ผู้เขียน หัวข้อ: พระพุทธศาสนา ใน อินโดนิเชีย  (อ่าน 1933 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
พระพุทธศาสนา ใน อินโดนิเชีย
« เมื่อ: ธันวาคม 14, 2017, 09:07:11 am »
 :13:







พุทธศาสนาในอินโดนีเซียที่เพิ่งได้รับการฟื้นฟู แบ่งเป็น ๒ ฝ่าย คือฝ่ายมหายาน และเถรวาท มีพระเถระที่น่าเคารพหลายท่าน แต่ผมขอยกตัวอย่าง ๒ ท่าน คือ ท่านอะฉิ่น ชินะรักขิต และท่านสุธัมโม

 อะฉิ่น ชินะรักขิต มีเชื้อสายจีนเริ่มบวชในฝ่ายมหายาน นิกายฉาน (เซน) ต่อมาไปบวชซ้ำฝ่ายเถรวาทที่พม่า เป็ยนศิษย์ของท่านมหาสี สยาดอ ครูบาอาจารย์สายวิปัสสนาของพม่า ได้ฉายาว่า อะฉิ่น ชินะรักขิต ต่อมาท่านกลับมาเผยแพร่ศาสนาหลังอินโดนีเซียได้รับเอกราช และเริ่มผสานนิกายต่างๆ เป็นเอกภาพ เรียกว่า "พุทธยาน" ท่านมีความรู้ทั้งสายมหายาน เถรวาท และวัชรยาน

 ในทางโลกท่านเป็นผู้ส่งเสริมให้พุทธศาสนาได้รับการรับรองจากรัฐบาล สร้างเอกภาพระวห่างนิกายต่างๆ ในทางธรรมชื่อกันว่าท่านบรรลุภูมิธรรมชั้นสูง เนื่องจากสรีระของท่านกลายเป็นพระธาตุหลังปลงสังขารแล้ว

 อีกท่านที่ควรค่าแก่การกล่าวถึงคือ ท่านสุธัมโม เป็นชาวเกาะมาดูรา เดิมท่านนับถือศาสนาอิสลาม แต่เกิดความกังขาว่าใครเป็นผู้สร้างโลกขึ้นมา แต่ก็ไม่่ได้คำตอบที่น่าพอใจ กระทั่งน้องสาวของท่านตาย ทำให้เกิดคำถามในใจว่าชีวิตคืออะไร ทำไมพระเจ้าสร้างมนุษย์และสัตว์ขึ้นมาแล้ว มากทำให้เขาเหล่านั้นต้องตายอีก แต่ไม่มีใครสามารถให้คำตอบเหล่านี้แก่ท่านได้ท่านได้เฝ้าคิดเรื่องนี้อยู่เรื่อยมา

 ต่อมาท่านเดินทางไปเกาะชวา ได้เรียนวิชาไสยศาสตร์กับนักบวชศาสนาดั้งเดิม ท่านขอให้อาจารย์สอนนั่งสมาธิแต่อาจารย์ไม่ยอม ท่านจึงหนีเข้าป่าไปเพื่อค้นหาความจริงแห่งชีวิตตามลำพัง ต้องอดอาหารถึง ๓ วัน สุดท้ายกินใบไม้เป็นอาหารนาน ๔ ปีครึ่งตลอดเวลาที่อยู่ในป่า

 (ถึงตอนนี้ผมขอยกเนื้อหาทั้งหมดจากเรื่อง "พระสุธัมโม ชาวอินโดนีเซีย" เขียนโดยพระธรรมวิสุทธิกวี (พิจิตร ฐิตวัณโณ)

 -----------------------------------------

 ในระยะ ๖ เดือนแรกที่เข้าไปอยู่ในป่า ได้พยายามสวดมนต์อ้อนวอนพระเจ้าให้มาช่วย และให้คำตอบข้อที่ตนสงสัยอยู่ แต่ไม่ได้ผลอันใดเลยท่านจึงเลิกเชื่อถือในพระเจ้าอาหล่าแล้วหันมาสนใจตัวเอง ตรึกตรองว่าทำไมตัวเองบางครั้งจึงโกรธ ทำไมต้องหิว ทำไมต้องง่วง ใครเป็นตัวทำให้โกรธใครทำให้หิว และใครทำให้ง่วง

