ผู้เขียน หัวข้อ: ประวัติพระอาจารย์อัครเดช(พระอ.ตั๋น) ถิรจิตฺโต  (อ่าน 2092 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด


วันนี้วันที่ ๑๑ มิถุนายนเป็นวันคล้ายวันเกิดครบ ๖๑ ปี ของท่านพระอาจารย์อัครเดช (พระอ.ตั๋น) ถิรจิตฺโต เจ้าอาวาส วัดบุญญาวาส ต.บ่อทอง อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี สาขาที่ ๑๓๐ ของวัดหนองป่าพง “...เราทุกคนจะต้องพยายามที่จะรู้จักต่อสู้กับกิเลสภายในจิตใจของเรา ในทุก ๆ วันให้พยายามที่จะมีสติดูจิตใจของเรา และปรารภความเพียรไปทุก ๆ วัน ไม่ท้อถอย สำรวมจิตใจของเรานั้นอยู่เสมอ ๆ ถ้าเราทุกคนทำความเพียรไปเช่นนี้ ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนก็ตาม เราทำความเพียรไปตลอดเวลา ในอนาคตข้างหน้าเราอาจจะแยกย้ายไปปฏิบัติคนละสถานที่ก็ตาม แต่เราก็มุ่งหวังในการประพฤติการปฏิบัติธรรมอยู่เสมอ ๆ ไม่ทิ้งความเพียร เราก็สามารถที่จะประสบกับความสำเร็จในการประพฤติการปฏิบัติธรรมได้...” โอวาทธรรมท่านพระอาจารย์อัครเดช (พระอ.ตั๋น) ถิรจิตฺโต

ท่านพระอาจารย์ตั๋น ท่านได้เล่าประวัติของท่านไว้อย่างน่าศึกษา การพินิจพิจารณาการบริหารจัดการกับชีวิตของท่าน ว่าจะไปสู่หนทางใด เดินมุ่งสู่หนทางใด ไปให้ถึงไหน เพื่อสิ่งใด เพราะอะไร อันนี้เป็นตัวอย่างการดำเนินชีวิตที่น่าศึกษา และน่าเคารพศรัทธาอย่างยิ่ง อยากให้ทุก ๆ ท่านได้อ่านประวัติของท่านพระอาจารย์ตั๋น ดูกันครับ . . . ส า ธุ

“ท่านพระอาจารย์ตั๋น ท่านถือกำเนิดเมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๙๘ เป็นคนจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยกำเนิด ตอนเด็กอายุประมาณ ๘-๙ ขวบ เป็นคนไม่ชอบโกหก แล้วพ่อจะสอนให้ไม่หยิบของใคร แม้ของนิดเดียวก็ห้ามหยิบ พอโตขึ้นมาอายุ ๑๖-๑๗ ปี มีความรู้สึกเห็นผู้หญิงสวย มีความรู้สึกชอบ แต่เป็นคนมีนิสัยไม่หลอกลวงใคร ไม่ข่มเหงจิตใจใคร มีศีลในตัว เห็นเพื่อนเขาโกรธกัน ทะเลาะกัน ก็เห็นว่าความโกรธนั้นเป็นทุกข์ ก็พูดกับใจตนเองว่า เราจะทำความโกรธให้มันหมดไปจากใจเรา แต่ยังไม่คิดจะบวช

พอ ๑๗-๑๘ ปี มีความรู้สึกผุดขึ้นในใจว่า ความดีใด ๆ ในโลกนี้มีอะไรบ้าง เราปรารถนาจะสร้างความดีเลยคิดว่า.. เอ้ ความดีของคนมันอยู่ที่ไหน ก็จะพิจารณาจนเห็นว่าความดีของคนอยู่ที่การรักษาศีล ๕ และได้เห็นโทษของการผิดศีล ๕ ตอนอายุ ๑๖-๑๗ ปี มีครั้งหนึ่งป่วยเป็นไข้ ไม่สบาย มันก็ฉุกคิดว่า มันมีสติเห็น ปัญญาเกิด เราไม่สามารถบังคับบัญชาร่างกายได้ มันก็เลยมีความรู้สึกว่า แสดงว่าไม่ใช่ร่างกายของเรา ตั้งแต่นั้นมาก็เริ่มไม่เชื่อว่านี่ไม่ใช่ร่างกายของเรา

