ผู้เขียน หัวข้อ: ปรุงชีวิตให้กลมกล่อม แบบ พล ตัณฑเสถียร  (อ่าน 1846 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด



ปรุงชีวิตให้กลมกล่อม แบบ พล ตัณฑเสถียร

เชื่อไหมว่า นอกจากเราจะปรุงรสชาติอาหารให้ถูกปากลงตัวแล้ว “ชีวิต” ก็ปรุงรสได้เช่นกัน และไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกว่าที่จะกลมกล่อมเป็นที่ยอมรับทั้งกับตนเองและคนรอบข้างอย่างที่ผู้ชายคนนี้ได้ทำและสำเร็จ

พล ตัณฑเสถียร นักแสดงหนุ่มมาดเนี้ยบ เป็นที่รู้จักครั้งแรกด้วยบทบุตรชายโกโบริ จากภาพยนตร์เรื่อง
คู่กรรม 2 เมื่อปี 2539 และโด่งดังอย่างมากด้วยบทนักการเมืองไฟแรง จากละครเรื่อง จินตปาตี ในปีเดียวกัน

แม้พลจะจบการศึกษาจากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ MBA จากสหรัฐอเมริกา แต่ด้วยความรักและชื่นชอบในงานศิลปะทุกแขนงประกอบกับความเชื่อที่ว่า งานศิลปะจะมีคุณค่าก็ต่อเมื่อคนสัมผัสได้ เป็นผลให้งานในปัจจุบันของพลเน้นหนักไปทางด้านอาหารและโภชนาการ

พลเป็นเจ้าของร้านอาหาร Spring Summer นอกจากรับหน้าที่เป็นพ่อครัวใหญ่ (บางครั้ง) แล้ว ยังทำหน้าที่เป็นวิทยากรพิเศษ คอลัมนิสต์ รวมถึงทำรายการโทรทัศน์เชิงวาไรตี้ ซึ่งล้วนเป็นงานบริการและให้ความรู้ทางอาหารอย่างที่ใจรัก

เติบโตและแข็งแรงจากแรงต้าน

ตั้งแต่เด็กจนถึงวัยรุ่น พลเป็นคนเอาแต่ใจตัวเองมากๆ อยากได้อะไรต้องได้เดี๋ยวนั้น เมื่อไม่ได้ดั่งใจจะอาละวาดทันทีทั้งคำพูดและการกระทำ โดยไม่เคยคิดถึงความรู้สึกใคร คิดเพียงว่า “ทุกคนต้องทำเพื่อฉัน” ช่วงนั้นพลจึงเสียเพื่อนดีๆ คนที่รักเราด้วยความจริงใจไปจนเกือบหมด จนอยู่มาวันหนึ่งก็ถามตัวเองว่า “เอ๊ะ ทำไมเราถึงไม่มีเพื่อน ไม่มีคนที่รักเราเลย” พลคิดครู่หนึ่งก็ได้คำตอบว่า “ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงตนเอง ชีวิตนี้คงต้องเสียของรัก เสียคนรอบข้างที่หวังดีกับเราไปอีกไม่รู้เท่าไร” คนรอบข้างจึงเป็นแรงต้านและกระจกเงาชั้นดีที่ทำให้พลเปลี่ยนมาใส่ใจกับเรื่องความรู้สึกมากขึ้น เพราะได้รู้แล้วว่าความรู้สึกเป็นสิ่งที่บอบบาง มีค่า และมีความสำคัญแม้จะมีเงินมากแค่ไหนก็หาซื้อไม่ได้

ลูกน้องทุกคนในรั้ว Spring Summer นับเป็นแรงต้านชั้นดีที่ทำให้พลเติบโตและแข็งแรงมากยิ่งขึ้นในด้านความคิด ได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างจากพวกเขา โดยเฉพาะการยอมรับและเข้าใจในฐานะนายที่ดี เพราะพลเชื่อตามที่ผู้ใหญ่คนหนึ่งสอนไว้ว่า “ว่าวจะขึ้นที่สูงไม่ได้หรอก ถ้าไม่มีลมต้าน” แต่เราต้องระวังด้วยว่า ถ้าแรงต้านทั้งสองฝ่ายมากเกินไป เราไม่ฟังเขา เขาไม่ฟังเรา ที่สุดแล้วสายป่านว่าวก็ขาด ว่าวไม่สามารถไปถึงไหนได้ และถ้าเป็นเช่นนั้น…ร้านของพลก็คงไม่มีวันนี้


ค้นพบและรู้จักการให้อย่างแท้จริง

หลายปีที่ผ่านมา พลไม่เคยเข้าใจความหมายของการให้อย่างแท้จริงเลย จนระหว่างการบวชที่วัดราชโอรสารามราชวรมหาวิหาร ครั้งนั้นพลได้เรียนรู้ศาสนาและฝึกปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังจึงทำให้เข้าใจและรู้จักคำคำนี้  สองวันแรกของการปลีกวิเวก เชื่อไหมว่า “พลกินอาหารไม่ได้เลยทั้งสำรับคาว – หวาน” จนวันที่สาม เพียงครั้งแรกที่ได้เห็นสำรับอาหาร พลถึงกับร้องไห้ด้วยความเสียใจอย่างมาก เพราะในสำรับเต็มไปด้วยอาหารที่พลชอบ รายละเอียดเหล่านี้เป็นเรื่องเฉพาะที่ไม่มีใครรู้นอกจากคนรอบข้างพลจริงๆ

