ผู้เขียน หัวข้อ: องค์สามของความดี  (อ่าน 6686 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ 時々होशདང一རພຊຍ๛

  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • ****
  • กระทู้: 1011
  • พลังกัลยาณมิตร 1119
  • แสงทองส่องฟ้าคือชีวิต
    • ดูรายละเอียด
องค์สามของความดี
« เมื่อ: สิงหาคม 20, 2010, 11:54:04 pm »




พระธรรมเทศนาโดยพระพรหมมังคลาจารย์หลวงพ่อปัญญานันท

วันอาทิตย์ที่ 12 พฤศจิกายน 2515

หมายเหตุ.........ธรรมบรรยายชุดนี้ได้ถอด เทปออกมาซึ่งธรรมบรรยชุดนี้มีขายที่ร้าน ธรรมเจริญ ท่าพระจันทร์ ตัวข้าพเจ้า(กัลยาณมิตร)ได้ถอดเทปออกมา แต่สมัยนี้อาจเป็นแผ่นซีดีแล้ว สมัยโน้นยังไม่มีระบบดิจิตอล ไม่ได้โฆษณาให้ร้านธรรมเจริญหนอกแต่บอกกล่าวในฐานะ ผู้ที่สนใจในพระธรรมเท่านั้น

ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย............................
ณ บัดนี้ถึงเวลาของการฟังธรรมะปาฐกถา อันเป็นหลักคำาสอนในทางพระพุทะ ศาสนาแล้ว
ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อัน เกิดขึ้นจากการ
ฟัง ตามสมควรแก่เวลาคนไทยเป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนา พุทธสาสนาเป็นศาสนาประจำาชาติไทย
เราได้รับเอาพุทธศาสนามาเป็นสมบัติประจำาใจเป็นเวลานานกว่าพันปีแล้ว บ้านเมืองของเรา ได้รับความ
ร่มเย็น ก็เพราะบารมีของพระพุทธศาสนา เราจึงเทิดทูนพุทธศาสนาไว้ เสมอด้วยชีวิตของเรา
มีหลายครั้งที่บ้านเมืองตกอยู่ในสภาพคับขัน แต่โดยที่ชาวไทยและ ประมุขของชาติไทยยึด
มั่นในธรรมะของพระพุทธองค์ ชาวเราจึงหลุดพ้นจากความเดือด ร้อนมาได้ ความเดือดร้อน
และความสงบเป็นผลของการกระทำาของประชาชนภายใน ประเทศ สมัยใดประชาชนมั่นคง
ในศีลธรรม ก็มีแต่ความสุขความสงบ แต่ถ้าสมัยใดประ ชาชนขาดศีลธรรม สมัยนั้นก็มีแต่
ความทุกข์ความเดือดร้อน........................

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 05, 2018, 01:24:50 pm โดย 時々कभीकभी一རພຊຍ๛ »
ชิเน กทริยํ ทาเนน


ออฟไลน์ 時々होशདང一རພຊຍ๛

  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • ****
  • กระทู้: 1011
  • พลังกัลยาณมิตร 1119
  • แสงทองส่องฟ้าคือชีวิต
    • ดูรายละเอียด
Re: องค์สามของความดี
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: สิงหาคม 20, 2010, 11:54:47 pm »