พออายุ ๑๙-๒๐ ปี ขณะที่เรียนคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้า ระหว่างที่เดินทางไปเรียนหนังสือ ขึ้นรถประจำทางไป ไปเจอโยมผู้หญิงอุ้มเด็กขึ้นมาบนรถ เราเห็นว่าเขาไม่สะดวกจึงลุกให้เขานั่ง เรายืนโหนรถเมล์ มองดูเห็นลูกเขาที่นอนบนตัก ขณะที่ตามันมองดู จิตมันก็คิดไป คิดว่าเด็กเนี๊ยะกว่าจะพูดได้..เดินได้..ช่วยเหลือตนเองได้ กว่าจะเท่าเรา อายุ ๑๙-๒๐ ปี จะต้องผ่านความสุข..ความทุกข์มามากมาย ผ่านความยากลำบากมาในชีวิต คิดแล้วสลดสังเวช..เบื่อหน่าย

แล้วก็มองไปข้างหน้า เห็นคนป่วย รู้สึกว่าคนนี้กำลังป่วย จะไปโรงพยาบาล เพราะว่าการเดินทางตรงนี้จะผ่านโรงพยาบาลพระมงกุฎ ใกล้ ๆ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ก็เลยรู้ว่าคนนี้ต้องไปโรงพยาบาล พอตาเห็นรูปเนี๊ยะ...จิตมันคิดว่า คนทุกคนเกิดมาไม่พ้นความเจ็บไข้..ได้ป่วย..ไปได้เลย..แม้ว่าเราก็ต้องมีความ เจ็บไข้ได้ป่วยไม่วันใดก็วันหนึ่ง จิตมันก็สลดสังเวช พอมองไปข้างหน้าก็มองเห็นคนอายุ ๖๐-๗๐ ปี รูปร่างคล้ายเราแต่เป็นผู้สูงอายุ เรามองไปจิตมันคิดว่า ไม่ว่าวันใดวันหนึ่ง เราคงต้องแก่แบบนั้น เราคงหลีกหนีไม่พ้นความแก่ไปได้

แล้วจิตมันก็สลดสังเวชลงว่า คนในรถทั้งหมดนี้ ๓๐-๔๐ คน จะพากันเดินไปทางไหน มันก็มีคำตอบออกมาว่า เดินทางไปสู่มรณะ คือเดินทางไปสู่ความตาย จิตมันก็สลดสังเวช มันเบื่อหน่ายมาก จิตมันคิดอย่างนี้ทุกวัน ประมาณ ๑๕ วันหรือเดือนหนึ่ง ไม่แน่ใจ คือ พอขึ้นรถเราจะเห็นเด็ก เห็นคนแก่ จิตมันก็จะพิจารณาไปเอง สลดสังเวชมากแล้วจิตมันก็บอกกับตนเองว่า ถ้าเราพร้อมเมื่อไหร่ในกาลข้างหน้าเราจะบวช แล้วจะบวชครั้งเดียวตลอดชีวิต แต่ถ้ายังไม่พร้อม เราจะเป็นคนดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

ก็มาระลึกถึงตอนเรียนหนังสือมัธยม อ่านพุทธประวัติ เรียนศีลธรรม เราเคยศึกษาประวัติของพระพุทธเจ้า ท่านเห็นคนเจ็บ คนแก่ คนตาย และสมณะ แล้วก็มุ่งออกแสวงหาโมกขธรรม เพื่อความหลุดพ้น เราก็รู้สึกว่า มีความปิติ ดีใจ ที่ได้เห็นตามรอยของพระพุทธองค์ แต่ว่าตอนนั้นเรายังไม่พร้อมที่จะออกบวช เพราะว่าเราวาดฝันในชีวิตไว้ว่า
๑.เราจะเรียนหนังสือให้สูงที่สุด
๒.จบมาแล้วเราจะทำงาน
๓.เราจะมีครอบครัว

