ผู้เขียน หัวข้อ: จากฮิปปี้สู่วิถีสมณะ กว่าจะมาเป็น “ อมโรภิกขุ ” ศิษย์ต่างชาติสายหลวงพ่อชา  (อ่าน 2061 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด


เปิดประวัติ กว่าจะมาเป็น “ อมโรภิกขุ ” ศิษย์ต่างชาติสายหลวงพ่อชา

ก่อนจะมาเป็นพระอาจารย์ อมโรภิกขุ ท่านมีเส้นทางที่ไม่ง่าย Secret ขอเปิดประวัติเส้นทางกว่าจะมาเป็นศิษย์ต่างชาติสายหลวงพ่อชา

ก่อนจะมาเป็นพระอาจารย์อมโรภิกขุ ชื่อเดิมของท่านคือ เจเรมี ชาร์ลส์ จูเลียน ฮอร์เนอร์

 

จากอังกฤษถึงอุบลราชธานี จากฮิปปี้สู่วิถีสมณะ

ชีวิตของเจเรมี ฮอร์เนอร์ เปรียบเหมือนเมล็ดบัวที่ก่อกำเนิดและบ่มเพาะตัวตนอยู่ท่ามกลางความหนาวเย็นของประเทศอังกฤษ แต่เพราะสภาพแวดล้อมไม่พร้อมให้ผลิบานเจเรมีผู้ตั้งคำถามถึงปรัชญาศาสนาและอิสรภาพแห่งชีวิตจึงเป็นได้เพียงฮิปปี้หนุ่มผมยาว ดื่มเหล้าเคล้ากัญชาไปวัน ๆอย่างไรก็ดี ก่อนจะตกเป็นอาหารของเต่าปลา โชคดีที่วันหนึ่งเมล็ดบัวบังเอิญถูกพัดพามาตกลง ณ วัดป่านานาชาติ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ที่นี่เองที่เมล็ดบัวเริ่มแทงยอด แตกใบอ่อน ก่อนจะผลิบานเป็นดอกบัวงาม ณ แดนไกลในวันนี้


พระอาจารย์สนใจศาสนามาตั้งแต่เด็กเลยหรือเปล่าคะ

ตอนยังเป็นเด็กน้อย อาตมาต้องทำวัตรแบบศาสนาคริสต์ที่โรงเรียนทุกวัน และต้องท่องคำสอนจากพระคัมภีร์ไบเบิลพออายุ 6 - 7 ขวบ ก็เริ่มสงสัยว่าจริงหรือที่ว่าถ้าเชื่อพระเยซูใจจะบริสุทธิ์ แล้วทุกสิ่งทุกอย่างจะดีเอง บาทหลวงสอนให้เราสวดอ้อนวอนแล้วพระเจ้าจะประทานทุกอย่างให้ อาตมาก็คิดว่า โอ…งั้นก็ดีสิ วันคริสต์มาสอาตมาอยากได้รถดับเพลิงของเล่น ก็เลยสวดขอจากพระเจ้า แต่ปรากฏว่ารถดับเพลิงไม่มาอาตมาเลยสงสัย…หรือว่าพระเจ้าไม่มีจริง

มีบทสวดอยู่บทหนึ่งขึ้นต้นว่า I believe in God, theFather almighty, Creator of heaven and earth. อาตมาสงสัยตั้งแต่คำแรกที่ว่า I believe…จึงถามบาทหลวงว่า ถ้าเราไม่เชื่อล่ะ เพราะถ้าไม่เชื่อแต่สวดว่าเชื่อ ก็ถือว่าโกหกจริงไหม อาตมาคิดว่านั่นเป็นคำถามที่มีความหมาย แต่บาทหลวงตอบว่า “Don’t be cheeky.” (อย่าลามปาม) อาตมาถูกมองว่าเป็นเด็กมีปัญหา จริง ๆ นี่เป็นคำถามสำคัญ แต่กลับถูกปัดทิ้งไป ศรัทธาจึงเสียไปเลย



ตอนเรียนมหาวิทยาลัย พระอาจารย์เลือกเรียนทางด้านไหนคะ

อาตมาสงสัยว่าจิตใจเราทำงานอย่างไร อยากมีความสงบ ความสบายใจ อาตมาจึงเลือกศึกษาจิตวิทยา (psychology) และสรีรวิทยา (physiology) ที่ University of London แต่พอเรียน ๆ ไปก็เห็นว่าต่อให้ศึกษาจนเป็นศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยา จิตใจก็ยังคงสับสนและเป็นทุกข์อยู่ดี ก็เลยคิดว่าถ้าจิตวิทยาไม่ช่วยให้ใจสงบ เรียนไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร ก็เพราะจิตมันไม่สงบเอามาก ๆ น่ะสิ (ยิ้ม) อาตมามีห่วงมาก กลัวมาก รู้สึกไม่มั่นคง กังวลไปทุกสิ่งทุกอย่าง