หลักพุทธศาสนาของเราได้ สอนให้เราเข้าใจว่าความสุข ความทุกข์ของเรา
เป็นผลเนื่องมาจากการกระทำของเราไม่มีใครหรือสิ่งใดมาดลบันดาลให้เราเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ได้
ถ้าเราไม่ทำมัน ด้วยตัวเราเอง ครูบาอาจารย์เป็นแต่เพียงผู้บอกทางให้เท่านั้น การลงมือเดินเป็นกิจ
ที่ เราเองจักต้องทำเมื่อเป็นเช่นนี้ การกระทำาความดี จึงเป็นกิจจำาเป็นของเราทุกคน
แต่การที่จักทำความดีนั้น ก็ต้องศึกษาให้เข้าใจเสียก่อนว่า ความดีคืออะไร? หลักที่ ควรจำา
ง่าย ๆ ในเรื่องความดีก็คือ สิ่งที่ทำาเป็นประโยชน์แก่ตน สิ่งที่ทำาเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น ท่าน
ผู้รับรองว่าเป็นคนดี หลัก 3 ประการนี้ เป็นส่วนประกอบให้เป็นความดี ฉะนั้นในเวลาจะกระทำาอะไร
เพื่อให้เป็นความดี ก็ควรพยายามทำาให้ประกอบด้วย
ใดอันหนึ่งเสียมิได้ เหมือนก้อนเส้า 3 ก้อน ขาดก้อนหนึ่งหม้อแตกหลักนี้ก็เป็นเช่นนั้น.....
คนเราส่วนมากมักเป็นคนเห็นแก่ประโยชน์ตนไม่ค่อยได้คิดถึงประโยชน์ของคนอื่น ถ้าจะ
ทำาสิ่งใด ก็มุ่งแต่จะเอาประโยชน์ตนเป็นประมาณ ไม่ได้คิดว่าคนอื่นจักเสียผล คนเช่นนี้เป็น
คนจำพวกที่ถือตนเป็นใหญ่ คิดเห็นเข้าข้างตนถ่ายเดียว เป็นคนเอาเปรียบสัง คม เพราะมุ่งหา
และเก็บไว้เพื่อตนเองถ่ายเดียว ทำาให้วัตถุอันเป็นของกลาง สำาหรับ คนทั่วไปจักได้ใช้ และ
ของเหล่านั้นมีเพียงพอสำหรับทุกคนจะหากินหาใช้แต่เกิดการไม่พอขึ้นก็เพราะคนบางคน
โลภมาก แสวงหาและเอามาเพื่อตนถ่ายเดียว การกระทำใน รูปเช่นนี้ เป็นการเบียดเบียน
ประโยชน์ของผู้อื่น เป็นการกระทำาที่ไม่เป็นธรรม จึงไม่ เป็นความดี เมื่อเราจะแสวงหา
ประโยชน์แก่ตน ก็อย่าให้เป็นการทำาลายประโยชน์ของผู้อื่นให้เป็นคนคิดเห็นอกเขาอกเรา
เพราะการเป็นอยู่ในโลกเป็นการเป็นอยู่แบบรวมกัน ผลประโยชน์ทุกอย่างต้องอิงอาศัยกัน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 21, 2010, 12:30:41 am โดย กัลยา »
ชิเน กทริยํ ทาเนน


ออฟไลน์ 時々होशདང一རພຊຍ๛

  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • ****
  • กระทู้: 1011
  • พลังกัลยาณมิตร 1119
  • แสงทองส่องฟ้าคือชีวิต
    • ดูรายละเอียด
Re: องค์สามของความดี
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: สิงหาคม 20, 2010, 11:55:34 pm »


ความสุขจึงเกิดขึ้นได้ประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านจึงต้องมีส่วนสัมพันธ์กันอยู่เสมอ
แต่ถ้าว่าในบางกรณีแม้การกระทำนั้นได้ประ โยชน์ทั้ง 2 ฝ่ายแล้ว ก็ยังไม่แน่นักว่ จักเป็น
ความดีเสมอไป เช่นว่า นาย ก ทำการต้มเหล้าขาย เขาคิดว่าการต้มเหล้าขายของเขาเป็นการ
ได้ประโยชน์ตน ประ โยชน์ผู้อื่นก็ไม่เสีย เพราะมีคนจำานวนมากมาซื้อเหล้าจากเขาบ้างมา
พลอยร่วมวงเปล่า ๆ บ้าง คงจะเป็นการดีแล้ว แต่ยังไม่ดีเพราะผู้รู้ทั้งหลายติเตียน การกระทำ
เช่นนั้นว่าเป็นการผิดธรรม เป็นการผิดต่อกฏหมายของบ้านเมือง ผู้รู้ดีเขาติกันทั้งนั้นฉะนั้น
การกระทำเช่นนั้น จึงเป็นการเสียใช้ไม่ได้ ต้องมีองค์ที่ สาม คือ ผู้รู้รับรองว่า ดีด้วย คำว่าผู้รู้
นั้นหมายถึงผู้รู้เหตุผลอย่างแท้จริง ในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธ เราก็ ยอมรับว่า ผู้รู้อย่าง
แท้จริงก็คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้พระองค์ไม่มีชีวิตอยู่ก็จริง แต่คำสอนยังคงมีปรากฏ
ตัวแทนพระองค์อยู่ ฉะนั้นเรจักทำาอะไรลงไปก็ต้องเอาหลักธรรมเป็นแว่นแก้วส่องดูเสีย
ก่อนว่า การกระทำาเช่นนั้นจักเป็นการขัดต่อคำาสอน ของพระองค์หรือไม่ถ้าเห็นว่าขัดกันก็ไม่ควรทำ
ถึงแม้ว่าการกระทำนั้นนำผลมาให้มาก หลาย เพราะผลที่เกิดจาก
การกระทำชั่ว ๆ นำความทุกข์มาให้แก่ผู้กระทำา พระพุทธองค์ จึงตรัสเตือนว่า ใค่รครวญ
ก่อนจึงทำดีกว่า เพราะสิ่งที่ทำาลงไปแล้วจักทำาคืนอีกไม่ได้ การกระทำที่จักนำความเดือด
ร้อนมาให้ เป็นการกระทำที่ไม่ดีเป็นพระโอวาทผู้รักตนควรกระทำโดยแท้......................
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 21, 2010, 12:31:06 am โดย กัลยา »
ชิเน กทริยํ ทาเนน