แต่ความฝันนั้นมันเปลี่ยนแปลง เพราะว่า เราคิดว่าเราจะเป็นคนดีที่สุดในสังคม มีศีล ๕ เรียนหนังสือสูงๆ จบมาแล้วมาทำงาน มีครอบครัว แต่มันถูกตัดออกไปก่อน เพราะตอนอายุ ๑๖-๑๗ ปี เป็นนักเรียนชายล้วน เราไม่รู้จักผู้หญิงเท่าไหร่ เพราะแม่เราก็ไม่มี (แม่พระอาจารย์ท่านเสียตอนท่านอายุ ๓ ขวบ) พี่น้องเป็นผู้ชายหมด เราอยู่กับพ่อ เราเรียนนักเรียนชายล้วนๆ ๙ ปี อยู่ที่ ร.ร.เซนต์จอน วันหนึ่งเรารอรถประจำทางจะกลับบ้านที่ลาดพร้าว เราขึ้นไม่ได้ เราได้ยินเสียงคุณป้าคนหนึ่ง แกบ่นว่า “เด็กสองคนนี้ไม่รู้จักเล่าเรียน ผู้ชายผู้หญิงเขากำลังจีบกันอยู่ข้าง ๆ ที่ป้าแกบ่น เราก็นึกอายป้า เราก็คิดในใจ ถ้าเป็นเรา เราคงอายป้าแย่เลย บอกแก่ใจตนเองว่า สัญญากับใจตนเองว่า เราจะไม่มีแฟน จะมีแต่เพื่อน ถ้าเราจะมีแฟนได้ก็ต่อเมื่อเราเรียนจบ แล้วก็ทำงาน ต้องดูแลตนเองได้ พอหลังจากนั้นไม่นาน ประมาณซักเดือนหนึ่ง กิเลสก็เกิดขึ้น เรามองเห็นผู้หญิงสวย เกิดความชอบขึ้นมา เราไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะเป็นเด็กขี้อาย พอกลับบ้านก็ปรึกษาพี่ชาย ตอน ๔-๕ ทุ่ม ถามพี่ชายว่า “ชอบผู้หญิงจะทำยังไง?” พี่ชายแนะนำให้ทำความรู้จัก ชวนคุย พอไปเรียนหนังสือกลับมา พี่ชายถามว่า “ชวนคุยหรือยัง” ตอบว่า “ยังไม่กล้า” พี่ชายแนะนำต่ออีก “ชวนทานข้าว..ไปส่งบ้าน..ออกค่ารถให้” พี่ชายวางแผนให้ แต่เราเป็นเด็กขี้อาย สุดท้ายก็ไม่กล้าทำ

ตั้งแต่ เด็กมาอยู่กับพี่ชาย ไม่รู้จักผู้หญิง คนมีความชอบมันก็อึดอัดใจ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร มันมีความทุกข์มาก ๆ เช้า มันมีความรู้ในใจ มันจำได้..เคยสัญญากับตัวเองว่า เราจะเรียนหนังสือให้จบก่อนจึงจะมีแฟน เรียนหนังสือให้จบก่อน ทำงานก่อน จึงค่อยมีแฟน มันถามแต่ว่า “ถ้าอย่างงั้นก็ไม่ต้องไปชอบเขา..ให้ความรู้สึกว่าชอบ มันละลายออกไปจากใจ”

จิตมันมีความรู้สึกว่าสบาย โล่ง..ไม่อึดอัด.. จิตที่มันชอบมีความอึดอัด แต่ตอนนั้นมันมีปัญญาว่า ถ้าอย่างงั้นก็ไม่ต้องชอบเขา เพราะว่ามันทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับใจ เป็นคนมีสัจจะ มันบอกว่า จะต้องเรียนหนังสือให้จบก่อน ทำงานจึงค่อยมีแฟน ตอนนี้ยังอยู่ในวันเรียน ถ้ายังงั้นก็ไม่ต้องชอบเขา ตอนเช้าขึ้นมาจิตใจโล่ง ปรอดโปร่ง จากนั้นไปเรียน ก็ไม่ได้รัก ไม่ได้ชอบ รู้สึกเฉยๆ ก็เป็นเพื่อนกัน อันนี้เป็นครั้งที่ ๑ พอครั้งที่ ๒ เราไปเรียนที่มหาวิทยาลัยหอการค้า

ตอนนั้นเพื่อนผู้หญิงเขามาชวนไปดูหนังด้วยกัน สองต่อสอง เราจะไม่ไปเพราะกลัวว่าจะไปหลงชอบเขา ก็เลยป้องกันตัวเอง จะให้เป็นแค่เพื่อน ตอนเรียนอยู่ปี ๓ ระหว่าง ที่นั่งรอเรียนช่วงบ่าย ใต้ถุนตึก มีนักศึกษาเดินเข้ามากลุ่มหนึ่ง ตาไปมองเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง ใจบอกว่าสวย กิเลสก็เกิดขึ้น กิเลสคิดไม่เหมือนเค้า ถ้าคนนี้สวยเกิน ๓ เดือน เราจะจีบทำความรู้จัก พอเค้าเดินผ่านไปก็ไม่ได้ตามไปดูว่าอยู่คณะไหน เรียนห้องไหน ไม่สนใจ อีกอาทิตย์หนึ่งเห็นเขาเดินมาอีก ก็มองดู วันนี้ไม่สวยละ วันนี้เขาเปลี่ยนผมทรงใหม่ ความสวยหายไป

