทันใดนั้นก็ประกาศว่าได้ฤกษ์พระรามปราบยักษ์ เป็นอภิมหามงคลชัยฤกษ์!

ลาชิตตวาดลั่นจึงสั่งให้ทัพใหญ่ทำการกระหนาบ ตัวเขาให้ทหารพยุงมาขึ้นเรือธง บัญชาการรบด้วยความกล้าหาญ

ตอนนั้นแม้จะมีการกระหนาบแต่สถานการณ์ยังไม่ดีขึ้น เพราะพวกโมกุลมีอาวุธทันสมัยกว่า

ลาชิตเห็นเรือจากกองหน้าลำหนึ่งสู้ข้าศึกไม่ได้ พายหนีมาถึงเรือธง เขาร้องตวาดทันทีว่าพวกแกบังอาจถอยมาก่อนข้าสั่งได้ยังไง จึงกระโดดไปใช้ดาบฟันฝีพายสี่คนตาย แล้วตะโกนสั่งให้เรือทุกลำตะลุมบอนข้าศึก (สาบานว่าเป็นคนป่วย)


ลาชิต บาร์ผู้ก้น

ข่าวลาชิตลากสังขารมาบัญชาการรบเอง บวกกับข่าวเขาฟันฝีพายถอยทัพได้แพร่กระจายไปทั่วทัพอาหม ทำให้ทุกคนระลึกได้ว่า พวกเรากลัวการต่อสู้ตรงๆตั้งแต่เมื่อไหร่? พวกเราเคยยิ่งใหญ่จากการพุ่งเข้าชาร์จทลายศัตรูอย่างกล้าหาญมิใช่หรือ!?

ความแน่วแน่ของลาชิตได้ถ่ายทอดไปยังทหารอาหมทุกคน ทำให้เกิดทุกคนเกิดความแน่วแน่!

เรือโมกุลใหญ่โตน่าเกรงขาม แต่ก็อุ้ยอ้าย พอแล่นถึงช่องแคบของแม่น้ำก็ถูกอาหมแล่นเรือเล็กจำนวนมากเข้ามาสกัด

พวกอาหมต่อเรือเล็กเหล่านั้นเป็นสะพานเรือ ต่างคนต่างชูอาวุธ วิ่งกรูขึ้นไปสู้กับทหารเรือโมกุล

การรบขั้นตะลุมบอนเป็นไปอย่างดุเดือดที่สุด! ดาบต่อดาบ! หอกต่อหอก! ปืนต่อปืน!  เล็บต่อเล็บ! ฟันต่อฟัน!

พวกเขาเข่นฆ่ากันอย่างบ้าคลั่ง เลือดสีแดงสาดกระเซ็น เนืองนอง จนแม่น้ำพรหมบุตรกลายเป็นสีแดงฉาน...

...การรบวันนั้นไม่มีอะไรบอกว่าอาหมควรชนะ พวกเขาด้อยกว่าทั้งจำนวนคน และอาวุธ...

แต่วันนั้นความมุ่งนั่นของลาชิตนั้นปลุกปีศาจที่แฝงอยู่ในตัวชาวอาหม ทำให้พวกเขาแปลงร่างเป็นอสูรกายเข้าฉีกทึ้งข้าศึกอย่างไม่เสียดายชีวิต...

พวกโมกุลตกใจกับความร้ายกาจนี้ แม่ทัพเรือโมกุลถูกกระสุนยิงตาย ไพร่พลที่เหลือแตกกระจัดกระจาย

...และแล้วสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้ก็เกิดขึ้น อาหมก็ได้รับชัยชนะในยุทธนาวีที่ศรายฆาต อันเป็นจุดชี้ขาดอนาคตของชาติเขาต่อไปอีกหลายร้อยปี!...