ออฟไลน์ 時々होशདང一རພຊຍ๛

  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • ****
  • กระทู้: 1011
  • พลังกัลยาณมิตร 1119
  • แสงทองส่องฟ้าคือชีวิต
    • ดูรายละเอียด
Re: องค์สามของความดี
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: สิงหาคม 20, 2010, 11:56:27 pm »


มีคำถามแทรกเข้ามาว่าชาวโลกมีความต้องการอะไร ?คำาตอบพึงมีว่า
ทุกคนต้องการมีความสุข ความเจริญ ไม่มีใครต้องการความทุกข์ ความเสื่อม แต่ทำาไมทั้ง ๆ ที่ ทุกคนต้องการ
ความสุข ความเจริญ เขายังไม่ได้รับสิ่งที่ต้องการสมหมายกลับได้รับ ความทุกข์ ความเสื่อม
เสมอ คำตอบในเรื่องนี้ก็มีอยู่ว่า เพราะเขาขาดคุณธรรมบางประ การ อันเป็นสิ่งสนับสนุน
ให้เขามีความสุขสมหมายในปัญจกนิบาต อังคุตตรนิบาต มีคำา กล่าวไว้ว่า คนอยู่เป็นทุกข์เพราะเหตุ 5 ประการ..........................

คือ 1 ไม่มีความเชื่อ 2 ไม่มีความละอาย 3 ไม่มีความเกรงกลัว 4 มีความเกียจคร้าน 5 มีความรู้
ชั่ว ในทางธรรมสอนให้เรามีความเชื่อในทางที่ชอบที่ถูก เป็นความเชื่อที่อาจนำผู้ปฏิบัติตาม
ไปสู่ความพ้นทุกข์ได้ แต่มีคนจำานวนไม่ใช่น้อยขาดความเชื่อในรูปนั้น เมื่อไม่มี ความเชื่อ
เขาก็ขาดความรู้สึกผิดชอบ อันเป็นปัจจัยสำาคัญของการทำความดี เพราะความรู้สึกผิดชอบ
เป็นความคิดที่เกิดขึ้นคอยสะกัดมิให้กระทำาความชั่ว และบอกให้รู้ได้ทันที่ว่าสิ่งที่ตนกระทำาอยู่นี้
เป็นสิ่งไม่ดีเป็นการฝึกต่อมในธรรมโดยแท้ขณะใดขาดความรู้สึกแบบนี้แล้วก็อาจก่อให้เกิดการกระทำที่ผิดและเสียหายได้ง่าย เป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกคนควรเพาะนิสัยผิดชอบให้เกิดแก่ตนการกระทำาโดยวิธีนี้ ก็ เป็นการปฏิบัติธรรมแบบหนึ่งเหมือนกัน มีคนบางคนเข้าใจว่า การกระทำาความดี หรือ ปฏิบัติกิจศาสนานั้น เป็นเรื่องของคนแก่ ส่วนคนหนุ่มสาวนั้นยังไม่จำเป็นก่อน ความเข้า ใจในรูปนี้ เป็นความเข้าใจที่ผิดพลาด ธรรมะเป็นสิ่งจำาเป็นสำาหรับคนทุกเพศ ทุกวัย เหมือนกับอาหารสำาหรับหล่อเลี้ยงร่างกาย เป็นสิ่งจำาเป็นแก่ทุกคน ถ้าร่างกายของใคร ขาดอาหาร ก็คงถึงแก่ความตาย ธรรมะเป็นอกหารหล่อเลี้ยงใจ......ใจของใครขาด............................
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 21, 2010, 12:32:15 am โดย กัลยา »
ชิเน กทริยํ ทาเนน


ออฟไลน์ 時々होशདང一རພຊຍ๛

  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • ****
  • กระทู้: 1011
  • พลังกัลยาณมิตร 1119
  • แสงทองส่องฟ้าคือชีวิต
    • ดูรายละเอียด
Re: องค์สามของความดี
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: สิงหาคม 20, 2010, 11:57:21 pm »