พออีกครั้ง เจอคนใหม่อีก ก็คิดอีก ถ้าสวยเกิน ๓ เดือน จะจีบ คราวหลังเจออีก เอ๊ะ..วันนี้ไม่สวยแล้ว เพราะอะไร เขาเปลี่ยนชุดใหม่แล้ว แต่ตอนนั้นเราไม่รู้เป็นอะไร เราเห็นเป็นยังงี้ ปรากฏว่าไม่มีใครผ่านกติกาเรา ไม่มีใครเกิน ๓ เดือน เราก็เลยไม่ได้จีบใคร ไม่ได้ทำความรู้จักใคร ทีนี้พอเรียนจบปี ๔ ตั้งใจว่าจะไปเรียนต่อที่อเมริกา ที่รัฐโคโรลาโด้ เมืองเดนเวอร์ ไปเรียนผังเมือง เพราะตอนนั้น ๓๒ ปีที่แล้ว การจราจรที่กรุงเทพฯเริ่มติดขัด เราก็อยากจะเรียนเรื่องการวางผังเมือง ระหว่างนั้นกิเลสก็เกิดขึ้นมาอีก ถ้าเราไปเรียนหนังสือ เรียนปริญญาโท – เอก ก็ดี จบมาแล้วแต่งงานเลยหรือเปล่า ไม่ใช่ กิเลสบอกว่า ถ้าอย่างงั้นต้องทำความรู้จัก ก็เลยนึกถึงเพื่อนที่นิสัยดี ๆ มาซัก ๓ คน เราไม่เอาหมดทั้ง ๓ คนหรอก เราจะเลือก

มีกติกาในใจตนเองว่า ถ้าจะเลือกคู่ครอง จะต้องดูนาน ๓ ปี ๕ ปี คน ๆ นั้นจึงจะเป็นคู่ชีวิตของเรา เพราะเรามีสัจจะบารมี มีศีลบารมี ไม่หลอกลวงใคร ไม่ทำร้ายจิตใจใครเลือกแล้วต้องเป็นหนึ่งไม่มีสอง ให้เกียรติเขา เลือกผู้หญิง ๓ คน นั้นมา สมัยก่อนไม่มีโทรศัพท์มือถือ แต่ที่บ้านมีโทรศัพท์บ้าน ระหว่างที่จะเดินไปโทรศัพท์ ก็นึกถึงหน้าเขา พอหน้าเขาปรากฏ หนังตรงใบหน้าก็ลอกออก ลอกออก ลอกไป ลอกมา ไปห้อยอยู่ปลายคาง เหมือนกับจิ้งจกลอกคราบ เสร็จแล้ว น้ำเหลืองก็ไหลออกมาตามรูขุมขน บนใบหน้า เกิดสลดสังเวชมาก

แต่กิเลสก็ยังแรง มันบอกว่า คนนี้เห็นแบบนี้แล้วไม่อยากได้ ก็ยังมีคนที่สอง พอใบหน้าผู้หญิงปรากฏออก แค่ขณะจิตเดียว หนังก็ลอก ปุบ ปุบ ปุบ น้ำเลือดก็ไหลพุ่งออก อาบใบหน้า จิตก็สลดสังเวชลง แต่กิเลสก็ยังบอกว่า คนนี้ไม่เอา เอาคนใหม่ ก็เลยเดินจะไปโทรศัพท์อีก นึกถึงหน้าผู้หญิงคนใหม่อีก หนังก็ลอกอีก ห้องลงมาเป็นแผ่นบาง ๆ น้ำเลือดไหลอาบหน้า จิตสลดสังเวชมากเลย จิตมันรวมสลดสังเวชมาก มันบอกกับใจตนเองว่า ถ้าคนเป็นเช่นนี้ ฉันไม่ต้องการการครองเรือน ไม่ต้องการมีครอบครัว วาดฝันไว้ว่าจะเรียนหนังสือให้สูงที่สุด แล้วทำงาน แล้วมีครอบครัว พอเห็นแบบนี้ปั๊บ แล้วตัดไปเลยว่าจะไม่มีครอบครัว แล้วจะทำอย่างไรดีกับชีวิตของเรา ก็เลยบอกว่า จะเรียนหนังสือให้สูงที่สุด แล้วทำงาน ดูแลคุณพ่อ แต่ไม่มีครอบครัว แล้วทำไง ในระหว่างที่เรียนหนังสือก็จะรักษาศีล ๕ วันหยุดรักษาศีล ๘