มดเอ๊กซ:
ชัยชนะของอาหม

หลังรามสิงห์เพลี่ยงพล้ำที่ศรายฆาตก็ถูกบีบให้ถอนทัพ ลาชิตสั่งมิให้ใครตามตีเพราะไม่อยากซ้ำคนแพ้ และไม่อยากเสี่ยงกลลวง

ตัวลาชิตเจ็บป่วยอยู่แล้ว เขาใช้พลังชีวิตทั้งหมดในการบัญชาการรบครั้งนี้ ร่างกายไม่อาจทนไหวจึงสิ้นใจหลังได้รับชัยชนะไม่นาน

สำหรับรามสิงห์นั้นนอกจากจะไม่ผูกใจเจ็บลาชิตแล้ว ยังแสดงการยกย่องชมเชยอย่างมาก อย่างไรก็ตามความพ่ายแพ้นี้ยิ่งทำให้โอรังเซบเกลียดเขาหนักขึ้น จึงกลั่นแกล้งบีบคั้นเขาหลายประการ ตระกูลก็ตกต่ำลง จนรามสิงห์เสียชีวิตด้วยความโศกเศร้า

...ความโกรธเกรี้ยวของโอรังเซบอาจไม่ใช่เรื่องผิด...

...แม้การพ่ายแพ้ต่ออาหมไม่อาจทำให้จักรวรรดิโมกุลย่อยยับในทันที...

...แต่มันทำให้ความเชื่อในความไร้เทียมทานของโมกุลเริ่มพังทลาย...

ชนเผ่าต่างๆที่เคยถูกโอรังเซบกดขี่เกิดมีกำลังใจ ก่อการกบฏขึ้นทั่วอินเดีย โดยกบฏที่สำคัญที่สุดนั้นคือกลุ่มของศิวะจี คนที่รามสิงห์เคยเกลี้ยกล่อมมาได้นั่นเอง


สงครามโมกุล - มราฐ เป็นอีกหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้โมกุลเสื่อมอำนาจ

โอรังเซบครองราชย์อยู่สี่สิบเก้าปี ช่วงแรกนั้นเขาทำสงครามขยายจักรวรรดิโมกุลออกไปกว้างใหญ่ไพศาลยิ่งกว่ายุคใดในอดีต แต่ในปลายรัชสมัยเขากลับต้องทนดูอาณาจักรตนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เฉพาะเหตุที่ศิวะจีและบุตรชายนำแคว้นมราฐทำสงครามประกาศเอกราชสำเร็จก็ทำให้โมกุลสูญเสียมหาศาล เศรษฐกิจประเทศล่มจมป่นปี้ยิ่งกว่าการสร้างทัชมาฮาลหลายเท่า


โอรังเซบในวัยชรา

โมกุลหลังยุคโอรังเซบไม่ใช่มหาอำนาจของโลกอีกต่อไปแล้ว อินเดียแตกออกเป็นประเทศเล็กน้อยหลายประเทศ และถูกอังกฤษผนวกกลืนจนหมดในเวลาต่อมา

ตรงกันข้าม ชัยชนะที่ศรายฆาตทำให้อาหมขึ้นถึงจุดรุ่งเรืองที่สุดในประวัติศาสตร์ ประเทศชาติร่ำรวย เศรษฐกิจดี การทหารเข้มแข็ง กลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ทางภาคเหนือไปอีกถึงหนึ่งร้อยปี

...คำถามคือ เกิดอะไรขึ้น? ...อาหมสิ้นชาติไปอย่างไร? ทำไมปัจจุบันนี้ไม่มีประเทศอาหม?

...ผมจะตอบเรื่องนี้ให้ในหัวข้อถัดไปนะครับ...



อาหมสิ้นชาติ

ท่านจำชื่อ “โมราน” ได้ไหม?

ชาวโมรานเป็นเจ้าของอาณาจักรเล็กๆแห่งหนึ่งที่ชาวอาหมไปยึดมาได้สมัยสร้างชาติ หลังจากนั้นพวกเขาก็ถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอาหม

เวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมา พวกโมรานพยายามหาที่ยึดเหนี่ยวใจ โดยเข้านับถือศาสนาฮินดูนิกายหนึ่งชื่อเอกสรณะธรรม นิกายนี้พยายามเปลี่ยนฮินดูจากที่มีพระเจ้าหลายองค์ องค์ละหลายชื่อ เหลือมีง่ายๆองค์เดียว คือพระกฤษณะอวตารของพระวิษณุ นอกจากนั้นยังไม่เคารพเทวรูป และไม่ฆ่าสัตว์บูชายัญ