 เมื่อ ๖ เดือน ผ่านไปแล้ว ได้มีเทพยดา ๒ องค์ มาปรากฏแก่ท่านซึ่งหน้าตาก็คล้ายมนุษย์ มายืนอยู่ตรงหน้า เท้าไม่จดพื้น โดยลอยอยู่ในอากาศเหนือพื้นดิน รูปร่างใหญ่โตและสูงมาก แต่เทพทั้ง ๒ องค์นี้มาต่างวาระกัน โดยมาสอนวิธีทำกรรมฐานแก่ท่าน ท่านก็ปฏิบัติตาม เมื่อท่านเลิกปฏิบัติตามวิธีขององค์แรกเพราะไม่ได้ผล องค์ที่สองก็เข้ามาปรากฏสอนให้ท่านเพ่งกสิณ โดยไม่ให้เคลื่อนไหวดวงตา ท่านปฏิบัติวิธีนี้อยู่ถึง ๖ เดือน จนตาพร่าลาย เมื่อไม่ได้ผลก็เลิกไปที่สุด

 เมื่อ ๑ ปีผ่านไป ก็มีเทพธิดา ๒ องค์มาปรากฏแก่ท่านบอกชื่อตนเองแก่ท่านว่า ตนเองชื่อส่า สกาสารี เป็นผู้พี่ ส่วนน้องสาวนั้นชื่อว่า สการอารัม ครั้งแรกก็มาในฐานะมิตร แต่ภายหลังท่านทราบว่านี้คือมาร หาใช่มิตรไม่ ท่านก็เลิกคบ ธิดามารทั้งสองก็ตั้งตนเป็นศัตรูและส่งปีศาจพรรคพวกมาก่อกวนหลอกหลอนต่าง ๆ ทำเสียงน่ากลัวมากในกลางคืนจนท่านนอนไม่หลับ ในที่สุดท่านก็ตั้งจิตอธิษฐานนั่งสมาธิตั้งแต่ตอนเที่ยงคืนว่า “ถ้าอมนุษย์เหล่านี้ไม่หายไปแล้ว ท่านจะไม่ยอมลุกขึ้น” จนถึงรุ่งเช้า อมนุษย์เหล่านั้นก็หายไปสิ้น และใจของท่านสงบและมีพลังมากจากการนั่งสมาธิในคืนวันนั้น

 ต่อมาวันหนึ่ง เวลาประมาณ ๔ โมงเย็น ขณะที่ท่านนั่งอยู่ในป่าแห่งนั้นก็มีลมพัดเข้ามาปะทะตัวท่านอย่างแรง แล้วลมนั้นก็เปลี่ยนมาเป็นแสงคล้ายแสงฟ้าแลบ แล้วปรากฏมีชายคนหนึ่งมายืนอยู่ข้างหน้าท่านแต่ยืนอยู่ในอากาศ เท้าไม่จดพื้นดินห่างจากพื้นประมาณ ๑ ศอก ท่านบอกว่ามีรูปร่างสวยงามน่าดูมาก และมีแสงสุกใสออกจากตัว สักครู่หนึ่งรูปนั้นก็หายไป กลับได้ยินแต่เสียงออกมาเป็นภาษาชวาว่า “เราจะมาสอนท่านให้ปฏิบัติสมาธิโดยจะสอนแนวทางที่ถูกต้องให้” แล้วสั่งให้ท่านนั่งหันหน้าไปทางทิศตะวันออก เพราะทิศตะวันออกเป็นที่มาของความสว่างและบอกว่าการทำสมาธิที่ถูกต้องนั้น จะต้องมีคุณธรรม ๓ ประการ คือ ความเพียร ความอดทน และสติ ถ้าได้ ๓ อย่างนี้ จะสามารถทำให้เกิดทิพยจักษุ (ตาทิพย์) ได้ แต่ท่านไม่ยอมเชื่อเพราะเคยมีประสบการณ์ที่ถูกธิดามารหลอกมาแล้ว