ถ้ากลับมาแล้วทำงานทำยังไง? ถ้าทำงานก็รักษาศีล ๕ วันหยุดรักษาศีล ๘ ไปตลอดชีวิต แล้วถ้าพร้อมเมื่อไหร่ก็จะบวช คิดแบบนั้น เรื่องผู้หญิงมี ๓ วาระ ครั้งแรกอายุ ๑๖-๑๗ ปี ครั้งที่ ๒ อยู่มหาวิทยาลัยหอการค้า ครั้งที่ ๓ เมื่อเรียนจบ ก็พิจารณาจบแล้วสุดท้ายตอบไม่มีครอบครัว ตอบแทนบุญคุณพ่อ ช่วงนั้นกำลังรอที่จะไปเรียนต่อที่อเมริกา

พอดีคุณป้าเขาชวนไปถวายภัตตาหารพระ ถวายน้ำปานะตอนเย็น มีที่พักพระ เป็นน้าของท่านพระอาจารย์เปี๊ยก (พระอาจารย์ประสบไชย กันตสีโล วัดฟ้าคราม) ตอนเย็นนั่งคุยกัน ๓-๔ ทุ่ม คุยธรรมะกัน พอกลับมาบ้าน ๔-๕ ทุ่ม ไม่ง่วงนอน ไปเจอหนังสือธรรมะที่โยมพ่อวาง ไว้บนโต๊ะ ชื่อหนังสือ “พุทธธรรม” เราก็ไม่ง่วงนอน เราก็เลยเปิดหนังสือปั๊บ เปิดครั้งเดียวนะ เห็นเขาพิมพ์ไว้ว่า ปัจฉิมโอวาทของพระพุทธเจ้า เป็นภาษาบาลี-ไทย ทั้งสองหน้าเล่มใหญ่ ๆ เราก็อ่านภาษาไทย เพราะอ่านภาษาบาลีไม่ถนัด อ่านภาษาไทย แต่สติมันตั้งมั่นนะ สติมันจดจ่อ อ่านไปทีละคำ

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลาย จงตื่นพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด สังขารทั้งหลายมีความเกิดขึ้น และมีความเสื่อมสิ้นไปเป็นธรรมดา” พอมันอ่านจบ มันสลดสังเวช จิตมันสลดสังเวช แล้วมันพิจารณาว่า ชีวิตทุกคน มีเพียงแค่นี้เหรอ เกิดแล้วก็ตาย สังขารของเราทั้งหลายเนี่ย ที่สุดแล้วก็มีการแตกสลายเป็นธรรมดา เราก็อ่านไป อ่านจนจบเที่ยวสอง พออ่านเที่ยวที่สามจบ มันก็ว่าชีวิตมันมีเพียงแค่นี้เหรอ เกิดขึ้นมาแล้วแม้สังขารร่างกายเรานี้ ก็ไม่ล่วงพ้นความเสื่อม ความแก่ – ตาย ไปได้ จิตมันสลดสังเวชมาก มันก็เลยรู้..มันก็บอกใจเราเองว่า เราพร้อมแล้ว นับแต่นี้ไปไม่เกิน ๒ เดือน เราจะบวช เพราะว่าตอนนั้นติดปัญหา เรานัดหมอทำฟัน ยังไม่เรียบร้อย เพราะว่าเรากะว่า จะทำฟันก่อนไปเรียนต่อที่อเมริกา แต่มาตัดสินใจออกบวชก่อน แล้วคุณป้าก็แนะนำว่า ถ้าจะบวชก็บวชกับหลวงพ่อชาก็แล้วกัน นี่ย่อ ๆ นะ ก็บวชตอนอายุ ๒๒ ย่าง ๒๓ ปี