ศาสดาของลัทธิเอกสรณะธรรมเป็นชาวอัสสัมชื่อสังกรเทพ ตอนแรกเขาถูกต่อต้านจากพราหมณ์นิกายอื่นๆ อย่างหนัก ต่อมาเดินทางเข้าสู่อาณาจักรอาหมในสมัยของเสือฮุ่งเมือง เมื่อเสือฮุ่งเมืองสนทนาธรรมกับสังกรเทพแล้วก็ไม่ได้ปลงใจนับถือหรือต่อต้าน จึงอนุญาตให้เผยแผ่ศาสนาได้ จนมาเป็นที่นิยมของพวกโมราน


สังกรเทพ

หนึ่งร้อยปีแห่งความรุ่งเรืองจากชัยชนะที่ศรายฆาตนั้นนำความเจริญก้าวหน้าทางศิลปะวัฒนธรรมเข้ามาสู่อาหมอย่างมาก ขณะเดียวกันความเจริญดังกล่าวก็ทำให้ชาวอาหมลดละนิสัยดิบเถื่อนรุนแรง ...จากที่เคยเป็นนักรบกระหายเลือดก็กลายเป็นนักปราชญ์ ราชบัณฑิต ศิลปิน นักดนตรีผู้มีรสนิยม


วังอาหมยุครุ่งเรือง


ภายในวัง


อันนี้ที่นั่งดูกีฬา

ธรรมดาความเจริญย่อมมาคู่กับความเสื่อม กษัตริย์อาหมชื่อสิพสิงห์ (เสือต้านฟ้า) หลงไหลในศาสนาฮินดูลัทธิศักติ (นับถือเจ้าแม่กาลี) เชื่อฟังอยู่ใต้อำนาจของพราหมณ์และพระมเหสีซึ่งเป็นผู้นำลัทธินี้จนบ้านเมืองวิปริตไปต่างๆ มเหสีของสิพสิงห์ต้องการให้ประชาชนนับถือลัทธิศักติเหมือนตนก็ทำการเหมือนโอรังเซบ คือบังคับเอาเทวรูปพวกนับถือพระนารายณ์ไปโยนทิ้งน้ำ และเอารูปเจ้าแม่กาลีตั้งแทน นอกจากนั้นยังเรียกพวกนักบวชลัทธิต่างๆ รวมทั้งพวกเอกสรณะมารวมกัน บังคับให้ฟันคอแพะถวายเจ้าแม่ แล้วเอาเลือดแพะแตะหน้านักบวชเป็นสัญลักษณ์ว่าเคารพเจ้าแม่กาลีแล้ว

...การกระทำนี้เป็นการเหยียดหยามพวกลัทธิเอกสรณะอย่างที่สุด แต่ตอนนั้นอาหมยังกำลังมากอยู่จึงไม่มีใครกล้ากบฏ...

แผ่นดินสงบสุขมาอีกสามรัชกาล จนถึงสมัยของลักษมีสิงห์ (เสือเยียวฟ้า) เป็นกษัตริย์ที่อ่อนแอ ตกอยู่ในการควบคุมของผู้เกหลวง ซึ่งทำการชั่วช้า รังแกพวกโมรานต่างๆ

พวกโมรานทนไม่ไหวจึงรวมตัวกันก่อกบฏเรียกว่ากลุ่ม “โมอามาริยา” ความพยาบาทที่สั่งสมมานานนั้นก่อเกิดเป็นความดุร้ายรุนแรง บันดาลให้พวกเขาเข้าเข่นฆ่าชาวไทยที่ข่มเหงพวกตนมานานด้วยความโกรธแค้น

ชนชาติอื่นๆ เห็นพวกโมรานก่อการสำเร็จก็ลุกฮือขึ้นบ้าง เกิดเป็นการจลาจลนองเลือดทั้งแผ่นดิน เผ่าต่างๆฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กันเอง จากที่บ้านเมืองกำลังเจริญรุ่งเรืองก็เข้าสู่กลียุค ชาวไทยอาหมสุขสบายมานานไม่ได้เป็นนักรบที่น่าเกรงขามอีกต่อไปจึงไม่สามารถควบคุมพวกสถานการณ์ได้

...อย่างไรก็ตามอาณาจักรที่สั่งสมความยิ่งใหญ่มานับร้อยปีย่อมมิได้พินาศในวันเดียว...