ธรรมะเขาก็คงเป็นอยู่แบบคนที่ตายแล้ว การตายในขณะเป็นอยู่ เป็นการตายที่ร้ายแรงกว่า
การตายของคนตายจริง ๆ เพราะคนตายจริง ๆ ไม่ให้โทษแก่ใคร แต่คนตายยังเป็นอยู่ เพราะ
ขาดคุณความดีนั้น เป็นภัยต่อสังคมมาก จึงเป็นตายที่น่ากลัวโดยแท้ ชีวิตที่ต้อง การอยู่อย่าง
คนเป็นจึงต้องมีธรรมะประจำใจธรรมะเป็นเกราะป้องกันมิให้เราตกไปสู่ ความชั่วทั้งในโลกนี้และโลกหน้าอีกประการหนึ่งการกระทำความชั่วย่อมเกิดแก่คนทุก เพศทุกวัย ถ้าหากเขาไม่มีเครื่องห้ามเครื่องกันแล้ว
ความลำบากก็เกิดแก่เขาได้ง่าย โดยเฉพาะคนหนุ่มสาวจิตใจกำลังคึกคะนองร้อนแรงถ้าเอน
ไปในทางดีก็ดีนัก ถ้าเอนไปในทางชั่วก็ชั่วนัก แต่ส่วนมากมักเอนไปในทางที่ชั่ว เพราะ
ธรรมชาติของใจคน มี ปกติเดินไปในทางตำ่าอยู่เสมอ ยิ่งขาดการห้ามด้วยแล้วก็ไปกันใหญ่
ประดุจม้าคะนองที่ ขาดสารถีบังคับ ม้าที่กำลังคะนองและพยศต้องการมีบังเหียนและควาน
ม้าผู้จับบังเหียนไว้ฉันใด คนหนุ่มสาวที่กำลังคะนองก็ควรที่จักมีสิ่งสำหรับบังคับไว้ฉันนั้น ไฟลุก
ก็สิ่งนั้นไม่มีอะไร ดีไปกว่าธรรมะในทางศาสนา จึงเป็นความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่หนุ่มสาวใน
สมัยนี้จักนำาตน เข้าหาพระกันเสียบ้าง ไม่อย่างนั้นมารร้ายจักจูงท่านไปสู่ทางร้ายซึ่งมีตัว
อย่างปรากฏอยู่อย่างชุกชุมในสมัยนี้ อันเป็นผลจากการขาดความสนใจในธรรมะ เป็น คน
นับถือศาสนากันแต่เพียงชื่อเท่านั้น คนหนุ่มสาวยังมีหวังที่จะอยู่ไปในโลกอีกนานปีมากกว่า
คนแก่ และจักมีโอกาสได้ กระทำความดีแก่โลกมากขึ้นไปอีก ความจำาเป็นในการแสวงหา
หลักทางใจจึงมากกว่า คนแก่เป็นธรรมดา คนไม่มีหลักศาสนาในใจเป็นคนปราศจากเครื่อง
ยึดเหนี่ยวเขาอาจทำ ผิดทำเสียเมื่อไรก็ได้ ในเรือนจำนักโทษ ส่วนมากเป็นคนหนุ่ม คนแก่มี
แต่น้อย นี้ก็เนื่อง จากคนแก่ท่านมีธรรมะรั้งใจ ส่วนคนหนุ่มขาดคุณธรรมรั้งใจจึงก่อกรรม
ทำาเข็ญได้มาก ถ้าหากท่านไม่อยากเป็นทุกข์ จงหันเข้าหาธรรมะกันเถอะ เพราะถ้าไม่เข้าหา
ธรรมะ อธรรมก็จะเข้าจับใจของท่าน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 21, 2010, 12:32:54 am โดย กัลยา »
ชิเน กทริยํ ทาเนน


ออฟไลน์ 時々होशདང一རພຊຍ๛

  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • ****
  • กระทู้: 1011
  • พลังกัลยาณมิตร 1119
  • แสงทองส่องฟ้าคือชีวิต
    • ดูรายละเอียด
Re: องค์สามของความดี
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: สิงหาคม 20, 2010, 11:58:17 pm »