 ท่านจึงบอกไปทางเสียงนั้นว่า “ข้าพเจ้าไม่เชื่อท่านดอก” แล้วก็มีเสียงตอบมาว่า “ทำไม่ไม่เชื่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามีความเอ็นดูสงสารท่าน ท่านได้รับความลำบากเพราะการรบกวนของมารแล้ว ข้าพเจ้าจะมาช่วยท่านและสอนท่านในทางที่ถูก”

 แม้เสียงจะกล่าวยืนยันออกมาเช่นนั้น ท่านก็ไม่ยอมเชื่อ เพราะท่านถือว่าท่านเองก็มีอำนาจวิเศษอยู่ในตัวเหมือนกันซึ่งใช้ได้ผลมาแล้วในคราวผจญมาร ท่านจึงได้พูดออกมาว่า “ถ้าท่านสามารถโจมตีข้าพเจ้าด้วยอำนาจของท่านได้แล้ว ข้าพเจ้าจะยอมเชื่อ”

ในทันใดนั้นเอง ก็มีลมพัดอย่างแรง ปะทะตัวท่านลอยขึ้นไปกระแทกกับต้นไม้ถึง ๓ ครั้ง จนมีเลือดออกมาจากหลังของท่าน และท่านก็ไม่เอาจเคลื่อนไหวตัวได้ เพราะความเจ็บปวดจึงต้อมยอมแพ่ แล้วบอกไปยังเสียงนั้นว่า “ ข้าพเจ้ายอมเชื่อท่าน”

ต่อจากนั้น เทพเจ้าผู้มีอำนาจนั้น ก็กล่าวกับท่านว่า “ผู้เริ่มปฏิบัติสมาธิจะต้องไม่ปฏิบัติต่อสิ่งที่เป็นปฏิปักษ์ต่อใจของตนในการมาอยู่ที่นี้ท่านจะต้องได้รับอนุญาตและได้รับพรจากมารดาบิดาของท่านเสียก่อน เพราะท่านมาที่นี้ยังไม่ได้รับอนุญาติมาจากมารดาบิดาของท่าน และท่านจะต้อง เคารพมารดาบิดาของท่านเพราะท่านทั้งสองเป็นผู้ใให้กำเนิดเลี้ยงดูตัวท่านมาตั้งแต่เล็ก” ท่านก็ตอบไปว่า “เป้นไปไม่ได้ เพราะมารดาบิดาของข้าพเจ้าอยู่ไกลจากที่นี้ถึงประมาณ ๑,๐๐๐ กม.”

มีเสียงตอบว่า “ไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าท่านไปแต่เพียงกายอย่างเดียวก็ยังไม่เชื่อว่าเคารพมารดาบิดาที่ถูกต้อง เพราะความสำคัญในการเคารพอยู่ที่ใจ”

ท่านพูดว่า “ข้าพเจ้ายังเชื่อท่านไม่ได้” เทพเจ้าตอบมาว่า “ถ้าไม่เชื่อจงนั่งลง” และเมื่อท่านนั่งลง มารดาบิดาของท่านก็ปรากฏอยู่ต่อหน้าท่านด้วยอำนาจเทพเจ้าบันดาล และตัวท่านก็ลุกขึ้นไปกราบท่านทั้งสองด้วยความเคารพ โดยกราบถึง ๓ ครั้ง แบบชาวพุทธกราบ การทำเช่นนี้เป็นไปโดยอัตโนมัติเพราะท่านเองก็ไม่ร็จักวิธีกราบแบบชาวพุทธมาก่อนเลย หลังจากนั้นใจของท่านก็แจ่มใสมาก

ต่อจากนั้น เทพเจ้าก็เริ่มสอนวิธีทำสมาธิแก่ท่าน โดยในครั้งแรกนิรมิตดวงเทียนให้ท่านเพ่งดวงเทียนนั้น (เตโชกสิณ) จนจิตของท่านสงบเป็น เอกัคคตารมณ์ และสามารถขยายดวงเทียนนั้นให้มีแสงสว่างเหมือนดวงดาว ดวงจันทร์ และเหมือนดวงอาทิตย์ นับว่าแปลกมาก