กังวลเรื่องอะไรคะ ครอบครัวหรือ…

ไม่…ภายนอกไม่มีอะไร ครอบครัวอาตมาดีมาก บ้านเรามีสวนดอกไม้ตรงประตูบ้านเหมือนสวรรค์ พ่อแม่ถึงจะจนแต่ก็มีเงินพอใช้ โรงเรียนก็ดี สังคมก็ดี ภายนอกไม่มีอะไรให้ห่วงเลย แต่ทำไมถึงรู้สึกหน่วง ๆ อยู่ข้างในก็ไม่รู้ นี่คือเหตุผลที่อาตมาอยากจะเข้าใจจิตใจนี้ เพราะสงสัยมากว่าทำไมเราถึงเป็นทุกข์ ทั้งที่ทุกอย่างก็ดีพร้อมหมด

แปลกจัง ทุกอย่างดีไปหมด แต่ไม่มีความสุขงั้นหรือคะ

มี…แต่มันสั้น ๆ ดื่มสุราหรือสูบกัญชาก็มีความสุขได้แต่มันไม่นานและไม่เคยเต็มสักที อาตมาเรียนดี เรียนจบก่อนเพื่อนตั้งสองปี ได้เกียรตินิยมอันดับสองด้วย เป็นนักกีฬาก็รุ่ง ได้รางวัลมากมาย เพียบพร้อมไปหมด แต่ข้างในกลวง…have a hole in a heart…ไม่พอ ไม่เคยพอใจ อาตมาเริ่มดื่มเหล้าตั้งแต่อายุสิบห้า เมาห้าวันต่อสัปดาห์…ยากที่จะเข้าใจเหมือนกันนะ ไม่มีทุกข์ แต่ดื่มเพื่อลืมความทุกข์ (ยิ้ม)

คุณพ่อคุณแม่ว่าอย่างไรคะ ลูกชายเรียนดี กีฬาเด่น แต่เมาอาทิตย์ละ 5 วัน

ก็เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง (หัวเราะ) ท่านรู้อยู่แล้วว่าลูกชายเป็นคนแปลก พี่สาวอาตมาเป็นคนเรียบร้อย แต่อาตมาเป็นคนสุดโต่ง เรียกว่าคนอื่นทำ 100 อาตมาทำ 120 ถ้าลงมือทำอะไร อาตมาทำมากกว่าคนอื่น ถ้าเป็นอะไร อาตมาก็จะเป็นมากกว่าคนอื่น ตอนแรกอาตมาดื่มสุราหรือสูบกัญชาเพื่อจะมีความสุข ปาร์ตี้สนุกไปเรื่อย ต่อมาก็ดื่มและสูบเพื่อจะปิดประตูความรู้สึก หยุดคิด จะได้ลืมอะไร ๆ ไปให้หมด

โชคดีที่วันหนึ่งได้เห็นว่า ถ้าใช้ชีวิตอย่างนี้คงตายก่อนอายุยี่สิบห้า…ถ้าไม่เปลี่ยนทางคงจะอายุสั้น



พระอาจารย์ไปถึงวัดป่านานาชาติได้อย่างไรคะ


อาตมาพักที่บ้านคุณหมอคนนั้นคืนเดียว ตั้งใจจะโบกรถเที่ยวต่อเอง บังเอิญตอนนั้นคนที่บ้านเขาเพิ่งกลับจากงานที่วัดป่านานาชาติ พอเห็นฝรั่ง เขาก็บอกว่า “ยูลองไปวัดป่านานาชาติสิ” อาตมาก็ไป ทั้งที่ชีวิตฮิปปี้กับกฎระเบียบในวัดมันไปกันไม่ได้เลย

ตอนนั้นอาตมามีเงินติดตัวแค่ 35 ปอนด์หรือประมาณพันกว่าบาท ไม่พอเหมารถไปอำเภอวารินชำราบ จึงตั้งใจจะโบกรถไปเรื่อย ๆ โชคดีมีเพื่อนคนหนึ่งแนะนำคนขับแท็กซี่มาให้ ตอนแรกปฏิเสธไปว่า ไม่เอาหรอก จะโบกรถไปเองแต่พวกเขาไม่เข้าใจภาษาอังกฤษและยืนกรานว่าอยากจะช่วย