รรมกับอธรรมให้ผลต่างกัน ไฟลุกคือธรรมจะนำตนไปสู่สถานที่ดี อธรรมนำตนไปสถานที่ชั่ว
ท่านชอบอย่างไหนก็เลือกเอาเอง นึกว่าท่านคงไม่ เลือกอธรรมแน่ ๆ เพราะใจของท่านยังปรารถนาความสุขความเจริญอยู่จึงหวังว่า ท่านคงเลือกเอาธรรมะเป็นฝ่ายดี เป็นฝ่ายที่ทำให้ท่านเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์ การที่เราเรียกกันว่ามนุษย์นั้น ย่อมหมายถึงร่างกายและจิตใจอันอาศัยกันอยู่ ดังคำว่า กายกับใจประกอบกันเข้า คำว่า คน จึงเกิดขึ้น ถ้ามีกายไม่มีใจหรือมีแต่ใจไม่ มีกายก็หมดความเป็นคน ทั้งสองอย่างต้องอาศัยรวมกันเป็นอยู่เสมอ ในการบำรุงจึง ต้องบำรุงทั้งสองอย่างแต่คนเราส่วนมากมักพอใจบำารุงแต่ส่วนร่างกาย หาสนใจการบำรุงใจไม่มิใช่แต่ได้บำรุงเท่านั้น ซำ้าร้ายยังทำาลายใจกันเสียด้วย การทำาลายใจ ของตนก็คือ การห่างเหินจากธรรมะนั่นเอง ถ้าเราบำรุงกายด้วยอาหารการกิน ตกแต่งอย่างไหนแล้วราก็ต้องบำรุงใจด้วยอาหารและน้ำฉันนั้น อาหารของกายเป็นคำข้าวอาหารของใจเป็นธรรมะ ธรรมะนี่แหละเป็นอาหารของใจ ถ้าร่างกายอ้วนพี เพราะได้รับการบำารุงอย่างดีแล้ว ก็ควรบำรุงใจให้เป็นอย่างนั้นด้วย ใจที่ขาดการบำรุงเป็นใจที่ซูบผอม ขาดกำาลังสำหรับต่อสู้ เมื่อขาดกำาลังย่อมแพ้ข้าศึกได้ง่าย ข้าศึก ทางกายได้แก่โรคภัยนานาชนิด ข้าศึกทางใจได้แก่ความชั่วทำใจให้อ่อนแอนั่นเอง ความชั่วที่เรียกว่า กิเลสบ้าง มารบ้าง ซาตานบ้างก็มี และถ้าเอาชนะไม่ได้
ก็ต้องพ่าย แพ้ต่อมัน ความทุกข์ก็เกิดขึ้นดังคำาที่ว่า...................................
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 21, 2010, 12:34:16 am โดย กัลยา »
ชิเน กทริยํ ทาเนน


ออฟไลน์ 時々होशདང一རພຊຍ๛

  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • ****
  • กระทู้: 1011
  • พลังกัลยาณมิตร 1119
  • แสงทองส่องฟ้าคือชีวิต
    • ดูรายละเอียด
Re: องค์สามของความดี
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: สิงหาคม 20, 2010, 11:59:09 pm »