เมื่อท่านสำเร็จการทำเตโชกสิณแล้ว เทพเจ้าก็สอนให้ทำ อาโปกสิณ (เพ่งน้ำ) ปฐวีกสิณ (เพ่งดิน) วาโยกสิณ (เพ่งลม) และพิจารณาร่างกระดูก (อัฏฐิกรรมฐาน) ตามลำดับ โดยนิรมิตสิ่งเหล่านี้มาให้ปรากฏแก่ท่าน สอนวิธีภาวนาและวิธีกำหนด จนท่านชำนาญกรรมฐาน ทั้ง ๕ ประเภท แต่กรรมฐานทั้ง ๕ ประเภทนี้ แต่ละอย่างท่านต้องใช้เวลาฝึกนานถึง ๖ เดือนเต็ม รวมแล้วท่านฝึกรรมฐาน ๕ อย่างนี้อยู่ถึง ๒ ปีครึ่ง แล้วในที่สุดเทพเจ้าองค์นั้นสรุปให้ฟังว่า “ร่างกายของท่านมาจากธาตุทั้ง ๔ อย่าง คือมาจากดิน น้ำ ไฟ ลม และท่านควรสนใจในร่างกระดูก”

เมื่อท่านมาคิดไตร่ตรองดูก้ทราบชัดว่า ร่างกายของท่านเป็นเช่นนี้ และมาพิจารณาร่างกระดูกอย่างลึกซึ้ง จนกระทั่งว่ามันหลุดออกเป็นชิ้น ๆ แล้วในที่สุดก็กลายเป็นธาตุทั้ง ๔

ต่อจากนั้นก็มีเสียงดังออกมาว่า “ขณะนี้ท่านมีความชำนาญในการทำสมาธิแล้ว ถ้าท่านต้องการมีความก้าวหน้าในการทำสมาธิเพิ่มขึ้น ก็ขอให้ท่านจงออกจากป่าแห่งนี้ พยายามสืบหาคำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะข้าพเจ้าสามารถสอนท่านได้แค่นี้ ไม่อาจจะสอนท่านให้ก้าวหน้ายิ่งไปกว่านี้”

พอได้ฟังดังนั้น ท่านก็ตั้งใจที่จะออกจากป่าแต่ใจ ของท่านยังมีความลังเลอยู่ แล้วก็มีเสียงดังออกมาว่า “ท่านจงไปสืบคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เมืองสุราบายา ณ ที่นั้น ท่านจะพบกับชาวจีนผู้รู้คำสอนของพระพุทธเจ้า”

แต่ท่านก็ยังสงสัยอีกว่า “ในเมืองสุราบายามีคนพูดเรื่องสุญญตากันมากฉันไม่เข้าใจเรื่องสุญญตาเลย คงตายเสียดีกว่า” ก็มีเสียงดังออกมาอีกว่า “ถ้าท่านอยากทราบเรื่องสุญญตาก็ให้นั่งสมาธิ แต่จงอย่าหลับตา เริ่มตั้งแต ๖ โมงเย็นไปจนถึงเที่ยงคืน” ท่านนึกกระหยิ่มอยู่ในใจว่า เรื่องนั่งชั่วระยะเวลาเพียงเท่านั้นรู้ง่ายมาก เพราะท่านเคยนั่งมากนานกว่านี้เสียอีก แต่พอเริ่มนั่งเข้าจริง ๆ ประมาณ ๑๐ นาทีเท่านั้น ท่านก็หลับผล็อยไปเลย ไปตื่นเอาตอนเช้าของวันใหม่ แล้วก็ถูกต่อว่าจากเทพเจ้าว่า “ก็ไหนท่านว่าต้องการรู้จักสุญญตา แต่ทำไมมานั่งหลับเสียละ” ท่านรู้สึกละอายมาก ไม่รู้มันหลับไปได้อย่างไรแล้วคืนต่อไปเทพเจ้าสั่งให้ท่านทำใหม่ โดยบอกว่า “คราวนี้เริ่ม ๖ โมงเย็นไปจนถึงตี ๑ อย่าได้หลับ” ท่านจงตั้งใจนั่ง แต่พอนั่งไปประมาณ ๕ นาทีเท่านั้น ก็หลับผล็อยไปเช่นเดิม มาตื่นเอารุ่งเช้าของวันใหม่อีก ท่านรู้สึกละอายและขัดใจตัวเอง พูดกับตนเองว่า “ถ้าไม่รู้จักสุญญตา ก็จะนั่งสมาธิให้ตายอยู่ในป่าแห่งนี้” แล้วเทพเจ้าก็พูดให้กำลังใจขึ้นว่า “ท่านมีโอกาสอีกครั้งหนึ่งในคืนนี้ แต่จ้องนั่งตั้งแต่ ๖ โมงเย็นไปจนถึงตี ๒” คราวนี้ท่านระวังตัวมาก เพราะเกรงว่าจะหลับอีก จึงได้ตัดไม้เรียวมาอันหนึ่งตั้งไว้ข้างตัว พอทำท่าจะหลับท่านก็เอาไม้เรียวฟาดเข้าที่หัวของท่าน บางที่ก็ตามลำตัว บางทีก็ตามขา ง่วงทีไรฟาดทุกทีจนรู้สึกเจ็บปวดไปทั่วร่าง จึงสามารถทรงตัวอยู่ได้ไม่หลับจนถึงตี ๒ แล้วก็มีเสียงดังออกมาว่า “ท่านนี้ฉลาดมาก” “ใช่แล้วข้าพเจ้าต้องการจะเอาชนะความคิดของท่าน” ท่านพูดขึ้น