พอตัดสินใจบวช จิตของเรามันแปลก จิตมันเหมือนเป็นหนึ่งไม่มีสอง มันไม่อาลัย อาวรณ์ ในโลก ก่อนจะบวชถามตนเองเพื่อความแน่ใจว่า แน่ใจแล้วเหรอ จะมาอยู่ในเพศผ้ากาสาวพัสด์ กิเลสมันถามว่า
๑.ให้ทรัพย์สมบัติหมดทั้งโลก ยกให้เราแก่ผู้เดียว ห้ามการบวชเอาไหม ทดสอบใจของเรา เราว่าเราไม่เอา เราปรารถนาการบวช
๒.ให้มีอำนาจมากที่สุด สามารถทำอะไรก็ได้ ตามความพอใจ แต่ห้ามการบวช เราว่าเราไม่เอา
๓.ให้เลือกผู้หญิงได้ตามปรารถนา จะมีหนึ่งคน สิบคน ร้อยคนก็ได้ ให้เป็นของเราเพียงผู้เดียว แต่ห้ามบวช เราไม่เอา
อันนี้เราทุกคนต้องการลาภสักการะ อำนาจ ความสุขในกาม แต่เราไม่ปรารถนาเช่นนั้น

เรา มาอยู่กับหลวงพ่อชา เราไม่รู้จักองค์ท่าน แต่ไม่เห็นองค์ท่าน เราเชื่อในความมีเมตตา และมีปัญญาของท่าน เรามีความเชื่อว่าท่าเป็นพระปฏิบัติที่ดี ปฏิบัติชอบ เป็นครูบาอาจารย์ที่ดี อยู่ที่นั่น (วัดหนองป่าพง) ท่านก็สอน เราก็ต้องเป็นผู้ฉลาด ตาดู หูฟัง เราก็ศึกษาในหัวข้อวัตร – ปฏิบัติ ของวัดหนองป่าพง แล้วก็ศึกษาในเรื่องของธุดงค์วัตร เป็นเครื่องขูดเกลากิเลสให้เร่าร้อน เราก็น้อมนำมาประพฤติ ปฏิบัติของเรา ในส่วนตัวเราถูกจริตในธุดงค์วัตรข้อไหน เพราก็นำมาประพฤติปฏิบัติ อยู่ที่นั้นก็ ๒-๓ ฤดูแล้ง ไม่ได้จำพรรษา ตอนพรรษา ๓ หลวงพ่อชา ท่านให้จำพรรษาวัดหนองป่าพง แต่เราขอไม่อยู่ เพราะตอนนั้นพระหนองป่าพงประมาณ ๖๐-๗๐

การปฏิบัติของเราเข้มงวด ตั้งแค่บวชเป็นปะขาว มีนิมิตอสุภกรรมฐานมาช่วยคุมจิต พอเราบวชนิสัยปัจจัยเก่าก็ให้ผล มาผลักดันให้เรามาอยู่ในเพศกาสาวพัสก์ เพราะว่าเราปรารถนาทางโลก เรียนหนังสือให้สูง ทำงานมีครอบครัว แต่นิสัยปัจจัยเก่าผลักให้เรามาบวช เรามานึกย้อนหลัง ทำไมตอนเรียนมหาวิทยาลัยหอการค้า เราเห็นผู้หญิงวันนี้สวย วันนี้ไม่สวย เรามารู้ทีหลังว่า มันเป็นวิปัสสนาของเรา ที่เราเคยบำเพ็ญมาแต่อดีต เราเห็นความไม่เที่ยงของรูป จึงวางได้ และเคยบำเพ็ญอสุภกรรมฐานมา

พอเราบวช อสุภกรรมฐานเข้ามาคุมจิตใจของเรา ไม่ลำบากในกาม เดินจงกรม อสุภกรรมฐานปรากฏ นั่งสมาธิก็สงบได้ง่าย เกินจงกรมก็สงบได้ง่าย ๆ ในพรรษาแรก ในอิริยาบถปกติ เราไม่เคยเกิดอารมณ์กามราคะทั่วไป แต่สิ่งที่เกิดอารมณ์ ขอโทษที..เวลาจะเกิดอารมณ์กามราคะ เกิดได้ตอนเราเผลอสติในอิริยาบถทั่วไป ที่เกิดขึ้นมาโดยที่เราไม่ได้เห็นรูป หูไม่ได้ยินเสียง จมูกไม่ได้กลืน แต่เรามีสัจจะ มีขันติ