ในที่สุดอาตมาก็ต้องขึ้นแท็กซี่คันนั้น ระหว่างทางคนขับขยับมือเป็นกรรไกรคล้ายจะถามว่า “ยูไม่ตัดผมเหรอ” อาตมารีบปฏิเสธว่า “No no no no.” เขาเข้าใจว่าอาตมาจะไปบวชที่วัดป่านานาชาติ เขาก็เลยคิดว่าอาตมาน่าจะต้องตัดผม ที่สำคัญเขาไม่คิดค่าโดยสารด้วย ไปส่งอาตมาฟรี ๆ เป็นการทำบุญ

Desire is a liar. (ตัณหาคือคนขี้โกหก)

ตอนแรกที่เข้าวัด อาตมารู้สึกกลัวนิด ๆ เพราะคิดว่าพระต้องดุมาก แต่พอเจอ ท่านปภากโร ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสในขณะนั้นอาตมาสัมผัสได้ทันทีว่า ท่านใจดี สุภาพ เป็นมิตร ไม่ถือตัวไม่เคร่งพิธีกรรมจนไม่เป็นธรรมชาติ ที่สำคัญคือ พอเข้าไปแล้วไม่มีใครมาชี้นำหรือชักจูงให้อาตมาเข้าร่วมเป็นสาวก นั่นยิ่งทำให้อาตมาสนใจชีวิตที่ No sex, no drug, no drink,no rock and roll. (ไม่มีเซ็กซ์ ไม่มียาเสพติด ไม่มีเหล้าไม่มีดนตรีร็อค) ทุกคนตื่นตีสาม ฉันมื้อเดียว นอนบนเสื่อกกผืนบาง ๆ เป็นวิถีชีวิตที่เคร่งครัด แต่ก็อิสรเสรี

สิ่งที่อาตมาได้พบที่วัดป่านานาชาติวันนั้นช่างธรรมดาสามัญ ขณะเดียวกันก็ช่างน่าประทับใจ



ตอนที่ได้ยินคำว่า “ธรรมะ” เป็นครั้งแรก ท่านรู้สึกอย่างไรคะ

ตอนแรกอาตมาไม่รู้หรอกว่าธรรมะแปลว่าอะไร ไม่เคยรู้ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย เย็นวันนั้นตอนปะขาวชาวออสเตรเลียอธิบายเรื่องอริยสัจ 4 ให้ฟัง อาตมายังเถียงว่าไม่จริงหรอกไม่เชื่อหรอก อาตมาว่าออกจะฟังดูเพี้ยน ๆ ด้วยซ้ำไป (ยิ้ม)

เพี้ยนอย่างไรหรือคะ

ตรงที่พุทธศาสนาบอกว่าชีวิตนี้เป็นทุกข์ อาตมาเถียงว่าไม่ใช่สักหน่อย แม้ว่าตอนนั้นอาตมาจะเป็นทุกข์อยู่มากก็เถอะนะ (หัวเราะ) อาตมาเข้าใจมาตลอดว่าชีวิตนี้บริสุทธิ์และดีงามแต่พุทธศาสนากลับบอกว่าชีวิตนี้เป็นทุกข์ อาตมาเลยไม่เชื่อและไม่ชอบคำพูดทำนองนี้ ขณะเดียวกันก็รู้สึกเชื่อมโยงเพราะทุกข์ในใจเราก็มากเหลือเกิน

แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ ปะขาวคนนั้นไม่ตำหนิว่าอาตมาลามปามหรือลองดี เขาบอกว่า “คุณไม่เห็นด้วยอย่างนั้นหรือ ถ้างั้นคุณลองค้นหาคำตอบดูนะ ดูสิว่าจะเป็นยังไง”ปะขาวคนนั้นอธิบายเรื่อง freedom (อิสรภาพ) และ desire(ตัณหา) ซึ่งคำถามทำนองนี้อาตมาสงสัยมาตั้งแต่เด็ก เราจะเป็นอิสระได้หรือไม่ ตราบใดที่เรายังมีร่างกาย ยังมีกฎเกณฑ์สารพัด ยังต้องใช้ชีวิตด้วยเงินที่เรามี เราจะหลุดพ้นได้อย่างไรในเมื่อสิ่งแวดล้อมที่เราอยู่ไม่ยอมให้เราหลุดพ้นไปจากมันอาตมาเคยคิดเรื่องการหลุดพ้นอยู่หลายปี และค่อนข้างแน่ใจว่าเราเป็นอิสระไม่ได้หรอก

If you let go a little, you’ll have a little peace. If you let go a lot. You’ll have a lot of peace. If you let go completely, you’ll have complete peace.