ต่อจากนั้นเทพเจ้าก็สั่งให้ท่านนั่งติดต่อกันไป จนกระทั่ง รุ่งเช้าของวันใหม่ ในการนั่งช่วงสุดท้ายนี้ ท่านได้เห็นสิ่งแปลกมากที่สุดในชีวิต คือสามารถมองเห็นวิญญาณมาปฏิสนธิในครรภ์มารดาของท่าน แล้ววิญญาณนั้นเมื่อผสมกับไข่ และสเปอร์มแล้วก็ค่อยเติบโตขึ้นมาจนเป็นตัวของท่านเอง แล้วเทพเจ้าก็พูดขึ้นว่า “การที่คนต้องเกิด ๆ แล้วตาย ๆ แเล้วเกิดอยู่นี้แหละ คือสุญญตา แต่ข้าพเจ้าไม่สามารถสอนท่านให้ได้มากไปกว่านี้ ขอให้ท่านจงพยายามไปแสวงหาคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วจงนับถือพระพุทธศาสนา”

ท่านได้พูดกับนักเขียนในตอนหนึ่งว่า “เทพเจ้าที่เป็นครูของผมนั้นอย่างน้อยน่าจะเป็นพระโสดาบัน เพราะเข้าใจพระพุทธศาสนามาก”

ในที่สุดปี พ.ศ.๒๕๑๑ ท่านก็ได้เดินทางออกจากป่าแห่งนั้น หลังจากที่ได้อยู่มาเป็นเวลา ๔ ปีครึ่ง และได้พบชาวจีนที่เมืองสุราบายาตามคำสั่งของเทเพเจ้า ชาวจีนผู้นั้นก็ได้ให้ใบกำหนดการทำวิสาขบูชาที่เมืองสุราบายาแก่ท่านใบหนึ่ง ท่านก็ได้ไปร่วมพิธีวิสาขบูชากับเขาด้วย

ในพิธีวิสาขบูชาครั้งนั้น ท่านได้พบกับพระในพระพุทธศาสนา เป็นครั้งแรก คือท่านชินรักขิโต จากเกาะบาหลี ซึ่งได้รับการอุปสมบทมาจากประเทศไทย คือบวชที่วัดเบญจมบพิตร เมื่อ ๑๐ ปีก่อนจากนั้น ในวันนั้นท่านชินรักขิโต อธิบายธรรมะน่าสนใจมาก จึงทำให้ท่านอยากเป็นเหมือนกับพระรูปนี้ ได้พยายามเข้าพบท่านเพื่อขออุปสมบท แต่ท่านชินรักขิโตบอกว่า การบวชนั้นยาก เช่นต้องรับประทานอาหารเพียงเช้าชั่วเที่ยงเป็นต้น ท่านคิดว่าเรื่องนี้ง่ายสำหรับท่าน เพราะท่านเคยลำบากมามากเมื่ออยู่ป่าคนเดียว และท่านชินรักขิโต ก็ไม่ยอมให้ท่านบวช ท่านจึงได้พยายามหาทางที่จะบวชอยู่เป็นเวลา ๔ ปีเต็ม ในที่สุดท่านจึงได้มีโอกาสได้บวชเป็นสามเณร เมื่อวันที่ ๔ มิ.ย. ๒๕๑๕ โดยมีท่านชินปิยะ ชาวอินโดนีเซียเป็นพระอุปัชฌาย์