การพ่ายแพ้เป็นความทุกข์ ทุกข์เพราะตกอยู่ในอำนาจของมารร้ายที่คอยดึงไปสู่หลุมอบาย รู้สึกแย่ตกเป็นทาสของมัน พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า การเป็นทาสเป็นทุกข์หนัก แต่ถ้าเรามีหลักใน
ทางใจมีอาหารหล่อเลี้ยง มีกำลังสกัด ต่อต้าน โดยวิธีการเข้าหาการฟังธรรมะ สนทนา
ธรรมะ คิดค้นธรรมะให้เข้าใจแจ่มแจ้ง แล้วลงมือปฏิบัติธรรมะนั้น ๆ ให้ใจอ้วนพีมีกำลัง
มั่นคง ไม่มีข้าศึกใด ๆ มายย่ำยีได้ เลย เมื่อไม่มีข้าศึกมารบกวน ก็นอนหลับอย่างเป็นสุขในหมู่
ของคนที่เป็นสุขและเป็นทุกข์ ทั้งหลาย ธรรมะย่อมรักษาคุ้มครองผู้ปฏิบัติธรรมอย่างนี้
แหละหนอมีพุทธภาษิตกล่าวไว้ว่า ธมฺมกาโม ภวำ โหติ - ผู้ใคร่ธรรมเป็นผู้เจริญในทางตรงกันข้ามผู้
ไม่ใคร่ธรรมก็เป็นคนเสื่อมแน่ ความใคร่ธรรมก็คือความอยากได้ใน ทางดี ตรงกันข้ามกับความชังธรรม
อันหมายถึงความไม่ปรารถนาในทางดีเสียเลย ภาษิตไทยโบราณรักดีหาม
จั่ว รักชั่วหามเสาจั่วเป็นของสูง เสาเป็นของตำ่และหนัก ด้วย นับว่าเป็นคำเตือนใจได้อย่าง
ดี ให้พยายามทำาตนเป็นคนเบากันเถิด อย่าเป็นคน หนักด้วยบาปอกุศลกันเลยคนจักเบาใจ
ได้เพราะการกระทำในทางดี ทางดีเป็น ทางธรรม เป็นทางของพระที่ได้ประกาศไว้เป็นตัว
ศาสนาเป็นสิ่งจำเป็นแก่ชีวิต จึงเป็นการสมควรที่พวกเราจักเปลี่ยนใจมีเดินทางของศาสนา
อันเป็นทางที่สงบและ ปลอดภัย การเดินก็เช่นเดียวกัน อย่ามัวให้ผลัดวันประกันพรุ่งอยู่เป็น
อันขาด เมื่อรู้สึก ตนต้องการธรรมแล้ว ก็จงลงมือทำาทันที่ เพราะพระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า
ถ้าหากจะทำความดีจงทำทันทีอย่าช้าไว้เป็นอันขาด เพราะการทำาความดีช้าๆ อาจตกไปสู่
บาปเสียอีกแห่งหนึ่งตรัสสอนไว้ว่า ความเพียรควรทำเสียแต่วันนี้ อย่าผลัดไว้ค่อยทำเลย
เพราะ ใครจักรู้ได้ว่า ชีวิตจักตายในวันนี้คิดอย่างนี้เป็นการคิดเพื่อเตือนใจให้เข้าหาความดี
คนไทยโบราณก็ได้สอนไว้ว่า น้ำขึ้นให้รีบตักน้ำลงจักไปตักได้ที่ไหน ฝรั่งสอนว่าจงตี
เหล็กเมื่อยังร้อน จงดายหญ้าเมื่อแดดออก เหล่านี้เป็นคำเตือนใจให้รีบกระทำในสิ่งที่ ควร
กระทำและโดยเฉพาะอย่างยิ่งอันเกี่ยวกับใจเป็นงาน่รีบด่วน ช้านิดเดียวไม่ได้ จึงควรมีสำนึกใน
เรื่องนี้ แล้วออกเดินทางทันที ทางได้เปิดไว้แล้วสำาหรับทุกคน เป็น ทางตรงไปสู่ความพ้น
ทุกข์ ทางที่กล่าวถึงก็ คือ การเดินทางกาย วาจา ใจ ตามหลักพระพุทธศาสนา มีอยู่ ทางเดียว
เป็นทางเอก อันประกอบด้วยองค์แปดประการ เป็นทางที่เป็นไปเพื่อ ความหมดจดของสัตว์
ทั้งหลาย เป็นไปเพื่อความดับสนิทของความโศกรำพันเพื่อความดับสนิทของทุกข์
โทรมมนัสเป็น....ทางที่พระบรมครูของเราทรงค้นพบด้วยพระปรีชาสามารถและทรงเดินตามนั้นจน
กระทั่งพ้นทุกข์ได้สมความปรารถนา มิใช่เดินแต่ลำพัง พระองค์ ยังทรงมีพระเมตตาแก่ชาว
โลกผู้ตกอยู่ในกองทุกข์ ได้ทรงสอนให้เขาได้เข้าใจ หนทางนั้น และทรงเร่งเร้าให้ทุกคนเดิน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 21, 2010, 12:34:53 am โดย กัลยา »
ชิเน กทริยํ ทาเนน


ออฟไลน์ 時々होशདང一རພຊຍ๛

  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • ****
  • กระทู้: 1011
  • พลังกัลยาณมิตร 1119
  • แสงทองส่องฟ้าคือชีวิต
    • ดูรายละเอียด
Re: องค์สามของความดี
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: สิงหาคม 21, 2010, 12:00:37 am »


ตามทางนั้นเป็นทางที่ทำให้ผู้เดินตามเปลี่ยน จากสภาพของปุถุชนไปเป็นพระอริยเจ้า เป็น
ทางที่ทำให้โลกเปลี่ยนแปลงจากความทุกข์ ไปเป็นทางสงบสุข เป็นทางที่ให้ประโยชนแก่ ยิ้ม
ทุกคนทุกสมัย ตราบใดที่ชาวโลกยังเห็นว่า ทางนั้เป็นทางถูก และพยายามเดินตามทางนี้อยู่
แล้ว โลกจึงไม่ว่างจากพระอรหันต์ ทางนั้นอันประกอบด้วยองค์แปด................นี้คือ..................