...ในที่สุดอาหมก็เป็นฝ่ายชนะ สามารถปราบการจลาจลลงได้อย่างราบคาบ แต่นั่นคือหลังจากประชากรเกือบครึ่งประเทศต้องเสียชีวิตลงสิ้นแล้ว...

อาหมหลังจลาจลไม่ใช่มหาอำนาจอีกต่อไป พวกเขาอ่อนแอลง และแตกสามัคคีกันเอง...

ในที่สุดพวกเขาก็ทำสิ่งเดียวกับที่เคยทำให้พวกกอชต้องพินาศ คือการดึงชาวต่างชาติเข้ามาแทรกแซงชาติตนเอง

อาหมพวกหนึ่งสวามิภักดิ์ต่อพม่า อีกพวกสวามิภักดิ์ต่ออังกฤษ ต่างฝ่ายต่างพากำลังนอกมารบกัน ให้เข่นฆ่าล้างกันเองจนตายไปมากต่อมาก


มหาพันธุละ แม่ทัพพม่าผู้มาตีอัสสัม


อังกฤษตีอัสสัม

ในที่สุดอังกฤษเป็นฝ่ายชนะ บังคับให้พม่าเซ็นสัญญายอมรับว่าอังกฤษมีอธิปไตยเหนืออาหมในปี 1826 เป็นสัญญาที่ทำให้อาหมเสียเอกราช โดยกษัตริย์อาหมไม่มีสิทธิมีเสียงด้วยเลย

...แล้วอังกฤษก็ทำสิ่งที่อังกฤษทำ คือพาคนอินเดียเข้ามาอัสสัมมากๆ ...แบ่งแยกแล้วปกครอง ทำให้คนไทยกลายเป็นคนส่วนน้อยในรัฐอัสสัม

ในลักษณะนี้อาณาจักรอาหมซึ่งรุ่งเรืองยืนยงมาถึงหกร้อยปี เคยกระทั่งพิชิตมหาอำนาจของโลกอย่างโมกุล ก็ถึงแก่การอวสานสิ้นชาติ...

ต่อมาเมื่ออินเดียได้รับเอกราชก็มีเฝ้าระวังชาวไทยมากเป็นพิเศษ เพราะเป็นเผ่าที่เคยมีอำนาจมาก่อน มีการพยายามกดขี่ กลืนชาติ แม้แต่การจะให้คนไทยจากประเทศไทยเดินทางสู่ดินแดนนี้ก็ยังเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต่อมาจนปัจจุบันจึงมีการผ่อนปรนลง

ทุกวันนี้หากท่านไปเยี่ยมดินแดนอาหม ก็จะเห็นชาวไทยที่นั่นลืมภาษาไทยไปมากแล้ว หันไปใช้ภาษาอินเดียสำเนียงอัสสัม แต่พวกเขาจำนวนมากยังคงพยายามรื้อฟื้นเอกลักษณ์ของชาติพันธุ์ของตน พยายามเอาภาษาไทยกลับมาใช้ และพยายามเชื่อมโยงกับไทยกลุ่มอื่น ๆ...



มดเอ๊กซ:
ชาติ

ท่านผู้อ่านครับ ในสารคดีชุดนี้เราได้เห็นการเจริญรุ่งเรืองและล่มสลายของสองอาณาจักรด้วยปัจจัยที่ใกล้เคียงกัน...