ท่านกล่าวว่าในระหว่างกำลังหาโอกาส ที่จะได้อุปสมบทอยู่นั้นครั้งหนึ่งได้นั่งสมาธิติดต่อกันเป็นเวลา ๓ วัน ๓ คืนโดยไม่ทานอาหาร ไม่ได้ดื่มอะไร และไม่ได้หลับเลยที่เมืองสุราบายา เพราะไม่มีใครสารถให้ท่านได้บวชเป็นพระได้ ท่านตรึกตรองไปในขณะนั่งสมาธิว่า “ฉันจะมีโอกาสได้บวชเป็นพระไหม” เพื่อหาคำตอบจากใจของท่าน ท่านนั่งมาจนกระทั่งv ถึงตอนเช้าของวันที่สาม ท่านก็ได้เห็นวัดบวรนิเวศวิหาร ในเมืองไทยอย่างชัดเจน ทั้ง ๆ ที่อยู่กไกลกันมาก เห็นได้ชัดเจนด้วยตาที่กำลังลืมอยู่ พร้อมด้วยเห็นพระกำลังออกบิณฑบาตเหมือนกับที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบันทุกอย่าง นับว่าแปลกมาก ถึงกับพูดกับตัวเองว่า “ใจของเราวิเศษมาก ฉันคงจะได้บวชเป็นพระแน่แล้ว” ทั้ง ๆ ที่ท่านไม่เคยทราบเกี่ยวกับวัดบวรนิเวศวิหาร และเกี่ยวกับพระธรรมทูตจากประเทศไทยในขณะนั้นมาก่อนเลยแล้วท่านก็พูดกับใครต่อใครหลายคนว่า ท่านจะได้บวชเป็นพระแน่ แต่ไม่มีใครเชื่อท่าน

อีกตอนหนึ่งท่านเล่าว่า ในระหว่างที่ท่านกำลังหาทางบวชพระอยู่นั้น ท่านได้ไปสวดมนต์และปฏิบัติธรรมที่วัดเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในเมืองสุราบายา ต่อจากนั้นไม่นานท่านก็ได้รับหนังสือธรรมบทเล่มหนึ่ง ซึ่งแปลเป็นภาษาอังกฤษ โดยท่านญาณโปนิกะ พระเถระชาวลังกา โดยได้รับแจกจากชาวจีนผู้หนึ่ง เมื่อได้รับแล้ว ท่านก็ได้อ่านด้วยความสนใจต่อข้อธรรมในพระธรรมบทนั้น ตั้งแต่ตอนเช้าของวันหนึ่งจนกระทั่งถึงตอน ๒ โมง ของวันใหม่โดยไม่หยุดพักเลย เพราะข้อความต่าง ๆ ในพระธรรมบทนั้นตรงกับที่ท่านเคยปฏิบัติและเคยคิดมา และเป็นการตอบปัญหาต่อความข้องใจของท่านด้วย

หลังจากได้บรรพชาแล้ว ท่านก็ได้เดินทางไป เผยแพร่พระพุทธศาสนาในสถานที่ต่าง ๆ ในอินโดนีเซีย มีคนเลื่อมใสและสนใจในคำสอนพระพุทธศาสนา อยู่ ๒ ปี มีคนหันมานับถือพระพุทธศาสนาเป็นเพราะท่านประมาณ ๑๕,๐๐๐ คน นับว่าท่านทำงานเพื่อพระศาสนานี้ได้ผลมากต่อมาท่านได้เข้าไปหาพระชินปิยะผู้เป็นอุปัชฌาย์ของท่าน เพื่อขอให้อุปัชฌาย์จัดการอปสมบทให้ แต่อุปัชฌาย์ของท่านปฏิเสธ เพราะมีความลำบากในการหาพระสงฆ์มาหใการอุปสมบท และอีกอย่างหนึ่ง ถ้าอุปสมบทแล้ว อุปัชฌาย์ก็ต้องติดตามดูแลอยู่เสมอ เพราะอุปัชฌาย์กว่าจะได้พบท่านก็นาน ๆ สักครั้ง แล้วพระชินปิยะก็แนะนำให้ไปหาพระอื่น ๆ บางทีอาจจะมีใครสามารถส่งท่านไปทำการอุปสมบท ในต่างประเทศได้

