ภิกษุณีในสุวรรณภูมิวิวาทะเรื่องภิกษุณี ได้ยินบางความเห็นระบุว่า แผ่นดินสุวรรณภูมิเราไม่เคยมีภิกษุณีมาตั้งแต่แรก ซึ่งผมเกือบจะเห็นคล้อยตามด้วย หากไม่เผอิญไปเห็นหลักฐานในคัมภีร์สมันตปาสาทิกา อรรถกถาพระวินัย เสียก่อน ในส่วน "พาหิรนิทานวรรณนา" ซึ่งพรรณนาเรื่องการสังคายนาและประกาศพระศาสนา เล่าว่า เมื่อคราวที่พระโสณะ-อุตตระ เดินทางมาสุวรรณภูมิ ได้ปราบนางผีเสื้อน้ำที่รังควาญคนท้องถิ่น แล้วเทศนาพรหมชาลสูตร จนชาวสุวรรณภูมิ "ตั้งอยู่ในสรณคมน์และศีล" และ "ประชาชนประมาณหกหมื่น ได้บรรลุธรรมแล้ว พวกเด็กในตระกูลประมาณสามพันห้าร้อย บวชแล้ว ... "
และที่สำคัญคือ
"กุลธิดาประมาณหนึ่งพันห้าร้อยนาง ก็บวชแล้ว" (กุลทารกานํ อฑฺฒุฑฺฒานิ สหสฺสานิ ปพฺพชิํสุ, กุลธีตานํ ทิยฑฺฒสหสฺสํฯ )
ข้อความนี้ช่วยยืนยันได้อย่างขัดเจนว่า พระสมณะทูตครั้งพระเจ้าอโศกมหาราช ได้บวชกุลธิดาท้องถิ่นให้เป็น "อะไรสักอย่าง" ในสุวรรณภูมิมาตั้งแต่ครั้งนั้น อย่างไรก็ตาม ท่านบวชกุลธิดาเป็นอะไรสักอย่างนั้น เพราะผมไม่ทราบแน่นอนว่า ท่านบรรพชาเด็กหญิงเป็นสามเณรี หรือสิกขมานา หรืออะไรอย่างอื่นๆ เพราะข้อความในคัมภีร์ปรากฎเท่านี้
อย่างไรก็ตาม จากถ้อยคำที่ท่านใช้ บ่งชี้ไปในทางการบวชสามเณรี ซึ่งหมายความว่า ในคณะสมณะทูตสายสุวรรณภูมิจะต้องมีภิกษุณีติดตามมาด้วย เพราะหากไม่มีท่านจะบวชกุลธิดาไม่ได้ ความข้อนี้ไม่ปรากฎในหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร มีเพียงมุขปาฐะบอกว่า การประกาศพระศาสนาจะมาเพียงพระโสณะ-อุตตระ 2 รูปเท่านั้นมิได้ เพราะไม่ครบองค์สงฆ์จะทำสังฆกรรม ท่านต้องมาเป็นคณะ 4 รูปขึ้นไป หรืออาจมากว่านั้น ผมเองก็เชื่อเช่นนั้น แต่หลังจากอ่านสมันตปาสาทิกาส่วนนี้แล้ว ยังเชื่อว่า คณะของพระโสณะ-อุตตระ ไม่น่าจะมีเพียง คณะภิกษุ แต่น่าจะมีภิกษุณีด้วย
กระนั้นก็ตาม ถึงจะมีภิกษุณีมาแต่ดั้งแต่เดิม แต่สายการบรรพชา-อุปสมบท ขาดสูญไปแล้ว การรื้อฟื้นจึงเป็นวิวาทะตราบจนถึงบัดนี้ เพราะต่างฝ่ายต่างก็ตีความต่างกันไป อีกทั้งเจตนายังต่างกัน ฝ่ายหนึ่งต้องการเติมเต็มพุทธบริษัท 4 ฝ่ายหนึ่งต้องการรักษาธรรมเนียมเคร่งครัด เรื่องนี้ ผู้หลักผู้ใหญ่ของคณะสงฆ์ย่อมเป็นผู้ตัดสิน