ก่อนหน้านี้ผมเคยเขียนถึงทฤษฎีคนไทยอพยพมาจากเทือกเขาอัลไต บอกว่าเป็นทฤษฎีที่ผิด เพราะเทือกเขาอัลไตนั้นห่างไกลเกินไป การที่คนไทยอพยพข้ามดินแดนทุรกันดารมาไกลขนาดนั้นย่อมเป็นไปได้ยาก นอกจากนั้นยังขาดหลักฐานทางประวัติศาสตร์สนับสนุน เป็นทฤษฎีที่ผิดด้วยประการทั้งปวง


แผนที่การอพยพจากเทือกเขาอัลไต

...คำถามคือทำไมถึงมีทฤษฎีอย่างนี้เกิดขึ้น?...

คำตอบคือการที่คนไทยบางคนพยายามบอกว่าตนเองอพยพมาจากเทือกเขาอัลไต ก็เหมือนเกาหลีบางคนพยายามบอกว่าตนเองเป็นต้นกำเนิดอารยธรรมเมโสโปเตเมีย

รัฐบาลไทยยุคหนึ่งสนับสนุนทฤษฎีนี้เพื่อสร้างเรื่องราวให้ชาติไทยดูยิ่งใหญ่เก่าแก่ เป็นชนเผ่าผู้ก่อตั้งอาณาจักรโบราณหลายๆอาณาจักร เขาทำแบบนี้ก็เพื่อให้คนที่ฟังเรื่องราวมีความเคลิบเคลิ้มคล้อยตาม ภาคภูมิใจในชาติกำเนิดของตนเอง

แต่กลับมาที่คำถามเดิม แท้จริงสิ่งที่พวกเขาอยากเชิดชูนั้นคืออะไร? ...ชาติคืออะไร?...

ถ้าบอกว่าชาติคือภาษา คนไทยที่ไม่ใช้ภาษาไทย จัดเป็นคนไทยหรือไม่? ถ้าบอกว่าชาติคือสายเลือด คนไทยที่มีเชื้อสายมลายู เชื้อสายจีน นับเป็นคนไทยหรือไม่?

ถ้าบอกว่าชาติคือกฎหมายหรือดินแดน คนไทยที่อยู่นอกประเทศไทย อยู่ใต้กฎหมายอื่นไม่นับเป็นคนไทยใช่ไหม? ถ้าบอกว่าชาติคือศาสนาวัฒนธรรม ศาสนาวัฒนธรรมของคนไทยก็มีหลากหลาย และมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ การนับถือวัฒนธรรมแบบหนึ่ง ก็มีความเสี่ยงที่จะเป็นการดูแคลนวัฒนธรรมอีกแบบหนึ่ง...


คนไหนคือคนไทย?

ดังนั้นสำหรับคำถามเรื่องชาตินั้น ผมตอบให้ได้ดังนี้นะครับ

“ชาติเป็นของที่มีอยู่ในจินตนาการ แต่ไม่มีอยู่จริง มันสามารถแปรเปลี่ยน หรือสูญหายไปได้ตามจินตนาการของคนกลุ่มหนึ่ง”

หลายสิ่งหลายอย่างที่พ่วงมากับชาติก็เหมือนกัน... กฎหมาย วัฒนธรรม ประเพณี ลัทธิความเชื่อ แฟนคลับดารา ทีมฟุตบอล  ล้วนแต่เป็นสิ่งที่อยู่ในจินตนาการ ถ้าเราบอกว่ามีมันก็มี ถ้าบอกว่าไม่มีมันก็ไม่มี

ถามว่าสิ่งที่มีจริงคืออะไร?

...สิ่งที่มีจริงก็คืออาหารสามมื้อ...

...เตียงนอนที่อยู่ที่ทำให้กินอิ่มนอนหลับ ความปลอดภัยจากภัยมนุษย์ ภัยธรรมชาติ...

ตราบใดที่เราหาอาหารสามมื้อได้ เราไม่จำเป็นต้องจินตนาการอะไรเลย...

...แต่มนุษย์นั้นอ่อนแอ...