(ปล่อยวางนิดหนึ่ง ก็สุขสงบนิดหนึ่ง ปล่อยวางมาก ก็สุขสงบมาก ปล่อยวาง โดยสมบูรณ์ ก็สุขสงบโดยสมบูรณ์)


เมื่อได้มาเห็นชีวิตของพระวัดป่า ศรัทธาได้ก่อเกิดขึ้นเองอย่างเป็นธรรมชาติ อาตมาเห็นหนทางเพื่อจะออกจากทุกข์วิถีแห่งนักบวชนั้นเรียบง่ายและงดงามที่สุดในโลก อาตมาไม่อาจจินตนาการไปถึงสิ่งที่ดีกว่านี้ได้อีกแล้ว…

เมื่อบวชแล้วท่านเคยมีความคิดที่จะสึกไหมคะ

ไม่เคย (ยิ้ม)

มีอะไรพิเศษในพุทธศาสนาหรือคะ

พุทธศาสนาไม่ใช่เรื่องที่คุณต้องเชื่อ แต่เป็นเรื่องที่คุณค้นพบด้วยตัวคุณเอง แก่นสารคือการสังเกต ลองสังเกตดูสิว่าสรรพสิ่งเป็นไปเช่นไร ลองเข้ามาดูสิว่าพุทธศาสนามีคุณค่าต่อชีวิตคุณอย่างไร พุทธศาสนาทำให้ชีวิตคุณสงบขึ้นแค่ไหน เติมชีวิตคุณให้เต็มได้อย่างไร…มาดูเองดีกว่าจะให้อาตมาบอกว่าพุทธศาสนาดีตรงไหน ดีกว่าจะชี้บอกว่าความสุขอยู่ที่นี่นะเพราะพุทธศาสนาไม่ได้บอกอย่างนั้น หัวใจของพุทธศาสนาคือการกระตุ้นให้คนหันมามองตัวเองมากกว่าจะบอกให้เชื่อหรือไม่เชื่ออะไร

กระทั่งพระสูตรในพระไตรปิฎกยังเริ่มต้นว่า “เอวมฺเมสุตํ…”หรือ “That have I heard…” นั่นหมายความว่า พระไตรปิฎกคือบันทึกจากความทรงจำของพระอานนท์ เมื่อครั้งสังคายนาพระไตรปิฎกภายหลังจากที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว เห็นไหมว่า แม้แต่พระไตรปิฎกซึ่งเป็นตำราสำคัญของพุทธศาสนายังไม่พูดเลยว่านี่คือความจริงสูงสุด แต่กลับบอกเพียงว่านี่คือความทรงจำของพระอานนท์เท่านั้น ฉะนั้น อ่านซะศึกษาซะ เอามาใช้ซะ พิจารณาด้วยตัวเธอเองว่าจริงหรือไม่จริง นี่คือหัวใจของการไตร่ตรอง การแสวงหาและการค้นพบเป็นกระบวนการศึกษาที่แตกต่างออกไป เราเคยแต่เรียนรู้จากภายนอก แต่นี่คือการเรียนรู้จากภายใน

ถ้าอย่างนั้นจำเป็นไหมคะที่เราจะต้องบวชเพื่อเข้าถึงธรรม

อาตมาว่าไม่จำเป็น แต่การบวชก็ดีมาก เป็นวิถีปฏิบัติที่เฉพาะเจาะจง เป็นแนวทางที่พระพุทธเจ้าออกแบบมาให้แล้วและยังเป็นแนวทางที่พระองค์ทรงปฏิบัติด้วยพระองค์เองเหมือนทรง Put all the odds in your favor. พระพุทธเจ้าทรงใส่ตัวช่วยต่าง ๆ มาให้เราแล้ว นี่เป็นแนวทางที่ง่ายและเป็นไปได้มากกว่า สมมติว่าเราต้องการจะปีนขึ้นสู่ยอดเขา เราจะใส่ก้อนหินลงในเป้แล้วแบกขึ้นภูเขาไปด้วยก็ได้ แต่มันก็ง่ายกว่าใช่ไหมถ้าเราเดินตัวเปล่า ไม่ต้องแบกเอาหินไปให้หนัก

อาตมารู้ดีว่าคำตอบของอาตมาไม่ค่อยเป็นกลางนัก (หัวเราะ) ทุกคนน่าจะลองหาคำตอบกันเอาเอง 

ข้อมูล นิตยสาร Secret คอลัมน์ Secret of Life ฉบับ 108 (26 ธ.ค. 55)


จาก http://www.goodlifeupdate.com/74335/healthy-mind/amaropikku/

เพิ่มเติม http://www.trueplookpanya.com/blog/content/56335/-dhart-
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...