เราบอกกับใจตนเองว่า อารมณ์นี้จะไม่เกิดขึ้นเกิน ๕ นาที เราฝึกแบบนั้น เราฝึกความแคล่วคล่องของสติเรา พอมันเกิดขึ้นมาในใจ เอาสติ-ปัญญา พิจารณาละออกไป ไม่เกิน ๕ นาที เราจะได้ มันก็เลยเป็นเรื่องง่ายสำหรับเรา ในการพิจารณาละความยินดีในกามทั้งหลาย เรามีสัจจะ มีศีล เราเห็นทุกอารมณ์ที่มันเกิดขึ้น เราจะบอกในใจเราว่า จะไม่ให้เกิดขึ้นในใจเราเกิน ๕ นาที เราตั้งเวลา เรากำหนดภาพให้เป็นอสุภะ เรากำหนด ส่วนมากไม่เกินขณะจิตมันก็ลง เราฝึกมาอย่างนั้น

เมื่อเราตัดสินใจบวช ก็คิดว่าจะบวชอยู่ที่ป่า อยู่ที่ชนบท ตามเขา ตามถ้ำ ตามรอยของพระพุทธเจ้า เราไม่มีความรู้ในเรื่องพระปฏิบัติ พอดีรู้จักกับโยมคนหนึ่งที่เขามีจิตใจใฝ่ธรรมะ เขาเข้าวัดเป็นประจำ ก็เลยมีโอกาสคุยกับอุบาสิกาคนนั้น ป้าเขาถามว่าหนูจะบวชวัดไหน ตอบว่า จะบวชวัดป่า จะไม่อยู่ในเมือง แต่เราไม่รู้จักพระ ไม่รู้จักครูบาอาจารย์ แต่เราตั้งความหวังไว้ว่าเราจะบวชตลอดชีวิต ป้าเขาแนะนำครูบาอาจารย์ให้เรา ๒ องค์ คือ หลวงพ่อชา กับหลวงตามหาบัว เราไม่รู้จักทั้งสองท่าน ก็เลยถามป้าท่านว่า
๑.วัดหลวงพ่อชากับหลวงตามหาบัวเป็นวัดป่าหรือเปล่า
๒.การบวชเป็นแบบเรียบง่ายหรือพิธีกรรมมาก
๓.มีการปลุกเสกพระเครื่อง มีการบูชา เครื่องรางของขลัง หรือว่าเป็นพุทธพาณิชย์

ป้าเขาตอบว่าเป็นวัดป่า บวชแบบเรียบง่าย ไม่เป็นพุทธพาณิชย์ ก็ตรงกับที่เรามีกฎเกณฑ์ในการบวช ทีนี้ที่เราเลือกหลวงพ่อชา เพราะโยมพ่อของเราเป็นคนอุบลฯ ขณะที่จะบวชท่านไปทำธุรกิจอยู่ที่นั่น เราก็เลยคิดว่า ถ้าบวชอุดรธานี พ่อเราจะไปหาลำบาก แต่ถ้าอยู่อุบลราชธานี เขาก็สามารถเห็นหน้าเราให้คลายความคิดถึงบ้าง ก็เลยตัดสินใจไปพบหลวงพ่อชา ท่านเข้าพิธีอุปสมบท เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๑ ณ พระอุโบสถวัดหนองป่าพง โดยมีพระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท) เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาทางพุทธศาสนาว่า “ถิรจิตฺโต” อันมีความหมายว่า “ผู้มีจิตอันตั้งมั่น มั่นคงดีแล้ว”

พรรษาแรก หลวงพ่อชา ส่งไปจำพรรษาที่วัดบึงเขาหลวงกับหลวงพ่อจันทร์ ออกพรรษากลับมาอยู่วัดหนองป่าพง

พรรษาที่ ๒ ไปอยู่ ที่วัดป่าเมืองสวรรค์ อ.น้ำยืน กับพระอาจารย์หนูแดง ออกพรรษาแล้วกลับมาอยู่วัดหนองป่าพง