1.สมฺมาทิฏฺฐิ - ความเห็นชอบ
2.สมฺมาสงฺกปฺป - ความคิดในทางที่ชอบ รัก
3.สมฺมาวาจา - การพูดในทางที่ชอบ
4.สมฺมากมฺมนฺต - การกระทำาที่ชอบ
5.สมฺมาอาชีว - การเลี้ยงชีวิตชอบ
6.สมฺมาวายาม - การทำาความเพียรชอบ
7.สมฺมาสติ - การระลึกในทางที่ชอบ
8.สมฺมาสมาธิ - ความตั้งใจมั่นชอบ

มรรคหรือหนทางอันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการนี้ เป็นทางสายกลางที่นำาคนผู้เดิน ตามไป
สู่ความพ้นทุกข์ ที่อิงทางนี้ก็ได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา นั่นเอง คือ สัมมาทิฏฐิและ สัมมา
สังกัปปะ เป็นตัวปัญญา สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ ส่วนนี้เป็นศีล สัมมา
วายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ส่วนนี้เป็นสมาธิ รวมความก็ได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา อันเป็น
บทเรียน 3 ประการ ของพระพุทธศาสนานั่นเอง...................................
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 21, 2010, 12:35:22 am โดย กัลยา »
ชิเน กทริยํ ทาเนน


ออฟไลน์ 時々होशདང一རພຊຍ๛

  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • ****
  • กระทู้: 1011
  • พลังกัลยาณมิตร 1119
  • แสงทองส่องฟ้าคือชีวิต
    • ดูรายละเอียด
Re: องค์สามของความดี
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: สิงหาคม 21, 2010, 12:01:57 am »


ต่อไปจักได้พิจารณาถึงมรรคเหล่านี้ไปตามลำดับพอเป็นแนวทางในการปฏิบัติตนให้พ้น
จากทุกข์..............................................

1.สัมมาทิฏฐิ - ความเห็นในทางที่ชอบ ทิฏฐิ แปลว่าความคิดเห็น ความเข้าใจ ความเป็น
กลาง ๆ ไม่ดี ไม่ชั่วแต่ในภาษาไทยมักหมายถึงความชั่ว เช่นพูดว่า คนนั้นทิ ฏฐิแรงมากต่อ
เมื่อได้ใส่คำาเข้าข้างหน้า เช่น มิจฉาทิฏฐิ ก็หมายถึงความเห็นผิด สัม มาทิฏฐิ ก็หมายถึงความ
เห็นถูก ที่เอาคำาอื่นมาใส่ข้างหลัง ทำาให้เป็นคุณบทไปก็มี เช่น ทิฏฐิสัมปันโน - ถึงพร้อมด้วย
ทิฏฐิ ทิฏฐิวิปันโน - วิบัติด้วยทิฏฐิ ในที่นี้มุ่งกล่าวถึงสัมมาทิฏฐิอัน เป็นทางประกอบของทาง
สายกลาง เรื่องของความคิดเห็นหรือความเข้าใจเป็นมูล ฐานอย่างสำคัญของการกระทำ ถ้าผู้
ใดมีความเห็นถูกตรงแล้ว การกระทำเป็นไปใน ทางที่ดี ผู้มีความเห็นผิด การกระทำก็เป็นไป
ในทางชั่วเสีย ข้อนี้เป็นความจริงโดยแท้ลองสังเกตเพื่อนของท่านก็พอเห็นได้ เช่น ถ้าเขามีความเห็นว่า
การดื่มเหล้าเป็นของดี เป็นเครื่องสมานมิตร เขาจักเป็นนักเลงเหล้าที่ดื่มได้อย่างไม่อั้นที่เดียว
ถ้าใครไปชวนให้เขาเลิก เขาอาจเห็นเป็นความคิดที่เหลวไหลไปเลย คนใหนเห็นว่าการไม่ โกงไม่ร่ำรวย เขาก็ต้องเดินตามความเห็นของเขา นักศาสนาที่มีความเห็นในหลักใดก็พอใจในหลักนั้น ทำตาม
ความคิดเห็นนั้น ๆ เสมอไป จึงเห็นได้ว่า ความเห็นก่อให้เกิด การกระทำทั้งส่วนดี และส่วน
เสียการกระทำทั้งมวลของบุคคลและจากความเห็นของ เขาความเห็นของแต่ละบุคคล การรวม
กันเข้าก็เป็นความเห็นสาธารณ และการกระทำให้เกิดจากความเห็นแบบนั้น อันเป็นไปใน
ทางที่ดีบ้าง ชั่วบ้าง สุดแล้วแต่พื้นฐานของความเห็นโดยเหตุนี้แหละเจ้าลัทธิทุกฝ่ายไม่ว่าใน
ด้านใหน....ได้ทำการชักจูงให้ประชาชน มีความโน้มเอียงมาตามความเห็นฝ่ายตนโดยบอกให้
เห็นว่า คนที่มีความเห็นแบบนี้ ย่อมเป็นคนก้าวหน้างอกงาม อยู่กันฉันท์พี่น้อง เมื่อชักจูง
มาก ๆ เข้าก็เกิดความสนใจศึกษาเห็นว่าดีก็รับไว้ อันการชักจูงนั้นเขาอาจทำาของดำให้เป็น
ของขาว ของขาวให้เป็น ของดำเพื่อยั่วใจของผู้ฟังก็ได้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 21, 2010, 12:36:02 am โดย กัลยา »
ชิเน กทริยํ ทาเนน