แต่ผู้น้อยอย่างกระผมขอแสดงความเห็นต่ำต้อยว่า น่าจะพิจารณาตามท่าทีขององค์ดาไลลามะ ท่านไม่ได้หักดิบ แต่ก็ไม่ได้ผลีผลาม เพราะสายภิกษุณีในทิเบตขาดสูญไปเนิ่นนาน ท่านสนับสนุนสิทธิสตรี แต่ยำเกรงธรรมเนียม-พระวินัย จึงรอให้คณะสงฆ์ทั่วโลกประชุมหารือกันเสียก่อน (ซึ่งยากที่จะเกิด) ขณะเดียวกันความที่ท่านสนับสนุนสิทธิสตรี จึงไม่ห้ามหากกุลธิดาทิเบตจะไปบรรพชาอุปสมบทกับสายอื่น แล้วมาร่วมสังฆมณฑลของพระองค์
หากกุลธิดาสุวรรณภูมิคิดจะสืบทอดธรรมเป็นภิกษุณี แม้นไม่มีสายเถรวาทเหลืออยู่แล้ว ก็ยังอาจบวชเป็นภิกษุณีสายธรรมคุปต์ที่จีน, เกาหลี, เวียดนาม ได้ อย่างกุลธิดาชาวทิเบตไปบวชมาที่เกาหลีแล้วก็มาครองผ้าอย่างทิเบต สถานะและศักดิ์ศรีไม่ด้อยไปกว่ากัน และเป็นสายตรงสืบทอดจากพระมหาปชาบดีโคตมีเถรีผ่านมาถึงพระสังฆมิตตาเถรีแห่งลังกาเช่นกัน
คำถามก็คือ มหาเถรสมาคมจะปิดทางภิกษุณีจากสายธรรมคุปต์ และกุลธิดาสุวรรณภูมิจะยอมรับสายธรรมคุปต์หรือไม่ ก็เท่านั้น
อนึ่ง - ความรู้เรื่องภิกษุณีสายธรรมคุปต์ในบ้านเมืองเรามีเพียงหยิบมือ ทั้งที่เป็นสายตรง และมีศักดิ์ชอบธรรม ตัวบทศึกษามีมากมาย โดยเฉพาะชีวประวัติภิกษุณี (ปี่ชิวหนี่ฉวน - 比丘尼傳) ที่บันทึกสายทายาทธรรม และวัตรปฏิบัติของเถรีท่านสำคัญในแผ่นดินจีนมานานนับพันปี หากศึกษาอย่างถ่องแท้ ท่านจะเชื่อมั่นศรัทธาในสายนี้ไม่น้อยไปกว่าสายเถรวาท ที่ "ขาดสูญไปแล้ว" ดังนั้น ก่อนการรื้อฟื้น หรือปิดทาง ผมขอให้ทุกฝ่าย ศึกษาอย่างรอบด้านเสียก่อน จะตัดสินอะไรลงไป
อย่าไปติดว่า เป็นภิกษุณีมหายานแล้ว ศักดิ์ศรีด้อยกว่า ซึ่งหาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะพระวินัยธรรมคุปต์ก็อย่างเดียวกับพระวินัยเถรวาท อีกประการก็คือ ท่านบวชเป็นภิกษุณีธรรมคุปต์ ก็ยังสามารถทำสังฆกรรมอย่างเถรวาทได้ สวดบาลีได้ เพราะ "ความเป็นมหายาน" หรือ "หีนยาน" มิใช่วัดกันที่ธรรมเนียม แต่วัดกันที่ปณิธาน หากหวังรื้อขนสรรพสัตว์ก่อนตรัสรู้ ท่านก็เป็นมหายาน หากมุ่งปฏิบัติเพื่อบรรลุธรรมส่วนตน ท่านก็สายดั้งเดิม
ภาพ - ภิกษุณีวัดอุนมุนซา ประเทศเกาหลีใต้ ปลงผม วัดอุนมุนซา แห่งนี้สร้างมาแต่สมัยพระเจ้าจินฮึง สมัยอาณาจักรชิลลา เมื่อปีค.ศ. 560 ต่อมาในปี 1950 เป็นอารามสำหรับฝึกสอนภิกษุณีที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลีใต้
จาก
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=10152443631931954&substory_index=0&id=719626953