เพื่อให้สามารถอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ช่วยเหลือพึ่งพากันให้ทุกคนอยู่รอดจึงจำเป็นต้องมีจินตนาการของกลุ่มขึ้น

และจินตนาการนั้นก่อให้เกิดเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลมากมาย

หากลาชิตไม่ได้จินตนาการว่ามี “ชาติ” เขาไม่จำเป็นต้องทิ้งชีวิตไว้ที่ศรายฆาต เขาสมควรจะสวามิภักดิ์รับเงินสินบนของรามสิงห์ มีชีวิตที่สุขสบาย

แต่เพราะลาชิตมีจินตนาการเช่นนี้ จึงทำให้เขาสามารถเสียสละตัวเอง ช่วยให้แก่เพื่อนพ้อง และลูกหลานของเขาอยู่รอด ช่วยให้ทุกคนรุ่งเรือง


คนบางมุมคนขายชาติอาจไม่ใช่คนเลว แต่เป็นคนที่มองออกว่า "ชาติ" นั้นเป็นเพียงจินตนาการ
และแท้จริงแล้วไม่มีอะไรสำคัญต่อเขาไปกว่าอาหารสามมื้อ

ผมเชื่อว่าการมีชาติอยู่นั้นเป็นเรื่องดี เพราะหากทุกคนไม่มีจินตนาการร่วมกันว่าตนเองอยู่ในกลุ่ม ทุกคนย่อมดำเนินตามเหตุผลที่ถูกต้อง คือแก่งแย่งแข่งขันกันเพื่ออาหารสามมื้อ ทำให้เกิดความวุ่นวายสับสน กลุ่มทั้งหมดพังพินาศ ถูกกลุ่มอื่นมาทำลาย

...แต่ในขณะเดียวกันเราอย่ายึดติดกับจินตนาการนั้นจนลืมไปว่าอะไรคือความถูกต้อง...

การที่ชาวไทยอาหมคิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่กว่าชาติพันธุ์อื่น เข้ากดขี่ข่มเหงคนเผ่าต่างๆ จนนำไปสู่การล่มสลายของตนเองนั้น ก็เป็นเพราะความหลงผิดจากจินตนาการเกี่ยวกับ “ชาติ”

จงจำว่าประโยชน์ที่แท้จริงของ “ชาติ” คือทำให้สมาชิกทุกคนช่วยกันดูแลรักษากลุ่ม ช่วยเหลือกันให้สมาชิกทุกคนมีอาหารสามมื้อ มีที่อยู่ที่ปลอดภัย มีความสุขสบายตามอัตถภาพ

แต่หากวันใด “ชาติ” กลับเป็นสิ่งที่ทำให้สมาชิกบางกลุ่มขาดแคลน ถูกกดขี่ สมาชิกเหล่านั้นจะคิดว่าไม่ make sense ที่ชาติควรจะมีอยู่อีกต่อไป และจะเกิดการจลาจลทำลายชาติลงเพื่อแย่งชิงทรัพยากร ซึ่งเมื่อถึงจุดนั้นจะกลายเป็นผลร้ายต่อทุกฝ่ายในสังคม


ฮิตเล่อร์ใช้พลังของ "ชาติ" พัฒนาเยอรมันจนรุ่งเรือง ในขณะเดียวกันนโยบายกดขี่ชนเผ่าอื่นของเขาก็สร้างเหตุผลมากมาย ที่ทำให้จักรวรรดิของเขาไม่ควรดำรงอยู่

การศึกษาประวัติศาสตร์ชาวอาหมซึ่งมีความใกล้เคียงกับเรานั้นทำให้เห็นว่าพวกเขาสร้างชาติขึ้นมาอย่างไร รักษาชาติอย่างลำบากยากเย็นเพียงไร ขณะเดียวกันเราก็ยังใช้การสิ้นชาติของอาหมเป็นบทเรียนของเราได้

...บทเรียนของอาหม เป็นเหตุให้ผมอยากกล่าวว่า ถ้าเรารักชาติแล้ว...



จากลิ้งงงง  http://pantip.com/topic/31849287

คลิป ประกอบ

https://www.youtube.com/v/xqKexaLsDRM

https://www.youtube.com/v/Bkq0DK_ep3U

https://www.youtube.com/v/DV6xUKA-y4w

https://www.youtube.com/v/b0BS_jeJwrc

https://www.youtube.com/v/zZvJDwIay-0

https://www.youtube.com/v/-S0KaOmpnlM

https://www.youtube.com/v/LBH7CpshTF4

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version