ออฟไลน์ 時々होशདང一རພຊຍ๛

  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • ****
  • กระทู้: 1011
  • พลังกัลยาณมิตร 1119
  • แสงทองส่องฟ้าคือชีวิต
    • ดูรายละเอียด
Re: องค์สามของความดี
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: สิงหาคม 21, 2010, 12:03:45 am »


ทางด้านศาสนาก็มีความเห็นต่าง ๆกัน ใครมีความเห็นแบบใดก็พูดชักจูงคนให้คล้อยตาม
ความเห็นในแบบนั้น ที่สุดก็มีหลายแบบหลายความเห็น ต้องถกเถียงกันเป็นการใหญ่ทำไมจึงถกเถียงกัน เพราะเขาเป็นผู้ยึดถือในความเห็นของตน ๆ ต่างก็ถือว่าอันนี้จริงอันอื่นหาจริงไม่ เมื่อไม่ยอมกันก็เถียงกัน การยึดมั่นในความเห็นเป็นกิเลสแบบหนึ่งท่านเรียกว่าทิฏฐุปาทาน - การยึดมั่นในความเห็น การยึดถืออย่างนี้ก็เป็นทุกข์ เหมือนกัน ทุกข์เพราะคิดว่า คนอื่นไม่เห็นเหมือนตัว ทุกข์ว่าน่าสงสารเขาที่เป็นคนเห็นผิดแต่เจ้าตัวเองหาได้รู้ไม่ว่าตนเองก็เป็นคนเจ้าทิฏฐิ เห็นอะไรผิดอยู่เหมือนกันครั้งหนึ่งมีพราหมณ์มาถามพระพุทธองค์ว่าพระองค์มีทิฏฐิอย่างไร?ตรัสตอบว่า ตถาคตไม่มี ทิฏฐิ เพราะไม่ทรงยึดมั่นในอะไร ๆ ทรงใช้ความรู้ความเห็นเป็นทางเดินเหมือนคนใช้แพข้ามฟาก หาได้ทรงติดในแพนั้นไม่ จึงทรงกล่าวตอบอย่างนั้น ทิฏฐิหรือความเห็นผิด มี
อิทธิพลเหนือใจคนเหนือสังคมอยู่มาก จึงเป็นการจำเป็นที่ ต้องมอบความเห็นในทางที่ชอบ
ไว้แก่เขา ตั้งแต่ใจของเขายังว่าอยู่ ยังไม่ได้รับอะไรไว้ว่าเป็นลัทธิของตนการทำางานอย่างนี้
เป็นงานของผู้นำาในครอบครัวที่ให้การศึกษาแก่เด็กของตนอย่างถูกต้อง เพื่อให้เขารับไว้
เฉพาะแต่สิ่งที่ถูกต้องอย่างเดียวไม่ว่าในด้านศาสนาการเมือง ลัทธิเศรษฐกิจงานอย่างนี้เป็นงานที่ต้องทำาอย่างรีบด่วนช้าไว้ไม่ได้ เพราะเรื่องของใจคนเป็นเรื่องที่ช้านาที่เดียวก็เสียหายจึงต้องพร้อมกันให้ความเห็นถูกแก่เขาเราจะเห็นได้ในสงครามโลกครั้งที่สอง ฮิตเล่อร์ประมุขของประ เทศเยอรทันได้ทำการชักจูงใจชเยอรมันให้เกิดความเชื่อว่า ชนเยอรมันเท่านั้นเป็น อารยัน เป็นผู้สมควรจักครองโลก นักรบเยอรมันเป็นนักรบไม่รู้จักคำว่าแพ้พูดเสมอ ๆ ในวิทยุกระจายเสียงในหนังสือพิมพ์ในบทละคร ในการสอนในโรงเรียนตลอดถึงใน ครอบครัว เป็นการฉีดความเห็นอย่างนี้เข้าสมองของเด็กหนุ่มเยอรมัน ผลที่สุดแถวทหารกล้าตายก็พร้อมเยอรมัน
ทั้งชาติได้เข้าสู่สงครามและได้รับความแหลกลาญไปหมด
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 21, 2010, 12:38:51 am โดย กัลยา »
ชิเน กทริยํ ทาเนน