นั่นแสดงให้เห็นว่า แม่ครัวเป็นห่วงพลมากแค่ไหน เพราะเขาต้องโทรศัพท์กลับไปถามคนรอบข้างพลหลายๆ คน เพื่อให้ได้อาหารที่พลชอบ แม้จะทำไม่เป็น เขาก็พยายามทำสุดฝีมือ เพราะกลัวว่าพลจะไม่กินข้าวอีก

“แม่ครัวคนนั้นเป็นใคร เขาไม่ได้เป็นอะไรกับเราเลย” แต่เหตุผลของเขามีเพียงสั้นๆ ว่า เต็มใจให้ นับเป็น การให้ ที่พลรู้จักและเข้าใจจริงๆ เป็นครั้งแรก เป็นการให้ที่ไม่ใช่เพื่อหน้าตาหรือ ชื่อเสียงของตนเอง แต่เป็นการให้เพื่อความสุขของผู้รับ

ครอบครัวจิตรโภชนา สร้างพ่อครัวชื่อ พล

สองสัปดาห์ก่อนหน้าที่พลจะเปิดร้าน Spring Summer นับเป็นอีกครั้งหนึ่งที่พลได้รับความช่วยเหลือจากคนที่ไม่รู้จัก ครั้งนั้นพลประสบปัญหาขาดพ่อครัว พลเองก็ยังทำอาหารได้ไม่เก่ง แต่โชคดีที่มีคนแนะนำให้รู้จักกับครอบครัวร้านจิตรโภชนา จึงได้รับการช่วยเหลือจากพ่ออู๊ด (คุณเฉลิมพล ชาญวิเศษ) และต้น (คุณสุทัศน์ชาญวิเศษ) เป็นอย่างดี ทั้งสองท่านร่วมกันสอนพลทำอาหาร ให้คำแนะนำและช่วยอบรมคนครัวให้พลเป็นระยะเวลากว่าหนึ่งเดือนอย่างเต็มที่และเต็มใจทำให้พลสามารถเปิดร้านได้ในเดือนต่อมา ครอบครัวจิตรโภชนาจึงสอนให้พลรู้ว่า “การให้มีอยู่จริง และเมื่อรับมาแล้วต้องให้ต่อกับคนอื่นๆบ้าง โดยไม่จำเพาะเจาะจงตัวบุคคล”

ทุกวันนี้พลจึงมองว่าทุกคนในธุรกิจอาหารคือ “เพื่อน” ที่เราพร้อมจะให้ความช่วยเหลือเสมอ และคิดเพียงว่าแค่เขาไว้วางใจพล คิดว่าพลเป็นเพื่อน…แค่นั้นก็ขอบคุณแล้ว

เพราะเราคือครึ่งหนึ่งของพ่อ

คุณพ่อ (คุณสินธุ์ ตัณฑเสถียร) เป็นต้นแบบความเป็นผู้นำให้พล ดังประโยคหนึ่งที่พลยึดไว้ประจำใจว่า “การที่เราจะเป็นผู้นำ หากเกิดอะไรขึ้น เราต้องยอมรับ พร้อมเจ็บก่อน จะให้คนที่ตามหลังเราเจ็บไม่ได้”

คุณพ่อยึดมั่นในการทำความดีเสมอ และสามารถทำโดย ผ่าน ตัวเราซึ่งเป็นครึ่งหนึ่งของพ่อและแม่ ซึ่งไม่ว่าเราจะทำสิ่งต่างๆ นี้มากเท่าไร ก็ยังถือเป็นเรื่องเล็กน้อยมากๆ เมื่อเทียบกับความรักความใส่ใจที่ท่านทุ่มเทเลี้ยงดูเรามา ดังนั้นเวลาพลจะทำอะไร พูดอะไร หรือแม้แต่คิดอะไร พลจะเตือนตัวเองเสมอว่า “เราต้องทำตัวให้มีคุณค่า ทำความดีให้ได้มากๆ เพราะเราคือครึ่งหนึ่งของพ่อ”

หากพื้นฐานของอาหารต้องมีความกลมกล่อมด้วยการปรุงที่พอเหมาะพอดี ชีวิตของผู้ชายชื่อพล ตัณฑเสถียรก็เช่นกัน หลายปีที่เลยผ่าน ทำให้เขาได้เรียนรู้การปรุงชีวิตอย่างแท้จริง เริ่มต้นจากรสนี้ขาด รสนั้นเกิน ต้องปรับเติมใส่สิ่งต่างๆ ลงไปทีละเล็กทีละน้อยกว่าจะได้ชีวิตที่มีรสกลมกล่อมอย่างเช่นทุกวันนี้


จาก http://www.goodlifeupdate.com/44270/healthy-mind/pol/
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...