ในที่สุด ท่านก็ไปพบท่านเจ้าคุณวิธูรธรรมาภรณ์ (วิญญ์ วิชาโน) พระธรรมทูตรไทยจากวัดบวรนิเวศวิหาร ซี่งทางการส่งไปปฏิบัติงานอยู่ในอินโดนีเซีย ตั้งแต่ ๒๕๑๒ โดยเข้าพบท่านที่เมืองมาลังที่ชวาภาคกลาง เพื่อขอให้ท่านจัดการอุปสมบทให้ ท่านเจ้าคุณวิธูรธรรมาภรณ์ ก็ยินดีรับเป้นภาระจัดการส่งท่านมาอุปสมบทในเมืองไทย แล้วท่านก็ได้เดินทางมาเมืองไทยพร้อมกับท่านเจ้าคุณพระปริยัติกวี (อัมพร อม์พโร ป.ธ.๖, ศฯ.บ.,M.A.) พระธรรมทูตรไทยจากวัดราชบพิธ ซึ่งเดินทางมาจากออสเตรเลียกัลเมืองไทย และได้แวะที่อินโดนีเซีย เมื่อปี ๒๕๑๗

ที่เมืองไทย ท่านได้รับการอุปสมบทที่วัดบวรนิเวศวิหาร โดยมีเจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวรเป็นอุปัชฌาย์ในวันที่ ๒๐ มิ.ย.๒๕๑๗ สมความตั้งใจของท่าน ท่านมีความรู้สึกกว่าการบวชในพระพุทธสาสนาเป็นโอากสให้ได้ศึกษาจากการเจริญภาวนา เพื่อหาคำตอบต่อคำถามที่ข้องอยู่ในใจนั้นง่ายขึ้น

ในปี ๒๕๑๘ ท่านได้รับการฝึกกรรมฐานกับท่านอาจารย์เทสก์เทสรังสี คือ พระนิโรธรังสีคัมภีร์ปัญญาจารย์ ที่วัดหินหมากเป้ง จังหวัดหนองคาย และได้อยู่กับท่านอาจารย์เทสก์เป็นเวลา ๑ ปี มีความพอใจในวิธีการฝึกอบรม และรู้สึกว่าการปฏิบัติธรรมได้ก้าวหน้าไปไกลมากยิ่งขึ้น

 -----------------------------------------

ในภายหลังเมื่อท่านเดินทางกลับอินโดนีเซียแล้ว ท่านเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักในการจัดตั้งคณะสงฆ์ฝ่ายเถรวาทแห่งอินโดนีเซีย  ก่อตั้งวัดวิหาร อาราม รัตนวนา เมืองลาเซ็ม บนเกาะชวา ท่านทำงานอย่างหนักเพื่อสร้างอาราม สั่งสอนศาสนา ทำให้สุขภาพทรุดโทรมเป็นอันมาก แต่ขณะเดียวกันพุทธศาสนาในอินโดนีเซียก็เจริญงอกงามขึ้นทุกวัน มีผู้รับพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งมากมายทั้งชาวจีน และคนท้องถิ่น โดยเฉพาะผู้ที่นับถือศาสนาดั้งเดิมมาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ

ภันเต สุธัมโม มหาเถระ มรณภาพเมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๓ รวมอายุได้ ๖๒ ปี ๒๘ พรรษา

 -----------------------------------------

ภาพ
Indonesian Gold Sculpture of Buddha with a Bronze Base - CK.0110
Origin: Indonesia
Circa: 11 th Century AD to 14 th Century AD
Dimensions: 13.25" (33.7cm) high x 5.25" (13.3cm) wide
The Barakat Gallery
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...