พรรษาที่ ๓ จำพรรษาสำนักปฏิบัติธรรม ต.พุ่มพุด อ.บ้านหมี่ หน้าแล้งมาอยู่ที่วัดฟ้าคราม ตอนนั้นเป็นที่โล่ง ไม่มีบ้านคน มีที่ประมาณ ๕ ไร่ อยู่ที่นี่ ๔ ปี จากนั้นจึงเดินทางไปตั้งสำนักสงฆ์มาบจันทร์ (วัดมาบจันทร์ในปัจจุบัน) กับท่านพระอาจารย์อนันท์ อกิญจโน และสามเณร ๑ รูป ปักกลดอยู่ อยู่ที่นี่ได้ ๕ ปี

ปี พ.ศ. ๒๕๓๓ ออกไปวิเวกที่ป่าเขาใหญ่ ๒ เดือนครึ่ง และ ได้เดินทางเข้ามาอยู่ที่วัดบุญญาวาส วันที่ ๒๐ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๓๓ อยู่เพียงรูปเดียว ภาวนาเงียบ ๆ อยู่ ๒ ปีครึ่ง พอปีพ.ศ. ๒๕๓๕ ครอบครัวของโยมสุวารี ถวายที่ดิน ๒๐๐ ไร่ ให้ทำเป็นที่พักสงฆ์ พิจารณาดู ถ้าไม่รับเขาก็จะทำสวนยาง สวนปาล์ม ถ้ารับไว้จะมีข้อดี ๓ ข้อ
๑.ป่าจะอยู่ได้ ๒๐๐ ไร่
๒.สัตว์หลายพันชีวิตก็อยู่ได้ อย่างพวกนก กระแต อีเห็น ชะมด พังพอน กระต่าย ไก่ป่า ฯลฯ
๓.จะเป็นที่สืบพระพุทธศาสนาได้

พอปี พ.ศ.๒๕๓๖ ได้ไปช่วยเตรียมจัดงานศพหลวงพ่อชา ที่วัดหนองป่าพง ได้พบหมู่คณะ หมู่คณะอยากมาปฏิบัติอยู่ด้วย ได้สอบถามความพร้อมในการจัดเตรียมทำกุฏิ ญาติโยมมีความยินดีพร้อมเพรียงกัน ก็เลยเริ่มสร้างเป็นที่พักสงฆ์..เป็นสำนักสงฆ์..ประมาณปี พ.ศ.๒๕๔๖-๒๕๔๗ จึงเป็นวัดขึ้นมา พ่อของโยมสุวารี ได้ถวายที่สร้างโบสถ์อีก ๔๐ ไร่ น้องชายโยมสุวารีถวาย ๒๐ ไร่ รวมเป็น ๒๖๐ ไร่ ล้อมรั้วทั้งหมด

พอปีพ.ศ.๒๕๕๑ ท่านพระอาจารย์ตั๋น อาพาธป่วยเป็นมะเร็งสำไส้ใหญ่ ขั้นที่ ๓ รักษาตัวเองอยู่ปีหนึ่ง เข้าโรงพยาบาล ๒๒ ครั้ง ผ่าตัด ๔ ครั้ง ให้เคมีบำบัด ๑๒ ครั้ง ตัดสำไส้ไป ๕ ฟุต พักฟื้นรักษาตัวปีหนึ่ง ตรวจหาเชื้อมะเร็งไม่เจอ ตอนที่อาพาธ มีโยมคนหนึ่งอยู่ที่กรุงเทพฯ กลัวว่าเราจะอายุไม่ยืน จึงได้ถวายเงินเพื่อสร้างเจดีย์ต่ออายุ แต่ที่ดินของวัด ๒๖๐ ไร่ มีเสนาสนะ ซ่อนอยู่ในป่ามากประมาณ ๖๐ กว่าหลัง กำลังสร้างใหม่เพิ่มอีก ๕ หลัง ไม่มีสถานที่สร้างเจดีย์ โยมสุวารีถวายอีก ๑๐๐ ไร่ น้องชายโยมสุวารีถวายอีก ๔๐ ไร่ ที่ดินวัดปัจจุบันทั้งหมดเลยก็ประมาณ ๔๐๐ ไร่

ชมภาพบรรยากาศ"พิธีหล่อพระพิชิตมาร วันมาฆบูชา ณ วัดบุญญาวาส" ได้ที่ลิงค์
https://m.facebook.com/thindham/albums/909194715797737/?ref=bookmark

ชมภาพบรรยากาศ “พิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พระอรหันตธาตุ ณ พระบุญญาวาสเจดีย์” ได้ที่ลิงค์
https://www.facebook.com/thindham/media_set?set=a.416383111745569.116804.100001216522700&type=3

>> Suchart Good G+